ภาคแคว้นติ้ง บทที่ 20 เหตุการณ์อันตรายที่ท่าเรือ (3)

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

ตงฟางเจ๋อเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “นางตั้งใจจะเข้าถ้ำเสือ แสดงว่าต้องมีแผนการแน่นอน เรื่องที่องค์รัชทายาทถูกลักพาตัวเมื่อวาน เกรงว่าจะเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของนางอย่างไม่อาจปฏิเสธ ท่านเองก็บอกว่าซูซูเป็นคนปราดเปรื่อง ผู้ร้ายส่งคนฝีมือระดับต่ำมาจับตัวนางไป ต้องไม่รู้แน่นอนว่านางเป็นวรยุทธ์ เพียงเปลี่ยนเป้าหมายมาที่นางเพราะเป็นองค์หญิง”

หลางฉ่างขมวดคิ้วกล่าวว่า “ฉางเล่อเพิ่งเข้าวังได้ไม่นาน ไม่เคยมีความแค้นกับใคร ผู้ใดกันช่างใจกล้าถึงเพียงนี้ ถึงขั้นบังอาจลักพาตัวองค์หญิงแห่งแคว้นติ้งเช่นนี้?!”

ตงฟางเจ๋อเอ่ยอย่างแช่มช้า “บางทีคนร้ายอาจไม่ได้ต้องการตัวองค์หญิง แต่เป็นองค์รัชทายาท?”

หลางฉ่างมองหน้าเขา ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “ข้ามั่นใจว่าตนเองไม่เคยทำเรื่องน่าละอายใด นอกจากกับฮ่องเต้แคว้นเฉิง ก็ไม่เคยมีความแค้นกับผู้ใดเลย”

ตงฟางเจ๋อก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว แล้วถามเสียงเย็นชา “ไม่เคยทำเรื่องน่าละอายงั้นหรือ? องค์รัชทายาทเป็นคนใจกว้างและตรงไปตรงมาดังคาด ไม่เคยทำเรื่องน่าละอายใดเลยเช่นนั้นหรือ?”

หลางฉ่างจ้องหน้าเขา เงียบงันไม่พูดอะไร และไม่คิดหลบสายตาตั้งคำถามของเขา ตลอดชีวิตนี้ตัวเขาหลางฉ่างทำเรื่องใดโปร่งใสเสมอ มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น แต่เพื่อแว่นแคว้นและภาระหน้าที่ เขาไม่เสียใจที่ทำเช่นนั้น

ทั้งสองจ้องตากัน ต่างคนต่างมีเรื่องในใจ ไม่มีใครยอมใคร บรรยากาศเงียบงันผิดปกติ มีเพียงเสียงสายฝนที่เทกระหน่ำลงมาเท่านั้น เซิ่งฉินประหม่าเล็กน้อย ลอบจ้องหน้าหลิงอวิ๋นที่กางร่มให้หลางฉ่างอยู่ตรงหน้า แทบไม่กล้าส่งเสียง

ผ่านไปครู่หนึ่ง สายตาของตงฟางเจ๋อก็ค่อยๆ อ่อนลง เขาถอยหลังหนึ่งก้าว แล้วกล่าวเสียงแช่มช้าว่า “ซูซูจะต้องกลับมาอย่างปลอดภัยแน่นอน มิเช่นนั้นข้าจะไม่มีวันปล่อยคนที่ทำร้ายนางไป เชื่อว่าไม่นานองค์รัชทายาทจะต้องได้รับข่าวอย่างแน่นอน” เอ่ยจบเขาก็หมุนกายเดินจากไป

รถม้าวิ่งออกไปด้วยความเร็ว หลิงอวิ๋นมองหลางฉ่างด้วยความเป็นห่วง หลางฉ่างยืนอยู่ที่เดิม ไม่พูดอะไรสักคำ มีเรื่องราวในใจมากมาย

รถม้ามุ่งหน้าตรงไปยังพระราชวัง เพิ่งจะมาถึงหน้าประตูวัง ก็มีทหารเข้ามารายงาน “ทูลองค์รัชทายาท เมื่อครู่เพิ่งได้รับจดหมายมาฉบับหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”

หลางฉ่างรับไปแล้วเปิดดู เขากวาดตาอ่านอย่างรวดเร็วรอบหนึ่ง จากนั้นก็ขยำกระดาษแน่น สีหน้าเย็นชาดุจน้ำแข็ง ความคิดอันน่ากลัวค่อยๆ ผุดขึ้นมาในสมองของเขา

ตงฟางเจ๋อ หวังว่าท่าน…จะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง!

