ตอนที่ 614 จากแดนหยินเข้มข้น

พันธกานต์ปราณอัคคี

ในลิ้นชักโต๊ะเครื่องแป้งเป็นจดหมายหยกแผ่นบางประมาณสิบกว่าแผ่น ใช้เชือกสีแดงเส้นเล็กๆ ร้อยเรียงต่อกัน แผ่นที่อยู่บนสุดสลักเอาไว้ว่า ‘จุมพิตแรกของหลิวเฉิงเฟิง’

มั่วชิงเฉินไม่ลังเล เก็บจดหมายหยกปึกนั้นลงไปในกำไลเก็บวัตถุ ใส่รวมกับเถ้ากระดูกของฝูเฟิงเจินจวินและเวินหนิง

ยามนี้พวกเขาได้อยู่ด้วยกันแล้ว วาจาที่อยากจะเอื้อนเอ่ยเหล่านั้นก็ปล่อยให้เป็นไปตามนั้นเถิด ในฐานะชนรุ่นหลัง กลับไม่มีความจำเป็นต้องเปิดอ่าน

แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเมื่อเก็บจดหมายหยกปึกนั้นไป ด้านล่างจดหมายหยกพลันมีตัวอักษรสลักคำว่า ‘ทิ้งไว้ให้ผู้มีวาสนา’ ปรากฏขึ้น

มั่วชิงเฉินมองจดหมายหยกที่ปรากฏขึ้นกลางอากาศ พลันตกตะลึง

คิดไม่ถึงเลยว่า มาถึงยามนี้ เวินหนิงจะยังทิ้งอะไรไว้

“เป็นยันต์เหตุและผล” หลัวอวี้เฉิงเปล่งคำพูด

“อะไรคือยันต์เหตุและผล” มั่วหร่านอีเอ่ยถาม

ผู้ตอบคือมั่วเฟยเยียน “ยันต์เหตุและผลเป็นยันต์ที่ไม่เป็นที่นิยมนักชนิดหนึ่ง ประสิทธิภาพเกี่ยวข้องกับของสองสิ่ง เมื่อสัมผัสยันต์วิเศษนี้ จะมีผลต่อวิธีหรือการกระทำของของชิ้นแรก และตัดสินสถานะของของอีกชิ้น”

จะว่าไปแล้วมั่วเฟยเยียนก็นับว่าเป็นอัจฉริยะในด้านการเขียนยันต์ แต่แค่นางมีนิสัยเย็นชา ไม่ค่อยนำยันต์ที่เขียนขึ้นออกมาขาย จึงไม่ค่อยมีผู้ใดรู้ว่านางเป็นยอดฝีมือด้านนี้

มั่วหร่านอีมองมั่วเฟยเยียนและมั่วชิงเฉิน ฉับพลันนั้นก็รู้สึกกลุ้มใจเล็กๆ

ตอนที่ยังเยาว์วัย ก็ถูกพวกนางสองคนกดเอาไว้ โตขึ้น พยายามมากแค่ไหนก็สู้พวกนางไม่ได้ แม้กระทั่งเปลี่ยนไปฝึกฝนบนเส้นทางมารบำเพ็ญเพียรซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความรวดเร็ว แต่แล้วเหตุใดกลับห่างชั้นกันมากถึงเพียงนี้หนะ

พี่เก้าเชี่ยวชาญคาถายันต์ น้องสิบหกเชี่ยวชาญการปรุงยา นางดูเหมือนว่า…จะเชี่ยวชาญการโกรธแค้น…

เมื่อขบคิดมาถึงตรงนี้ มั่วหร่านอีก็ไม่ตอบรับคำพูดของมั่วเฟยเยียน หันหน้าไปด้านข้าง และยิ่งรู้สึกโมโหมากยิ่งขึ้น…

มั่วชิงเฉินแทรกจิตสัมผัสเข้าไปในจดหมายหยก อ่านเนื้อหาด้านในอย่างรวดเร็ว แล้วเงยหน้ามองทั้งสามคน “ดังคาด ในจดหมายตอนแรกล้วนเป็นคำพูดที่นางทิ้งไว้ให้สามี หากผู้ใดกล้าแอบอ่าน ก็จะเห็นดีกันแน่”

