ตอนที่ 613 เงาหญิงงามสุกสกาว

พันธกานต์ปราณอัคคี

“เช่นนั้น เขาดับสูญแล้วหรือยัง” หญิงสาวในคันฉ่องมีแววตาสดใส มองมั่วชิงเฉินอย่างว่างเปล่า

ดูจากท่าทางของนางนั้นเย็นชากว่าที่จินตนาการไว้

ภายใต้สายตาดุจสายธารของมั่วชิงเฉิน ก็พยักหน้าอย่างเชื่องช้า

จากนั้นก็มองเห็นหญิงสาวในคันฉ่องหมุนกาย หัวไหล่สั่นเทาไม่หยุด ร้องสะอึกสะอื้นออกมา

พวกมั่วชิงเฉินทั้งสี่คนมองสบตากันไปมา ยามนั้นผู้ใดก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี ทำได้ยืนเรียงแถวมองไปในคันฉ่อง

ชั่วครู่ หญิงสาวในคันฉ่องก็ร่ำไห้จนพอแล้ว จึงหันกายกลับมา พลันตกตะลึง “พวกเจ้ายังไม่ไปอีก”

ทั้งสี่คน…

หญิงสาวในคันฉ่องดูเยือกเย็นขึ้นมาก จึงถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “แต่ก่อนทุกครั้งที่ข้าร้องไห้ ล้วนต้องเกิดความวุ่นวาย ฝูงอสูรต่างแตกฮือไป” เอ่ยมาถึงตรงนี้ก็หัวเระคิกคัก พลางเอ่ยพึมพำว่า “มีเพียงคนโง่ผู้นั้น ที่ทนข้าไหว…”

“ท่านบรรพชน โปรดระงับความโศกเศร้าด้วยเจ้าค่ะ” มั่วชิงเฉินรู้สึกจิตใจหนักอึ้ง

เอาใจเขามาใส่ใจเรา หากศิษย์พี่จากไปก่อนตน…

เมื่อยกตัวอย่างนี้ นางก็ไม่กล้าขบคิดอีก

ตายมาแล้วครั้งหนึ่งถึงได้รู้ หลังจากตายไปแล้วเรื่องทุกอย่างในยามที่มีชีวิตอยู่ต้องหายไป คนที่เจ้าเป็นห่วงและคนที่เป็นห่วงเจ้าเหล่านั้น ถ้วยน้ำแกงของยายเมิ่งชามหนึ่งก็ลืมเลือนไปจนหมด

เมื่อใจระลึกถึง ภาพเยี่ยเทียนหยวนก็ผุดขึ้นมาในหัวใจราวกับเถาวัลย์พันเกี่ยว

ไม่รู้ว่าเขาต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไร ถึงจะออกมาจากแดนสวรรค์มี่หลัวตูได้

มองสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปของมั่วชิงเฉิน ริมฝีปากบางของหลัวอวี้เฉิงเม้มแน่น มือที่อยู่ในแขนเสื้อกำเข้ากันแน่นอย่างไม่รู้สึกตัว แต่เพียงชุดสีเข้มพลิ้วไสวน้อยๆ ก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นธรรมชาติอย่างรวดเร็ว แล้วหัวเราะเยาะตัวเองคราหนึ่ง

หญิงสาวในคันฉ่องได้ยินคำพูดของมั่วชิงเฉิงกลับฉีกยิ้ม “เช่นนี้ดีที่สุดแล้ว”

ทั้งสี่คนพลันตกตะลึง

หญิงสาวฉีกยิ้มบางๆ “ข้าเองก็ตายไปแล้ว หากเขายังมีชีวิตแล้วออกตามหา จะทุกข์ใจเพียงไหน หากเขาไม่ตามหา แล้วแต่งงานให้กำเนิดบุตร จะต้องอยู่ในเรือนอันงดงามที่ข้าสร้างเอาไว้ ใช้สมบัติหายากที่ข้าสะสมมา ไม่แน่ว่าอาจจะตีทารกของข้า เช่นนั้นข้าก็นอนตายตาไม่หลับแล้ว นี่ล้วนตายกันหมดแล้ว ทุกอย่างก็ล้วนสงบลงแล้วเช่นกัน”

ทั้งสี่คนพลันตกตะลึงไปอีกครั้ง

มั่วหร่านอีปรบมือ “วาจานี้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก หากวันหน้าข้าดับสูญ ก็จะเอาคู่บำเพ็ญไปด้วย”

