ภาคแคว้นติ้ง บทที่ 19 เหตุการณ์อันตรายที่ท่าเรือ (2)

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

กระทั่งเช้าตรู่ของวันต่อมา พายุฝนก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก เบื้องหน้ารถม้าอันว่างเปล่าขององค์หญิง มีศพสองศพนอนอยู่ ศพหนึ่งคือผู้ดูแลม้าหญิง อีกศพคือองครักษ์ที่ปกป้องนายจนตัวตาย คราบเลือดสีแดงสะดุดตาบนพื้นก่อนหน้า ยามนี้ถูกน้ำฝนชะล้างจนเกลี้ยงเกลา ทว่าบาดแผลอันน่ากลัวบนร่างกาย รวมถึงสีหน้าหวาดกลัวและเคียดแค้นบนใบหน้า กลับบ่งบอกถึงเรื่องราวก่อนตายที่พวกเขาต้องประสบ ว่ามันอันตรายถึงขนาดไหน!

หลางฉ่างยืนอยู่ด้านหน้ารถม้า ก้มเก็บม่านรถที่ถูกกระชากทิ้ง บนผ้าม่านมีคราบเลือดหลงเหลืออยู่เล็กน้อย ทำให้นัยน์ตาที่มักอ่อนโยนอยู่เสมอของเขาเต็มไปด้วยความโกรธแค้นทันที ข้างๆ มีคนคุกเข่าอยู่สองคน ก็คือองครักษ์ที่รอดชีวิตจากการต่อสู้ก่อนหน้านี้มาได้และนางกำนัลอีกคน จากคำบอกเล่าขาดๆ หายๆ ของทั้งสองคน ไฟโทสะในใจเขาโหมกระหน่ำยิ่งกว่าเดิม

หลิงเซียวองครักษ์ประจำกายของเขาสาวเท้าเข้ามาเร็วๆ เขาเปียกปอนไปทั้งตัว ยกมือเช็ดหน้า แล้วรายงานว่า “ทูลองค์รัชทายาท ค้นหาในรัศมีหนึ่งลี้แล้ว ยังไม่เจอเบาะแสใดเลยพ่ะย่ะค่ะ ร่องรอยทั้งหมดถูกพายุฝนลูกนี้ทำลายไปหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

สายตาของหลางฉ่างไหวระริก เขากำผ้าม่านในมือแน่น ครั้นนึกได้ว่าเหตุการณ์อันตรายที่เขาเคยเจอมาหลายต่อหลายครั้งอาจเกิดขึ้นกับฉางเล่อ เขาก็รู้สึกภายในร่างรุ่มร้อนดังไฟแผดเผา พลันออกคำสั่งเสียงขรึม “หาต่อไป! ข้าไม่เชื่อว่าจะไม่มีเบาะแสแม้แต่น้อย!”

“พ่ะย่ะค่ะ!” หลิงเซียวตะลึงงัน ก่อนจะรับคำสั่งแล้วจากไป

หลิงอวิ๋นที่ยืนถือร่มอยู่ข้างหลังลอบถอนหายใจ ตั้งแต่ติดตามองค์รัชทายาทมา น้อยครั้งนักที่จะเห็นใบหน้าเขาขึ้งเคียดถึงเพียงนี้ จึงอดกล่าวปลอบใจไม่ได้ “องค์หญิงเป็นคนดีฟ้าคุ้มครอง จะต้องทรงปลอดภัยแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!”

รถม้าคันหนึ่งวิ่งฝ่าม่านพิรุณเข้ามาด้วยความเร็ว หลางฉ่างหันไปมอง เห็นเพียงองครักษ์ชุดดำผู้หนึ่งกระโดดลงจากรถ และกางร่มรอ บุรุษรูปงามร่างสูงไม่หยุดชะงักแม้แต่น้อย เขาสาวเท้ายาวๆ มาหาหลางฉ่างทันที

“องค์รัชทายาท ไม่พบกันนาน”

หลางฉ่างพยายามข่มกลั้นความร้อนรุ่มในใจ จ้องมองบุรุษตรงหน้าครู่หนึ่ง แล้วจึงค่อยประสานมือทำความเคารพ “ที่แท้ก็เป็นฮ่องเต้แคว้นเฉิง! เมื่อวานฉ่างขอบคุณที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ”

ตงฟางเจ๋อประสานมือตอบกลับ “เจ๋อเพียงยื่นมือช่วยเล็กน้อย องค์รัชทายาทไม่จำเป็นต้องใส่ใจ บาดแผลที่ไหล่เป็นอย่างไรบ้าง?”