“แล้วที่บอกว่าเก็บไว้ให้ผู้มีวาสนาคืออะไร” หลัวอวี้เฉิงเอ่ยถาม

“เป็นคาถาเปิดผนึกสมบัติ และยังเอ่ยถึงคันฉ่องสุกสกาวสมประสงค์ กล่าวว่าในคันฉ่องสุกสกาวสมประสงค์มีสมบัติอยู่ชิ้นหนึ่ง เป็นระฆังเสาะตำแหน่ง เมื่อตีระฆัง ก็สามารถตามหาค่ายกลส่งตัวโบราณที่อยู่ใกล้ๆ ได้ หากผู้ที่มายอมเดินทางไปจงหลาง ก็สามารถปลุกจิตวิญญาณเสี้ยวหนึ่งในคันฉ่องที่นางทิ้งเอาไว้ให้ตื่นได้ หลังจากทำพันธสัญญากันแล้วจะยอมมอบคันฉ่องสุกสกาวสมประสงค์และระฆังเสาะตำแหน่งให้ ขอแค่ไปถึงจงหลาง นำศพของนางและจดหมายกลับไปส่งที่บ้าน พันธสัญญาก็จะคลายออกโดยอัตโนมัติ”

มั่วหร่านอีได้ฟังแล้วรู้สึกแปลกๆ “เช่นนั้น หรือว่าท่านอาสิบสี่เป็นผู้มีวาสนาผู้นั้น”

มั่วชิงเฉินสั่นศีรษะ “ข้าว่าไม่ใช่ คันฉ่องสุกสกาวสมประสงค์อยู่ในมือข้าแล้ว เศษเสี้ยวจิตวิญญาณของเวินหนิงรวมทั้งระฆังเสาะตำแหน่งก็ไม่อยู่แล้ว เกรงว่าเศษเสี้ยวจิตวิญญาณของเวินหนิงดำรงอยู่มาเป็นพันปีโดยไม่พบผู้ที่มีวาสนา จึงเหลือเวลาไม่มากแล้ว บังเอิญท่านอาสิบสี่มาตามหาเบาะแสของท่านอาหกจนมาถึงที่นี่ได้อย่างไรก็ไม่รู้ ภายใต้ความร้อนใจจึงไม่สนอะไรทำลายคันฉ่องออกมา ต้องการให้ท่านอาสิบสี่เป็นผู้ถ่ายทอดคำพูดแทนนาง”

มั่วเฟยเยียนขมวดคิ้วเล็กๆ “ท่านอาสิบสี่ไปจงหลางหรือ ค่ายกลส่งตัวโบราณมี ท่านอาสิบสี่ที่มีพลังยุทธ์เพียงระดับหลอมลมปราณจะรับไหวหรือ”

“ข้าจำได้ว่าฝูเฟิงเจินจวินเคยกล่าวไว้ จากพลังยุทธ์ของเขา ให้อาศัยค่ายกลส่งตัวมายังเทียนหยวน ก็ต้องใช้เวลาสิบกว่าปี จากการคาดเดานี้กายเนื้อของท่านอาสิบสี่จะรับแรงกดของค่ายกลส่งตัวได้หรือไม่นั้นไม่ต้องพูดถึง เกรงว่าอายุขัยของเขาคงรับไม่ไหว” หลัวอวี้เฉิงแทรกขึ้น

เอ่ยจบกลับเห็นหญิงสาวทั้งสามคนจ้องเขม็งมายังเขาด้วยสีหน้าแปลกประหลาดพร้อมกัน

หลัวอวี้เฉิงที่เชี่ยวชาญการคาดเดาความรู้สึกของผู้คนได้มาตลอดกลับไม่เข้าใจว่าเหตุใดพี่น้องทั้งสามถึงได้เผยสีหน้าเหมือนกันทุกประการออกมา จึงอดที่จะเอ่ยถามไม่ได้ “ทำไม มีตรงไหนที่พูดไม่ถูกหรือ”