เวลาผ่านไปครึ่งชั่วยามแล้ว พายุฝนลูกใหญ่ค่อยๆ ซาลงกลายเป็นเม็ดฝนโปรยปราย

ตงฟางเจ๋อนั่งอยู่ในรถม้า มองออกไปนอกหน้าต่างอย่างครุ่นคิด ท่ามกลางไอฝนเบาบาง เงาสีดำสายหนึ่งโฉบไหวเข้ามาตรงหน้ารถอย่างรวดเร็ว แล้วคุกเข่าข้างเดียว รายงานเสียงขรึมว่า “เรียนนายท่าน ข้าน้อยส่งคนไปสืบมาแล้ว หนึ่งเค่อก่อนเวลาต้องห้ามของเมืองหลวงแคว้นติ้ง ไม่มีผู้ใดเข้าออกเมืองแล้วขอรับ ด่านที่อยู่ใกล้เมืองหลวงมากที่สุด ตกดึกก็ไม่มีใครเข้าออกอีกเลยเช่นกันขอรับ”

สายตาตงฟางเจ๋อแปรเปลี่ยนเป็นครุ่นคิด สีหน้ายังคงเรียบเฉย ความจริงคำตอบนี้อยู่ในความคาดหมายของเขาแต่แรกแล้ว หากจับตัวองค์หญิงแล้วเข้าเมือง ก็จะต้องถูกตรวจสอบอย่างแน่นอน เห็นได้ชัดว่าอันตรายเกินไป ยิ่งทำให้หลบหนีได้ลำบากกว่าเดิม เป็นกลยุทธ์ที่แย่ที่สุด แล้วเขาก็เชื่อเป็นอย่างยิ่ง ว่าอีกฝ่ายจะต้องมีเป้าหมายที่ใหญ่กว่านี้แน่นอน เพื่อให้สะดวกต่อการทำงาน ที่ซ่อนตัวของอีกฝ่ายต้องไม่ไกลจากเมืองหลวงมากเป็นแน่…

เขาลงจากรถ สาวเท้าเดินไปที่ริมแม่น้ำช้าๆ ฝนตกหนักทั้งคืน ทำให้น้ำในแม่น้ำเมืองหลวงแคว้นติ้งเพิ่มระดับ จนแทบจะล้นขอบตลิ่ง แม่น้ำซัดสาดชายฝั่งระลอกแล้วระลอกเล่า จากนั้นก็ลดระดับไปในพริบตา หยดน้ำชะล้างขอบฝั่งอย่างต่อเนื่อง บนดินเหนียวสีเหลืองเทา มีดอกหลีสีขาวดุจหิมะดอกหนึ่งติดแน่นอยู่ตรงนั้น ดูโดดเด่นสะดุดตาท่ามกลางอากาศครึ้มฝนหม่นหมองเช่นนี้

ตงฟางเจ๋อพลันตระหนัก เขาก้าวเท้าไปข้างหน้าเร็วๆ ก้มเก็บดอกหลีดอกนั้นขึ้นมา ก่อนจะกวาดมองสภาพแวดล้อมรอบๆ โดยสัญชาตญาณ แล้วถามเสียงเข้ม “เมื่อครู่ตอนค้นหา พบต้นหลีแถวๆ นี้หรือไม่?”

เซิ่งฉินรีบตอบทันที “ไม่ขอรับ!”

เซิ่งเซียวกล่าวเสริม “ตลอดเส้นทางจากเมืองหลวงมาถึงที่นี่ ข้าน้อยไม่เห็นต้นหลีสักต้นเลยขอรับ”

ทั้งสองมองหน้ากันอย่างสงสัย ไม่เข้าใจว่าจู่ๆ เหตุใดตงฟางเจ๋อจึงถามเรื่องนี้

ตงฟางเจ๋อขมวดคิ้วครุ่นคิดครู่หนึ่ง พลันนั้นดวงตาก็เป็นประกายขึ้นมา นิ้วมือที่หนีบดอกหลีไว้พลันคลายออก ดอกไม้สีขาวดอกเล็กๆ ร่วงหล่นลงในแม่น้ำ กระเพื่อมขึ้นลงตามคลื่นน้ำอันเชี่ยวกราก มุ่งหน้าไปยังสะพานจินเหมินซึ่งตั้งอยู่ทางฝั่งซ้ายของเมืองหลวงแคว้นติ้ง