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แค่แผลถลอกเท่านั้น” ใบหน้าหลางฉ่างดูร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด เขาหันมาถามตงฟางเจ๋อ “ฮ่องเต้แคว้นเฉิงเหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่?”

ตงฟางเจ๋อกล่าว “เจ๋อหมายจะเดินทางเข้าไปถวายพระพรฮ่องเต้แคว้นติ้ง นึกไม่ถึงจะบังเอิญพบกันที่นี่ วันนี้ฝนตกหนัก เหตุใดองค์รัชทายาทจึงไม่พักผ่อนอยู่ในวัง แต่กลับเสด็จมาที่นี่?”

สายตาของหลางฉ่างเคร่งเครียด ผายมือไปทางเขาเป็นเชิงเชื้อเชิญ ก่อนจะออกเดินไปข้างหน้าพร้อมกัน ตงฟางเจ๋อแม้จะสงสัย แต่เห็นใบหน้าเขาเคร่งเครียด จึงไม่ถามมาก เพียงเดินตามไป ก้าวเดินได้สิบก้าว ก็เห็นศพนอนอยู่บนพื้นสองศพ ใบหน้าศพซีดขาวเหมือนกระดาษ ผิวเริ่มเหี่ยวย่น เห็นได้ชัดว่าถูกฝนชะล้างมาเป็นเวลานาน ตงฟางเจ๋อรู้สึกคุ้นหน้าเล็กน้อย เขาก้มหน้าเพ่งมอง ค้นพบว่าเขาเพิ่งพบสองคนนี้เมื่อคืน เป็นผู้ดูแลม้าและองครักษ์ของซูหลี! สีหน้าเขาแปรเปลี่ยนเล็กน้อย รีบลุกเดินไปสำรวจรถม้าที่อยู่ข้างๆ บนประตูบานหนึ่งมีอักษรคำว่า ‘เล่อ’ ถูกสลักไว้ หัวใจของเขาพลันจมดิ่งสู่ก้นเหว

หลางฉ่างไม่พูดอะไร เขาจดจ้องทุกการเคลื่อนไหวของตงฟางเจ๋ออย่างไม่ละสายตา ไม่ปล่อยให้การเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของเขาเล็ดลอดสายตาไปได้แม้เพียงเล็กน้อย คล้ายต้องการมองเขาให้ทะลุปรุโปร่งอย่างไรอย่างนั้น

ตงฟางเจ๋อไม่พูดอะไร ย่อกายลงไปสำรวจศพบนพื้นเงียบๆ แล้วกล่าวอย่างใจเย็นว่า “ผู้ดูแลม้าหญิงถูกสังหารด้วยการฟันคอในดาบเดียว ฝีมือโหดเหี้ยม องครักษ์เป็นองครักษ์พกอาวุธระดับหนึ่งในวังหลวง มีบาดแผลหลายจุด เห็นได้ชัดว่าต่อสู้เป็นเวลานาน สุดท้ายก็ตายเพราะรับมือศัตรูไม่ไหว ผู้ร้ายไม่ได้มีเพียงคนเดียว แต่กลับไม่ใช่ยอดฝีมือ”

ใบหน้าของหลางฉ่างยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เขาถามอย่างใจเย็น “รู้ได้เช่นไร?”

ตงฟางเจ๋อไม่เงยหน้า เพียงตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา “สังหารสตรีนั้นง่ายดาย แต่ฆ่าองครักษ์กลับต้องใช้เวลานาน วรยุทธ์เช่นนี้ในยุทธภพ สู้ไม่ได้แม้กระทั่งสี่ทูตแห่งเฉินเหมินเสียด้วยซ้ำ จะถือว่าเป็นยอดฝีมือได้เช่นไรเล่า?”

หลางฉ่างชำเลืองมองนางกำนัลและองครักษ์ที่คุกเข่าอยู่ด้านหนึ่ง “ตอนนั้นมีผู้ร้ายกี่คน?”