มั่วชิงเฉินอ้าปากออก พี่สิบ ท่านมั่นใจว่าหากถ่ายทอดคำนี้ออกไปจะออกเรือนได้หรือ

หลัวอวี้เฉิงขบคิดในใจ เสือขนสีน้ำเงินตัวนั้นรับใช้ตนมาหลายสิบปี ควรจะเตือนสักหน่อยหรือไม่

“ท่านบรรพชน ท่านอยู่ในคันฉ่อง ใช่จิตสัมผัสหรือไม่” มั่วชิงเฉินในตอนนี้รู้สึกอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา

หญิงสาวในคันฉ่องเอ่ยอย่างตกตะลึง “ไม่ใช่ ข้าเป็นแค่เงาที่เวินหนิงทิ้งไว้ยามส่องคันฉ่องเท่านั้น ต่อมานางใส่จิตวิญญาณดั้งเดิมเสี้ยวหนึ่งเข้ามาในคันฉ่องเพื่อหล่อเลี้ยง ถึงได้มีสติปัญญาขึ้นมา ก็ไม่ถูก ข้าไม่ได้มีสติปัญญา เป็นแค่ความคิดของนางเท่านั้น”

เอ่ยจบก็มองทั้งสี่คนลึกเข้าไปในแววตาแวบหนึ่ง “เงาในคันฉ่องเหมือนกับแหนไร้ราก เป็นการดำรงอยู่ที่เป็นภาพมายามากที่สุด วันที่ได้เห็นท้องฟ้า คือช่วงเวลาแห่งการนิพพาน ดังนั้นพวกเจ้ามีอันใดจะพูด ก็รีบถามมาเถิด”

เงาของคันฉ่องหรือ

เมื่อได้รู้คำตอบ มั่วชิงเฉินก็รู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อย พลางเอ่ยถามว่า “ข้าอยากรู้ว่าเหตุใดใบหน้าของเวินหนิงถึงเปลี่ยนไปเช่นนั้น”

หญิงสาวในคันฉ่องมองมั่วชิงเฉินแวบหนึ่งอย่างมีเลศนัยแวบหนึ่ง ในแววตาดูเหมือนจะมีปลื้มอกปลื้มใจ สิ่งที่มากกว่าก็คือความเศร้าใจ จึงเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มบางๆ ว่า “อยากรู้หรือ เช่นนั้นพวกเจ้าก็ดูให้ดีล่ะ”

เอ่ยจบก็หันกาย เงาสีดำพลันปรากฏขึ้นในคันฉ่อง แล้วหายวับไปอย่างรวดเร็ว

จากนั้นบานกระจกก็ส่องประกาย เกิดภาพเคลื่อนไหววาบผ่านไป

ภาพแรก คือภาพเวินหนิงที่ดูยุ่งเหยิง เมื่อมองสถาการณ์ในห้องของหญิงสาวอย่างละเอียด ก็จะเห็นว่านางกำลังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง บางครั้งก็หน้าบึ้งบางครั้งก็ฉีกยิ้ม ไม่รู้ว่ากำลังฝันอันใดอยู่

จากนั้นภาพที่สอง ภาพที่สาม…

เวลาส่วนใหญ่ที่ปรากฏขึ้น ล้วนเป็นภาพเหตุการณ์เวินหนิงอยู่หน้ากระจก

บางครั้งคันฉ่องก็ฉายภาพนางกำลังเขียนคิ้วอย่างบรรจง บางครั้งก็ฉายภาพนางกำลังเหม่อลอย

ภาพใบหน้านางกะพริบพาดผ่าน เวลาที่ทอดยาวออกไปยาวนานขึ้นเรื่องๆ

ในที่สุดก็มีภาพหนึ่ง ได้ยินเสียงพึมพำของตนเองของเวินหนิง “หลิ่วเฉิงเฟิง เจ้ามันเขลาจริงๆ ช่างโง่เขลานัก!”

เอ่ยจบก็คว้าหวีขึ้นมาจากโต๊ะเครื่องแป้ง แล้วขว้างใส่คันฉ่อง

เสียง เคร้ง ดังขึ้น คันฉ่องไม่เป็นอันใด หวีกลับหัก

เวินหนิงหยิบหวีขึ้นมาอย่างเหม่อลอย ชั่วครู่ถึงได้ฉีกยิ้มเบิกบานกับคันฉ่อง “หลิ่วเฉิงเฟิง ข้าอาจจะไม่โกรธเจ้าแล้ว เจ้าว่าควรทำอย่างไร”