ซูหลีเอนกายพิงกำแพง หลับตาทำสมาธิ และรออย่างใจเย็น

ประตูเรือเปิดออกอีกครั้ง ชายชุดดำสองคนรีบโฉบเข้ามาข้างในด้วยความเร็ว

ซูหลีรีบชำเลืองมองด้านนอกเร็วๆ ท้องฟ้ามืดมน ยามนี้กลับเป็นเวลากลางคืนของวันที่สองแล้ว

ชายชุดดำตัวสูงยืนอยู่ด้านหน้าซูหลี และมองพิจารณานาง “นึกไม่ถึงว่าองค์รัชทายาทนั่นจะตอบตกลงง่ายๆ อย่างนี้ ดูท่า เขาคงรักน้องสาวที่เก็บมาจากข้างทางอย่างเจ้ามาก”

หัวใจของซูหลีสั่นไหว เสด็จพี่ยอมตกลงแลกเปลี่ยนแล้วงั้นหรือ? แววดีใจพาดผ่านใบหน้านาง นางรีบถามทันที “เสด็จพี่อยู่ที่ใด?”

ชายชุดดำตัวเล็กโบกมือไปมา พลางเอ่ยอย่างหงุดหงิด “ใจร้อนอะไรกัน หนึ่งชั่วยามให้หลัง หากเขาพาตัวคนที่พวกข้าต้องการมา พวกข้าย่อมส่งมอบตัวเจ้าให้เขา”

ชายชุดดำตัวสูงกล่าวอย่างระมัดระวัง “อย่าเพิ่งชะล่าใจไป ได้ยินมาว่าองค์รัชทายาทนั่นก็ไม่ใช่คนธรรมดา พวกเราต้องฟังคำสั่งพี่ใหญ่ ระวังตัวให้มาก อย่าได้พลาดท่าในก้าวสุดท้ายเด็ดขาด!”

ซูหลีไม่พูดอะไรอีก เซี่ยหมิงหยางเป็นคนสำคัญ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ หลางฉ่างไม่มีทางยอมให้เขาเปิดเผยตัวตนง่ายๆ แน่ เขาตอบตกลงง่ายดายเช่นนี้ เดาว่าคงมีกลยุทธ์รับมือแล้ว พอถึงตอนนั้นนางก็จะคอยมองหาโอกาสและช่วยเขา ทำเช่นนี้จะต้องมีโอกาสจับตัวผู้อยู่เบื้องหลังได้แน่นอน!

เวลาค่อยๆ เดินผ่านไปอย่างเชื่องช้า ชายชุดดำสองคนเดินเข้ามาอีกครั้ง ดึงตัวซูหลีลุกขึ้น แล้วพานางตรงไปด้านหลังชั้นวางสินค้าที่กองอยู่บนจัตุรัส ยามนี้ฝนหยุดตกแล้ว เสียงฝีเท้าม้าและฝีเท้าคนดังมาจากด้านนอกท่าเรือริมแม่น้ำอันเงียบสงบ เห็นได้ชัดว่ามีคนมาจำนวนไม่น้อย

องครักษ์สองกองเรียงแถวเป็นระเบียบเรียบร้อย ก้าวไปข้างหน้าด้วยฝีเท้ารวดเร็ว ตรงกลางคือรถม้าหรูหราประณีตคันหนึ่ง รถม้าเคลื่อนตัวเข้ามาจอดด้านหน้าท่าเรือ ม่านรถเปิดออก หลางฉ่างเดินออกมาในชุดสีขาวดุจหิมะ ใบหน้าตึงเครียด นัยน์ตาอ่อนโยนสะท้อนแววคมปลาบรางๆ

ท่าเรือในยามกลางคืน ยามนี้สว่างไสวราวกับกลางวันด้วยคบเพลิงในมือเหล่าทหาร หลางฉ่างเดินมาถึงจัตุรัสที่อยู่ใจกลางท่าเรือ สายตาคมปลาบกวาดมองรอบข้าง ก่อนจะตะโกนเสียงดัง “ข้านำตัวคนมาแล้ว รีบปล่อยตัวองค์หญิงฉางเล่อเดี๋ยวนี้!” เอ่ยจบ เขาก็โบกมือ ทหารสองนายนำตัวคนผู้หนึ่งเดินออกมาจากข้างหลัง คนผู้นั้นมีรูปร่างปานกลาง สวมเสื้อคลุมกันลมตัวหนึ่งไว้ เนื่องจากก้มหน้าจึงมองเห็นหน้าตาได้ไม่ชัดเจน

ชายชุดดำสองคนนั้นไม่ขยับเขยื้อน ซูหลีมองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น นางจึงอดถามไม่ได้ “เสด็จพี่ของข้ามาแล้ว ทำไมพวกเจ้ายังไม่พาข้าออกไปอีก?”

