ตอนที่ 495 หอพิษกู่
“กู่เหนียง มิว่าท่านมีสถานะใด แต่เมื่อมาอยู่ในหอพิษกู่ก็จงเก็บพฤติกรรมเย่อหยิ่งไว้เถิด มิเช่นนั้นผู้ที่เสียเปรียบก็จักมีแค่ท่าน ! ” แม่เฒ่าทอดถอนใจและพยายามโน้มน้าวอย่างใจเย็น
“ข้าเข้าใจแล้ว มิทราบท่านมีนามว่าอันใด ? ”
อันหลิงเกอมีความเคารพต่อแม่เฒ่าที่ช่วยเหลือไว้เมื่อครู่และถือเป็นผู้มีพระคุณของตน
“เรียกข้าว่าอาโผ”
อันหลิงเกอเพิ่งทราบว่าแท้จริงแล้วดวงตาของแม่เฒ่ามองมิเห็น
“อาโผบอกได้หรือไม่ว่าจักออกไปจากที่แห่งนี้ได้อย่างไร ? ” เมื่อได้ยินคำถามแล้ว แม่เฒ่าก็เบิกตากว้าง
“หอพิษกู่แห่งนี้คิดจะมาก็มา คิดจะไปก็ไปได้หรือ ? ”
หอพิษกู่แห่งนี้มีไว้สังหารคนโดยเฉพาะ ทั้งยังเป็นที่รวมตัวของนักฆ่าอีกด้วย
พวกเขาเป็นกลุ่มสุดท้ายในหอพิษกู่ของแคว้นชิงเยว่ที่อาศัยอยู่บนแผ่นดินต้าโจวและมิอาจหลบหนีไปได้
“ช่างเถิด เช่นนั้นอาโผช่วยชี้แนะข้าหน่อยได้หรือไม่ว่าควรอยู่ตรงที่ใด ? ” อันหลิงเกอก็รู้ว่าหากดื้อถามต่อไปก็เกรงว่าจักสร้างความลำบากใจให้แม่เฒ่า สำหรับทุกคนแล้ว ที่นี่ดูเหมือนเป็นฝันร้ายและเป็นนรกที่ไร้วันหลุดพ้น
“ด้านนั้น”
ดูเหมือนแม่เฒ่ายังหวาดผวาอยู่มิน้อย นางหันไปรอบด้านจากนั้นก็ชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง อันหลิงเกอเพ่งความสนใจและเดินตรงไปด้านนั้น
นางอยู่ที่นี่มิได้แน่นอน เพียงแต่บัดนี้คงต้องดูลาดเลาไปก่อนว่าหอพิษกู่ตั้งอยู่ที่ใดกันแน่
ที่แห่งนี้เงียบสงบมิน้อย อันหลิงเกอมองไปยังเสื้อผ้าที่วางอยู่บนเตียงชุดนั้น มันมิแตกต่างจากเสื้อผ้าของแม่เฒ่าสักนิด เกรงว่านางได้ใส่เสื้อผ้าสามัญชนเยี่ยงนี้เป็นครั้งแรก หึ
“หยุดอยู่ตรงนั้น ! ”
ในขณะที่นางกำลังหมุนตัวเดินไปยังลานกว้างทางทิศตะวันออกกลับโดนสายลมกระโชกเข้าใส่อย่างแรง และอวัยวะภายในของนางก็สั่นสะเทือนจนแทบกองรวมกัน มันช่างเจ็บปวดสุดจะทน
นางปรายตามองไปยังคนผู้นั้น แต่พบว่าตรงหน้ามิมีผู้ใดเลยสักคน
ฝีมือดีเพียงนี้เชียวหรือ ? นางมิได้สัมผัสถึงการมีอยู่ของคนผู้นั้นเลย
เมื่อคิดได้ดังนั้น อันหลิงเกอก็รวบรวมสติแล้วสูดหายใจเข้าลึก นางเพิ่งสัมผัสได้ถึงอาการคันยุบยิบจากในลำคอ มิถูกต้อง!