พวกมั่วชิงเฉินทั้งสามคนมองสบตากันแวบหนึ่ง แล้วมองไปทางหลัวอวี้เฉิงพร้อมกัน พร้อมกับเอ่ยอย่างพร้อมเพรียงว่า “เจ้าเรียกท่านอาสิบสี่อะไรกัน”

พวงแก้มของหลัวอวี้เฉิงเผยสีแดงระเรื่อออกมาอย่างน่าสงสัยเป็นครั้งแรก ท่ามกลางสายตาจับจ้องของหญิงสาวทั้งสามก็กลับมาเยือกเย็นอย่างรวดเร็ว มุมปากกระตุกยิ้มบางๆ “พวกเจ้าวิจารณ์ถูกแล้ว ตามเหตุผลแล้วต้องเรียกว่าน้องชาย…”

สายตาที่ทั้งสามคนส่งมาเต็มไปด้วยจิตสังหาร หลัวอวี่เฉินกลับหัวเราะร่าออกมา

“เศษเสี้ยวจิตวิญญาณของเวินหนิงน่าจะไม่ทำร้ายท่านอาสิบสี่ ไม่ว่าท่านอาสิบสี่จะไปที่ใด ตอนนั้นน่าจะปลอดภัย ผู้บำเพ็ญเพียรต่อให้พลังยุทธ์สูงส่งขนาดไหน หากไม่ถึงระดับแยกวิญญาณไม่มีทางอาศัยค่ายกลส่งตัวได้ ไม่แน่ว่าจิตวิญญาณดั้งเดิมของเวินหนิงอาจจะมอบภารกิจให้ท่านอาสิบสี่ ท่านอาสิบสี่เป็นคนที่เชื่อถือได้ จากคุณสมบัติของเขา ทั้งได้มาพบกับเวินหนิง อาจจะมาถึงระดับสร้างรากฐานได้ก็เป็นได้ อายุขัยของผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน ก็เพียงพอจะให้มาถึงจงหลางแล้ว” มั่วชิงเฉินวิเคราะห์เสร็จก็ยืนขึ้น เดินไปทางหัวเตียง

ตบไปที่กำแพงที่สลักดอกม่านถัวหลัวเหนือเตียงเบาๆ ร่ายอาคมเอาจดหมายหยกออกมาอย่างรวดเร็ว กล่องไม้ใบหนึ่งร่อนลงมาจากกลางอากาศ

ยื่นมือออกไปรับมาวางบนโต๊ะที่อยู่ด้านข้าง “นี่คือสมบัติที่ในจดหมายเอ่ยถึง คิดดูแล้วน่าจะเป็นสิ่งที่เวินหนิงใช้ยามที่มีชีวิตอยู่”

แล้วร่ายอาคมอีกระยะหนึ่ง กล่องไม้เปิดออก ชั่วพริบตานั้นด้านในพลันเปล่งแสงเจิดจ้า ทิ่มแยงตาจนลืมไม่ขึ้น

รอจนมองเห็นชัดเจน หลัวอวี้เฉิงก็ตกตะลึงจนตาค้าง หญิงสาวทั้งสามคนกลับแววตาเปล่งประกาย

ในกล่องไม้มีสมบัติวางอยู่สองสามชิ้น ล้วนเป็นเครื่องประดับ ทุกชิ้นล้วนวิจิตรงดงาม ไม่อาจเทียบเทียมได้

“ดูแล้วข้าคงไม่ได้อะไรแล้ว” หลัวอวี้เฉิงถอนหายใจ

มั่วหร่านอีฉีกยิ้มดีใจบนความทุกข์ของผู้อื่น “สมน้ำหน้า นี่เรียกว่าฉลาดมากไปจนเสียรู้”

หลัวอวี้เฉิงมองนางอย่างราบเรียบแวบหนึ่ง กลับไม่ได้โต้แย้ง

“สหายหลัว เจ้าปากร้ายจะตายมิใช่หรือ หรือว่าถูกโจมตีโดยไม่ได้รับประโยชน์ จึงท้อใจจนขี้เกียจแม้แต่จะพูดเสียแล้ว” มั่วชิงเฉินถ่ายทอดเสียงอย่างเงียบๆ