ภาพในกระจกหายไป คันฉ่องกลับมามืดมนเหมือนดิม ระลอกคลื่นสั่นคลอนอย่างรวดเร็ว

ในที่สุด ในคันฉ่องก็มีภาพปรากฏขึ้นอีกครั้ง

ครั้งนี้ภาพที่ปรากฏขึ้นในคันฉ่องคือบรรยากาศด้านนอก นอกจากเวินหนิงแล้วยังมีบุรุษเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง

บุรุษมีใบหน้างดงาม มุมปากประดับไปด้วยรอยยิ้มเย้ายวนร้ายกาจ บินลงมาขวางเวินหนิงเอาไว้

คิ้วงามของเวินหนิงเลิกขึ้น เอ่ยตวาดไปว่า “ผู้บำเพ็ญเพียรระดับถอดดวงจิตผู้ยิ่งใหญ่ มาขวางสตรีตัวเล็กๆ อย่างข้า เจ้าไม่ละอายใจหรือ”

เมื่อได้ยินคำนี้ ทั้งสี่คนที่มองอยู่ก็ใจสั่น

ผู้บำเพ็ญเพียรระดับถอดดวงจิตหรือ

หรือว่าจะเป็นเหอเซียวหยาง

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ มั่วชิงเฉินก็รู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย หรือว่าจะเป็นท่านผู้นำของผู้บำเพ็ญเพียรของแผ่นดินใหญ่ต้าหยวน ผู้ที่ถูกผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนนับไม่ถ้วนเคารพบูชา จะมีความประพฤติเช่นนี้หรือ

บุรุษในคันฉ่องสาวเท้าเข้ามาประชิดแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แม่นางเวินกล่าวเช่นนี้ไม่งามเลย หญิงงามย่อมเหมาะกับการเป็นคู่ชีวิตในอุดมคติของบุรุษ ข้าน้อยมาตามหารักแท้ มีอันใดต้องละอายใจ”

เวินหนิงหัวเราะอย่างเย็นชา “ไม่ควรเล่นสนุกกับภรรยาของสหาย แม้ว่าเจ้าและเฉิงเฟิงจะไม่ได้สนิทกัน แต่ก็เคยใช้สุราร่วมยินดี เหตุใดพอกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับถอดดวงจิต กลับทำตัวน่ารังเกียจ”

บุรุษหยุดชะงัก สายตาจ้องเขม็งไปยังใบหน้าของเวินหนิง สีหน้าสลับซับซ้อน พักใหญ่ถึงได้เอ่ยว่า “ไม่ใช่ว่าพอรุ่ยจือพัฒนาระดับขั้นก็มีเจตนาไม่ดี ความจริงแล้วก็ต้องใจแม่นางเวินมานานแล้ว แค่เวลานั้นแม่นางเวินและฝูเฟิงเจินจวินเป็นผู้มีชื่อเสียง รุ่ยจือกลับเป็นแค่ผู้บำเพ็ญเพียรสันโดษ แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว จึงมีเพียงต้องพัฒนาระดับพลังยุทธ์ขึ้นมาอีกขั้น ได้ยินว่าแม่นางเวินและฝูเฟิงเจินจวินตัดสัมพันธุ์กันแล้ว ถึงได้มาตามหา”

เอ่ยมาถึงตรงนี้ก็ก้าวมาข้างหน้า แล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยน “หวังว่าแม่นางเวินจะให้โอกาสข้าน้อยสักครั้ง”

ภายใต้สายตาลึกซึ้งของบุรุษ เวินหนิงพลันเอ่ยอย่างราบเรียบ “ไม่ได้”

เอ่ยจบก็กำลังจะกระโจนบินจากไป ทว่าบุรุษกลับขยับมาขวางทางไว้

เวินหนิงมุ่นคิ้ว “ฉีรุ่ยจือ ข้าบอกคำตอบกับเจ้าแล้ว อืดอาดยืดยาด เกาะติดตอแย ไร้ซึ่งมาดของผู้บำเพ็ญเพียรระดับถอดดวงจิต”

บุรุษมองลึกเข้าไปในแววตาของเวินหนิง “แม่นางเวิน เจ้าพูดถูก การกระทำอืดอาดยืดยาดย่อมเป็นสิ่งไม่ดี”

เอ่ยจบก็คว้าข้อมือของเวินหนิงเอาไว้

เวินหนิงพลันหน้าเปลี่ยนสี “ฉีรุ่ยจือ บังอาจ!”