แม้ประสาทสัมผัสของนางมิได้ว่องไว้แล้ว แต่ประสบการณ์ก็พอทำให้สัมผัสได้บ้างว่าที่แห่งนี้มีบางอย่างมิชอบมาพากล
เมื่อคิดได้ดังนั้นอันหลิงเกอก็ล้วงหยิบยาเม็ดออกมาจากกระเป๋าแขนเสื้อและกลืนมันลงไป
โชคดีที่นางยังพอเข้าใจในเรื่องยาอยู่บ้างจึงพกยาแก้พิษติดตัวไว้หนึ่งเม็ด จ้าวหลานหยู่มิได้ค้นตัวและเอายาเม็ดนี้ไป แต่นางมิรู้ว่ายาเม็ดนี้จักแก้ความมึนงงได้หรือไม่
หลังกลืนยาลงไป ครั้งนี้นางจึงเดินตรงไปยังลานกว้างทิศตะวันออกอีกครั้งแต่มิมีพลังใดมาขัดขวางเหมือนเมื่อครู่อีก
เมื่อครู่คนผู้นั้นขัดขวางนางเพราะเหตุใด ? ครั้นเห็นนางกลืนยาก็มิได้ออกมาขัดขวางอีก
หลังประตูของลานกว้างทิศตะวันออกมีสิ่งใดซ่อนอยู่กันแน่ ?
ยังมิทันได้คิดอย่างละเอียด อันหลิงเกอก็สัมผัสได้ถึงความชั่วร้ายภายในหอพิษกู่แห่งนี้เสียแล้ว นางจึงผลักประตูบานนั้นเข้าไป
ประตูสีแดงส่งเสียงบ่งบอกถึงความเก่าเป็นอย่างดี แต่มิมีเศษฝุ่นลอยตลบอบอวลอย่างที่คาดไว้ แม้ที่นี่ดูเก่าแต่มิใช่สถานที่ร้างไร้ผู้คน
“ในเมื่อมาแล้วก็เข้ามาเถิด”
เสียงเชิญที่ไร้ตัวตนแผ่วเบามาก อันหลิงเกอมิสามารถจับจุดได้ว่าเสียงนั้นดังมาจากทิศทางใด แต่เมื่อเดินมาถึงแล้วนางจึงยอมเข้าไป ต่อให้มิอยากเข้าไปก็ต้องเข้า !
“ท่านเชื้อเชิญเยี่ยงนี้ ข้าก็คงมิเกรงใจ ! ” ในขณะที่กล่าว อันหลิงเกอก็สูดหายใจเข้าแล้วทำจิตใจให้สงบ จากนั้นก็เดินตรงไปยังห้องเดียวในลานกว้างแห่งนี้
ภายในห้องนี้เรียบง่ายมากและมีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่บนเตียงด้วยท่าทีสงบนิ่ง
มองจากเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่แล้วมิน่าใช้บ่าวรับใช้ ทว่าดูเหมือนคนที่ถูกขังให้ตกระกำลำบาก
“พระชายามู่มิธรรมดาจริง ๆ ”
ทันทีที่ได้ยินอีกฝ่ายเรียกชื่อของตน อันหลิงเกอก็ถอยไปด้านหลังอย่างระวัง แต่คนผู้นั้นกลับหัวเราะ
เห็นอยู่ว่ามีอายุไล่เลี่ยกับนาง แต่เสียงหัวเราะนี้เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ทำให้นางอดเตรียมการป้องกันมิได้
“ตามข้ามาเถิด”
ชายผู้นั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ จากนั้นก็ลุกขึ้นและเปิดประตูอีกบานด้านหลัง
ประตูบานนั้นตรงออกไปยังป่า หรือจักปล่อยนางเป็นอิสระ ?
อันหลิงเกอจึงเดินไปใกล้ประตูบานนั้นโดยมิลังเล ในระหว่างที่จะเดินออกไปก็หันมามองเขาอีกครั้ง ดูเหมือนคนผู้นี้ตั้งใจดึงดูดนางมาที่นี่เพื่อปล่อยนางไป
เหตุใดเขาจึงควบคุมให้นางเดินมาถึงลานกว้างทิศตะวันออกได้ ?
ทันทีที่เห็นอันหลิงเกอผลักประตูบานนั้น เขาก็หัวเราะ
อันหลิงเกอรู้ว่าเขาใช้ประโยชน์จากอาการมึนงงมาควบคุมนาง เพียงแต่นางมิได้สังเกตเท่านั้น
ดูท่าแล้วอาโผก็เป็นคนของเขาเช่นกัน
มิถูกต้อง ! ฝ่ามือเมื่อครู่ !