องครักษ์ไม่กล้าเงยหน้า เพียงตอบเสียงเบา “ทูลองค์รัชทายาท…มีสองคนพ่ะย่ะค่ะ”

เขาพูดถูกดังคาด หลางฉ่างลอบประหลาดใจ แต่ภายนอกกลับไม่แสดงออก เพียงหันกลับไปมองตงฟางเจ๋อเงียบๆ

ตงฟางเจ๋อกวาดสายตามองนางกำนัลที่กำลังตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว ก่อนจะลุกขึ้นยืน แล้วกล่าวว่า “โจรพกอาวุธ แม้แต่สตรีที่ไม่มีอาวุธติดมือก็ยังหนีรอดมาได้อย่างปลอดภัย เห็นได้ชัดว่าหละหลวม คนร้ายไม่ได้กลัวคนอื่นจะรู้”

หลางฉ่างคล้ายนึกอะไรได้ หัวใจพลันจมดิ่งสู่ก้นเหว

ตงฟางเจ๋อหันไปทางรถม้าอีกครั้ง สายฝนเทกระหน่ำ กลายเป็นม่านพิรุณที่บดบังการมองเห็นของผู้คน เขายืนอยู่ด้านหน้ารถม้า ฝนขนาดเท่าเม็ดถั่วตกกระทบลงมา ร่มในมือเซิ่งฉินกางอยู่เหนือศีรษะเขา แต่กลับไม่อาจป้องกันหยดน้ำที่สาดกระเซ็นมาจากตัวรถม้า เสื้อผ้าเปียกชุ่มอย่างรวดเร็ว เขากลับไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย เพียงมองเข้าไปในรถ แล้วกล่าวต่อว่า “ฝนตกหนักถึงเพียงนี้ แล้วยังมีการต่อสู้กันอย่างรุนแรง รถม้ากลับยังคงสภาพสมบูรณ์ แม้แต่ผ้าไหมบนเบาะนั่งก็ยังเป็นระเบียบเรียบร้อย ดูท่าคนร้ายคงพาตัวคนในรถไปอย่างง่ายดายโดยไม่ต้องเปลืองแรงแม้แต่น้อย”

คราวนี้หลางฉ่างหน้าเปลี่ยนสีไปทันที เขากล่าวด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “ฮ่องเต้แคว้นเฉิงหมายความว่า…คนที่ถูกลักพาตัวไปไม่ขัดขืนแม้แต่น้อย?”

ตงฟางเจ๋อหันมามองเขา ถอนหายใจแล้วกล่าวอย่างจนใจว่า “ใช่แล้ว ยอดฝีมือแห่งยุคที่แม้แต่ข้าก็ยังไม่อาจพาตัวนางไปได้อย่างราบรื่น ยามนี้กลับตามโจรลักพาตัวไปอย่างสมัครใจเสียแล้ว…”

หลางฉ่างตะลึงงัน สายตาที่จ้องมองตงฟางเจ๋อยิ่งสับสนวุ่นวาย ศพสองศพ รถม้าที่ไม่มีใครเลย เขาเพียงสำรวจเล็กน้อย เพียงพริบตาเดียว กลับสามารถวิเคราะห์ได้อย่างแม่นยำและใจเย็นถึงเพียงนี้ ความสามารถในการสังเกตการณ์ของเขาช่างน่ากลัวยิ่งนัก! ตงฟางเจ๋อ…คนในดวงใจที่ฉางเล่อต้องการแต่งงานด้วย ครั้นเผชิญหน้ากับการหายตัวไปของฉางเล่อ เหตุใดจึงได้เยือกเย็นถึงเพียงนี้? หากมิใช่ไร้ความจริงใจ ก็ต้องมั่นใจมากว่านางไม่มีอันตราย ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหน ล้วนทำให้หลางฉ่างไม่สบายใจ

สายตาของหลางฉ่างแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา ภายนอกกลับยิ้มอย่างอ่อนโยน “ไม่เจอกันหนึ่งปี ฮ่องเต้แคว้นเฉิงยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เผชิญปัญหาด้วยความใจเย็น สามารถวิเคราะห์ภาพรวมได้อย่างง่ายดาย”

ตงฟางเจ๋อสัมผัสได้ทันทีว่าคำชมนี้ไร้ซึ่งไมตรีจิต ก็อดลอบขมวดคิ้วไม่ได้ เขามองหน้าหลางฉ่างเงียบๆ