ฉีรุ่ยจือมองลึกเข้าไปในแววตาของเวินหนิงแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยน “แม่นางเวิน ที่นี่ไม่ใช่จงหลาง”

ร่างกายของเวินหนิงสั่นสะท้าน ถอยร่นไปสองสามก้าว น้ำเสียงเย็นชา “เช่นนั้น เจ้าต้องการเช่นนี้จริงๆ หรือ”

ยังไม่รอให้ฉีรุ่ยจือพยักหน้า เป็นเพราะก่อนหน้านี้ได้โคจรพลังไปแล้ว จุดตันเถียนจึงหมุนโคจรอย่างบ้าคลั่ง

ฉีรุ่ยจือหน้าเปลี่ยนสี “แม่นางเวิน ทำเช่นนี้ไม่ได้นะ!”

เวินหนิงหัวเราะอย่างเย็นชา “ทำไม เจ้ากลัวข้าระเบิดจุดตันเถียนของตนเองหรือ หึๆ ข้าเองก็กลัวยิ่งนัก ทว่าคิดอยู่นานข้าก็คิดไม่ออกจริงๆ ว่าเหตุใดถึงทำให้เจ้าจดจำไม่ลืมเช่นนี้ เป็นเพราะร่างหยินบริสุทธิ์ใช่หรือไม่ คิดดูแล้วสำหรับผู้บำเพ็ญเพียรระดับถอดดวงจิตอย่างเจ้าก็เป็นเพียงสิ่งสวยงามเท่านั้นสินะ อ้อ หรือว่า…เพราะใบหน้าดวงนี้”

ฉีรุ่ยจืออ้าปากจะพูด กลับถูกเวินหนิงตัดบท “คงไม่ใช่เพราะนิสัยของข้าหรอกนะ หึๆ ผู้ใดต่างก็รู้ว่าข้ามีนิสัยประหลาด ไม่มีความกุลสตรี เช่นนี้ ก็คงเป็นเพราะใบหน้าของข้าสินะ”

เอ่ยไปพลางปลายนิ้วพลันมีไอวิญญาณพันรัด กรีดผ่านใบหน้าไป

ในขณะที่ฉีรุ่นจือกำลังร้องอุทานด้วยความตกใจนั้น สิบนิ้วของเวินหนิงเคลื่อนไหวอย่างว่องไว ทว่าชั่วพริบตาใบหน้าที่แต่เดิมงดงามก็เสียโฉมไม่เป็นชิ้นดี รูปโฉมดุจผีร้าย

“เจ้าโง่” เวินหนิงเหลือบมองฉีรุ่ยจือแวบหนึ่งอย่างดูถูก แล้วบินจากไป เหลือเอาไว้เพียงเสียงหัวเราะราวกับระฆังสีเงิน

มือข้างหนึ่งโจมตีไปที่ส่วนท้อง ฝืนระงับจุดตันเถียนที่กำลังโคจรอย่างบ้าคลั่งเอาไว้

เวินหนิงบินกลับมาที่ยอดเขาน้ำตกที่เต็มไปด้วยร่มเงา แล้วกลับไปยังถ้ำพำนักอย่างยากลำบาก

จากนั้นคันฉ่องก็หม่นแสงลง ผ่านไปชั่วครู่หญิงสาวในคันฉ่องก็ปรากฏขึ้น ทำลายความเงียบ “พวกเจ้าเห็นแล้ว ใบหน้าของเวินหนิง เป็นเพราะเหตุนี้นี่แหละ”

“จากนั้นล่ะ” น้ำเสียงของมั่วชิงเฉินแหบแห้งไปเล็กน้อย

นางคิดไม่ถึงเลยจริงๆ เวินหนิงที่ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าน่ารักและขี้เล่น จะมีนิสัยที่เด็ดขาดเช่นนี้

“จากนั้นหรือ…เวินหนิงนางพยายามระงับการระเบิดตัวเองของจุดตันเถียน ทำลายชีพจรไปกว่าครึ่ง ร่างกายอ่อนแอลงอย่างรวดเร็ว ยามนั้นนางเขียนอะไรไว้มากมาย ในลิ้นชักด้านล่างสุดของโต๊ะเครื่องแป้งในห้องพัก นางหนูน้อย ในเมื่อเจ้าคืออนุชนของเวินหนิง ของเหล่านี้ก็มอบให้เจ้าจัดการก็แล้วกัน คันฉ่องบานนี้มีนามว่าคันฉ่องสุกสกาวสมประสงค์ รอจนข้าหายไปแล้ว มันก็จะเป็นของเจ้า” หญิงสาวในคันฉ่องเอ่ย

มั่วชิงเฉินกลับไม่ได้ตกตะลึงและไม่ได้ดีใจ เพียงเจ็บปวดแทนเวินหนิง

ผ่านไปชั่วครู่หญิงสาวในคันฉ่องก็ถามว่า “ยังมีอันใดอยากรู้หรือไม่”