ชายตัวเล็กสะดุ้งตกใจ ยกดาบพาดคอนาง แล้วตวาดเสียงเบา “หุบปาก!”

ซูหลีลอบขมวดคิ้ว แอบคิดในใจว่าเหตุใดลูกพี่ของพวกเขาจึงยังไม่ปรากฏตัวอีก?

ขณะกำลังคิด เงาร่างสีเทาสายหนึ่งก็พลันเหินทะยานผ่านเขตขนถ่ายสินค้าที่อยู่ด้านซ้ายมือของจัตุรัสเข้ามาอย่างรวดเร็ว เหมือนดั่งหมอกควันเบาบางสายหนึ่ง ก่อนจะทิ้งตัวลงกลางจัตุรัส ได้ยินเพียงเขาหัวเราะเสียงดัง พลางกล่าวว่า “องค์รัชทายาทกำลังล้อเล่นอยู่หรือ? หากข้าปล่อยตัวองค์หญิงตอนนี้ ข้าน้อยจะยังรอดชีวิตไปได้อย่างไรเล่า?”

ซูหลีสะท้านไปทั้งใจ เสียงนี้มีสำเนียงของชาวเฉิงอยู่เล็กน้อย กลับคล้ายกับเสียงของเงาร่างสีเทาที่นางไล่ตามไปในงานชุมนุมไป่จี๋! ดูท่าแล้ว พวกเขาก็คือคนที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ สามคนนั้น หรือว่าเขาก็คือผู้อยู่เบื้องหลังที่ฟู่เจิ้นเทียนพูดถึง?

ได้ยินหลางฉ่างปฏิเสธอย่างเด็ดขาด “ไม่ได้! ข้าต้องได้พบฉางเล่อก่อนจึงจะส่งมอบตัวคนได้!”

สายตาของชายชุดเทาปิดบังใบหน้าขรึมลง เขาหมุนกายโบกมือ พลางตะโกนสั่งว่า “พาตัวเข้ามา”

ชายชุดดำสองคนหนึ่งตัวสูงหนึ่งตัวเล็กรีบคุมตัวซูหลีเดินออกมาจากด้านหลังกองสินค้า แต่กลับไม่ยอมเดินเข้ามาใกล้

ชายชุดเทากล่าวว่า “องค์หญิงปลอดภัยดี องค์รัชทายาทวางใจหรือยัง?”

หลางฉ่างก้าวเท้าไปข้างหน้าโดยสัญชาตญาณ ตะโกนถามด้วยความร้อนใจ “ฉางเล่อ เจ้าเป็นอะไรหรือไม่?”

ซูหลีพยักหน้า ยังคงแสร้งทำเสียงหวาดกลัว กล่าวเสียงสั่นเครือว่า “ฉางเล่อไม่เป็นไรเพคะ เสด็จพี่…”

ชายชุดเทาโบกมือ ตัดบทนางอย่างหงุดหงิด “เอาละ ยังมีเวลาให้พูดคุยกันอีกมาก! เอาตัวคนที่ข้าต้องการออกมาก่อน ข้าย่อมส่งตัวองค์หญิงกลับไปอย่างสมบูรณ์!”

ซูหลีมองแผ่นหลังของคนชุดเทา สมองทำงานอย่างรวดเร็ว ตอนนี้นางอยู่ห่างจากเขาอีกหลายจั้ง หนีจากการจับกุมของสองคนนี้ไม่ใช่เรื่องยาก แต่กลัวจะทำให้ชายชุดเทาตื่นตัวเสียก่อน คนผู้นี้มีวิชาตัวเบาที่ยอดเยี่ยม เพื่อกำราบให้ได้ในคราวเดียว นางตัดสินใจรอต่อไปอีกหน่อย หากมีโอกาสเข้าใกล้ค่อยลงมือ

หลางฉ่างใบหน้าเขียวคล้ำ ทำได้เพียงโบกมือส่งสัญญาณ องครักษ์หลิงอวิ๋นพาตัวเซี่ยหมิงหยางเดินไปทางชายชุดเทา

ขณะเดินไปได้ครึ่งทาง จู่ๆ ชายชุดเทาก็ตะโกนเสียงดัง “หยุด!”

หลิงอวิ๋นชะงักฝีเท้า ชายชุดเทาตะโกนว่า “ให้เขาเปิดเผยใบหน้า!”

……….