หลางฉ่างก้าวเข้ามา จ้องตาเขา แล้วกล่าวว่า “หลางฉ่างโง่เขลา มีเรื่องหนึ่งต้องการขอคำชี้แนะ ฉางเล่อเป็นคนปราดเปรื่องมาโดยตลอด นางบุกเข้าวังเพียงลำพัง ก็ยังไม่เคยได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย เมื่อคืนหลังจากพบท่านกลับถูกลักพาตัว…ฮ่องเต้แคว้นเฉิงบอกว่านางไม่ขัดขืน โปรดบอกหลางฉ่างได้หรือไม่ ว่านางเผชิญหน้ากับผู้ใด จึงได้ไม่ขัดขืนแม้แต่น้อย?”

ตงฟางเจ๋อขมวดคิ้วกล่าวว่า “ฝ่าบาทกำลังสงสัยเจ๋อ? เจ๋อเดินทางมาครั้งนี้เพื่อรับตัวซูซูกลับไปแต่งงาน มีเหตุผลใดต้องลักพาตัวนาง?!”

หลางฉ่างยิ้มเย็น แล้วเอ่ยว่า “ฮ่องเต้แคว้นเฉิงมีอุดมการณ์ยึดครองโลก ปีนั้นเพื่อจับจั้นอู๋จี๋และหยางเสวียน ถึงขั้นใช้งานอภิเษกสมรสเป็นเหยื่อล่อ ไม่สนใจความรู้สึกของฉางเล่อแม้แต่น้อย ยามนี้เป็นถึงประมุข หนึ่งไร้สาส์นแจ้งข่าว สองไร้จดหมายเยี่ยมเยือน จู่ๆ ก็เดินทางมาถึงเมืองหลวงแคว้นติ้ง จะรู้ได้เช่นไรว่ามีจุดประสงค์แอบแฝงใดหรือไม่?”

สีหน้าตงฟางเจ๋อแปรเปลี่ยนไปทันใด เขากล่าวอย่างไม่พอใจ “ครั้งนี้ที่ไม่อาจส่งสาส์นมาแจ้งล่วงหน้า เพราะข้าร้อนใจต้องการมาพบซูซูโดยเร็ว ไม่อยากเสียเวลากับพิธีรีตองมากมาย หากท่านตัดสินว่าข้ามีจุดประสงค์แอบแฝงด้วยเรื่องนี้ ข้าเองก็จะไม่แก้ต่างให้มากความ ตงฟางเจ๋อกระทำเรื่องใดมักทำตามใจเสมอมา ผู้คนใต้ฟ้านี้ไม่เข้าใจข้า ข้าไม่สนใจ ขอเพียงซูซูเข้าใจข้า ก็เพียงพอ!”

หลางฉ่างกล่าวด้วยสายตาเย็นชา “ยามนี้ฉางเล่อเป็นองค์หญิงของแคว้นเรา หากมีเรื่องใดเกิดขึ้นกับนาง ข้าไม่มีทางนิ่งดูดายแน่นอน”

ความหมายแฝงในวาจาเขา คือหากต้องการสู่ขอซูหลี ก็ต้องรอดูว่าแคว้นติ้งของพวกเขาจะยินยอมหรือไม่?! ตงฟางเจ๋ออดแค่นยิ้มในใจไม่ได้ ทว่าภายนอกกลับยังคงข่มกลั้นและกล่าวว่า “องค์รัชทายาทกำลังใช้สายสัมพันธ์ครอบครัวมาขัดขวางการแต่งงานของข้ากับซูซูงั้นหรือ?”

สายตาของหลางฉ่างไหวระริก เขาไม่พูดอะไร

ตงฟางเจ๋อเอ่ยเสียงขรึม “ท่านเป็นพี่ชายทางสายเลือดของซูซู ข้าย่อมต้องเคารพท่านหนึ่งส่วน แต่เรื่องนี้ องค์รัชทายาทไม่จำเป็นต้องห่วงเกินเหตุ”

หลางฉ่างกล่าวอย่างมีความหมายแฝง “หลางฉ่างมิได้หมายความเช่นนั้น เพียงรู้สึกว่าหากใจฮ่องเต้แคว้นเฉิงมีฉางเล่ออยู่จริง เกรงว่าคงไม่อาจสุขุมเยือกเย็นได้เช่นยามนี้”

……………….