มั่วชิงเฉินมองพวกมั่วหร่านอีอีกสองคน แล้วเอ่ยว่า “หอกักวิญญาณบนยอดน้ำตก เคยกักวิญญาณท่านอาหญิงของข้า ได้ยินท่านอากล่าวว่า ท่านอาชายอีกคนหนึ่งของข้าเองก็อยู่ที่นี่ เวินหนิงเป็นผู้พาไป และยังเอ่ยถึงจงหลาง ไม่ทราบว่าท่านบรรพชนรู้เรื่องนี้หรือไม่”

หญิงสาวในคันฉ่องขบคิดแล้วส่ายศีรษะ “หลังจากที่เวินหนิงกลับมา ข้าก็อยู่แต่ในห้อง ไม่รู้เรื่องราวอันใดนอกถ้ำพำนัก ทว่าจนถึงตอนสุดท้าย เวินหนิงก็รู้สึกว่าเส้นตายมาถึงแล้ว จึงวางค่ายกลในถ้ำพำนักใหม่ จากนั้นก็นำคันฉ่องสุกสกาวสมประสงค์มาไว้ที่ห้องฝึกวรยุทธ์ สำแดงเคล็ดวิชาลับแยกจิตวิญญาณดั้งเดิมเสี้ยวหนึ่งไว้ในคันฉ่อง ข้าถึงได้ปรากฏขึ้น ผ่านมาหลายปี จิตวิญญาณเสี้ยวนี้จู่ๆ ก็ทะลุออกมาจากคันฉ่อง แล้วบินออกไปนอกถ้ำพำนัก ข้าออกจากคันฉ่องไม่ได้ สิ่งที่รู้ก็มีเพียงภาพที่เคยสะท้อนผ่านคันฉ่อง จากนั้น ก็ไม่ได้พบกับนางอีกเลย”

หญิงสาวในคันฉ่องเอ่ยจบก็มองทั้งสี่คน เห็นพวกเขาล้วนมีสีหน้าเคร่งขรึม ก็หัวเราะคิกคัก “เหตุใดพวกเจ้าถึงทำหน้าเช่นนี้ ต่อให้ใบหน้าและร่างกายของเวินหนิงถูกทำลาย นอกจากอาการซึมเซาในช่วงแรกแล้ว จากนั้นก็เยือกเย็นมาโดยตลอด บางครั้งถึงจะมาหวีผมหน้าคันฉ่อง ดอกม่านถัวหลัวมรกตเหล่านั้น ก็เป็นสร้างขึ้นจากการที่นางตัดกระโปรงสีเขียวในวันสุดท้ายของชีวิต…”

คำพูดของหญิงสาวในคันฉ่องยังไม่ทันเอ่ยจบ ผิวคันฉ่องก็สั่นกระเพื่อม

เงาร่างของหญิงสาวค่อยๆ จางลง เสียงแผ่วเบาและกระท่อนกระแท่นดังมา “ข้า…ข้าเองก็ตั้งชื่อให้ตัวเองเอาไว้…ชื่อว่าเจี่ยวเจี่ยว (สุกสกาว) …”

ทุกอย่างในคันฉ่องสลายหายไป ในที่สุดก็กลับคืนสู่ความเงียบสงบ ลำแสงสว่างวาบกลายเป็นคันฉ่องหลิงฮวาขนาดเท่าฝ่ามืออีกครั้ง แล้วร่อนลงสู่พื้น

ร่างของมั่วชิงเฉินพลิ้วไหว ยื่นมือออกไปรับคันฉ่องสุกสกาวสมประสงค์เอาไว้ มองบานคันฉ่องแล้วเอ่ยพึมพำ “ข้ารู้แล้ว เจี่ยวเจี่ยว”

คันฉ่องสุกสกาวสมประสงค์สั่นเทา ราวกับตอบรับอย่างเบิกบานใจ แล้วกลับคืนสู่ความสงบนิ่งอย่างรวดเร็ว

มั่วชิงรู้ว่าคันฉ่องนี้เหมือนกับใบหน้าของเวินหนิง ความคิดทุกอย่างเกิดจากนาง กลับตั้งชื่ออันงดงามให้เงาของตนเอง สุดท้ายก็สลายหายไป

“ไปกันเถิด ไปดูว่าเวินหนิงทิ้งอันใดเอาไว้” มั่วชิงเฉินกลับมาเยือกเย็นอย่างรวดเร็ว แล้วเดินนำตรงไปยังห้องพัก