อันหลิงเกอเพิ่งคิดได้ว่าเดิมทีฝ่ามือของคนผู้นั้นมาเพื่อขัดขวางนางและมาเพื่อเตือนนาง !
เมื่อครู่เหตุใดนางต้องกลืนยาเม็ดนั้นลงไป เหตุใดจึงเดินมายังประตูแดงบานนี้อย่างถูกต้อง
ทั้งหมดที่คนผู้นี้ทำเพื่อเหตุใด ? ในสมองของอันหลิงเกอปรากฎคำถามมากมาย เวลานี้มิรู้ว่าควรเอ่ยถามออกไปอย่างไร
ยิ่งไปกว่านั้นคือคนตรงหน้าดูเหมือนมิได้เตรียมคำตอบมาให้นางด้วย
“เจ้าไปเถิด”
แค่สามคำ ความเงียบก็คืนมาสู่ห้องนี้อีกครั้ง คนผู้นั้นย้อนไปยังเตียงนอนโดยไร้เสียงจากนั้นก็ล้มตัวนอนในอากัปกิริยาเดิมอย่างสงบ
อันหลิงเกอมิได้ประหม่าอีกแล้วเลือกเดินออกจากประตูบานนั้นไป ด้านหลังเป็นภูเขา ถนนเส้นเล็กทอดยาวดูเหมือนไร้จุดสิ้นสุด ทว่าสำหรับอันหลิงเกอแล้วออกจากสถานที่แห่งนี้ได้ก็มากเกินพอ
นางต้องกลับไปอยู่ข้างกายมู่จวินฮาน มิรู้ว่าหลังจากตนหายตัวไปโดยไร้ร่องรอย เขาจักไปหาจ้าวหลานหยู่หรือไม่
วันก่อนพวกนางยังสนทนาเรื่องที่จ้าวหลานหยู่อยากได้ตัวนาง วันที่สองนางก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย มิรู้ว่ามู่จวินฮานเข้าใจผิดหรือไม่
มิว่าเขาคิดอันใด หากตนมีชีวิตรอดกลับไปได้ก็ย่อมอธิบายให้เขาเข้าใจ หากกลับไปมิได้…
เดิมทีนางไร้พันธะอันใดกับโลกใบนี้ ทว่ามู่จวินฮานคือครอบครัวเดียวของนางในตอนนี้
“เข้ามาในหุบเขากู่ เจ้าเป็นใคร!”
หุบเขากู่ ! ในตอนที่อันหลิงเกอได้ยินเสียงนี้ก็สายเสียแล้ว เพราะนางไร้เรี่ยวแรงจึงถูกคนตรงหน้ากระชากตัวไปและโยนเข้าไปในศาลา
อันหลิงเกอขบกราม ในตอนที่เงยหน้าขึ้นก็เห็นรองเท้าหลายคู่ปรากฎอยู่ตรงหน้า อันหลิงเกอเกาะเสาที่อยู่ข้างกายแล้วพยุงตัวขึ้น กระทั่งเห็นชายตรงหน้าอย่างชัดเจน คนที่มีความชั่วร้ายเช่นนี้นางมิเคยเจอใครเป็นสองอีกเลย
แม้แต่ไป๋หลี่เฉินก็มิได้รู้สึกแบบเดียวกับคนผู้นี้
“ในเมื่อเป็นคนที่อาโผส่งมาย่อมมีเหตุผล นางยังกล่าวอันใดอีก ? ”
อาโผ ?
อันหลิงเกอไร้กะจิตกะใจตริตรองว่าเพราะเหตุใดอาโผถึงปฏิบัติกับนางเช่นนี้ แต่มิพอใจตนเองที่มักติดกับผู้อื่นอยู่เสมอ
ที่นี่ดูเหมือนนางหมดทางหนีทีไล่ แม้อยากหนีทว่าเส้นทางที่ให้หลบหนีล้วนถูกคนอื่นวางแผนไว้หมดแล้ว !
“อาโผกล่าวว่านี่คือพระชายามู่ที่องค์ชายเจ็ดส่งมาขอรับ”