ผู้บำเพ็ญเพียรมักจะแย่งชิงเคล็ดวิชา สมบัติอาคม รวมไปถึงสมบัติวิเศษกัน เมื่อเข้าไปในแดนลับหรือถ้ำพำนัก ผู้อื่นล้วนได้ประโยชน์แต่ตนกลับมือเปล่า ย่อมเกิดความรู้สึกไม่ค่อยน่าอภิรมย์นัก

“ทำไม สหายมั่วเป็นห่วงข้าหรือ” หลัวอวี้เฉิงส่งเสียงเกียจคร้านมา

มั่วชิงเฉินเลือกสมบัติขึ้นมาด้วยสีหน้าราบเรียบ น้ำเสียงที่ถ่ายทอดเสียงไปกลับดูอึดอัดมาก “สหายหลัวเข้าใจผิดแล้ว ข้าแค่อยากมั่นใจว่าเจ้ากลัดกลุ้มหรือไม่ หากกลัดกลุ้ม ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะให้เจ้าเลือกไปสักชิ้น…อืม…ความจริงแล้วก็เข้ากับเสื้อของเจ้ามาก…”

นางถ่ายทอดเสียงเสร็จ นึกไม่ถึงเลยว่าหลัวอวี้เฉิงจะยื่นมืออกไปเขี่ยในกล่องไม้จริงๆ แล้วหยิบแหวนหยกสีเขียวมรกตขึ้นมาวงหนึ่ง

“เจ้า เจ้า…มันหน้าด้านจริงๆ แหวนวงนี้สลักค่ายกลป้องกันเก้าชั้นเอาไว้ เป็นสิ่งที่เหมาะกับการใช้เวลาติดอยู่ด้านในกับดักมากที่สุด เจ้าเป็นบุรุษคนหนึ่งคาดไม่ถึงว่าจะกล้าเอาไป!” มั่วหร่านอีมองหลัวอวี้เฉิงด้วยความโมโห

หลัวอวี้เฉิงสวมแหวนเข้าไป แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบว่า “กฎของโลกผู้บำเพ็ญเพียร ไปค้นหาสมบัติในถ้ำพำนักด้วยกัน ทุกคนต้องมีส่วนแบ่ง แต่ไม่ได้บอกว่าสมบัติที่ให้อิสตรีใช้ บุรุษจะเอาไปไม่ได้”

“เจ้า เจ้าเอาไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร!” มั่วหร่านอีโกรธเกรี้ยว และรู้สึกเจ็บใจ

นางถูกใจแหวนวงนั้นตั้งนานแล้ว แต่แค่คิดว่าเวินหนิงเป็นบรรพชนของน้องสิบหก เข้ามาในถ้ำพำนักได้ตนก็ไม่ได้ออกแรงอะไรมาก จึงอยากรอให้น้องสิบหกเลือกเสร็จแล้วค่อยเลือก กลับคิดไม่ถึงว่าจะมาเสียเปรียบให้กับหลัวอวี้เฉิง!

หลัวอวี้เฉิงยื่นมือออกมามองอย่างแปลกใจ “แปลกจัง ข้าก็มีมือ เหตุใดถึงจะใช้ไม่ได้”

มั่วหร่านอีโกรธจนแทบกระอักเลือกเขี่ยของที่อยู่ในกล่องไม้อย่างระบายอารมณ์

มั่วชิงเฉินฉีกยิ้มขณะเอ่ย “พี่เก้า พี่สิบ พวกท่านเลือกตามใจเถิด ไม่ต้องสนใจความสัมพันธ์ของข้ากับเวินหนิง”

ล้วนเป็นพี่น้องแท้ๆ กัน เมื่อได้ยินนางกล่าวเช่นนี้ ทั้งสองคนก็ไม่เกรงใจ เลือกสิ่งที่ตนเองชอบ

ในกล่องไม้ยังมีของอยู่อีกสองสามชิ้น มั่วชิงเฉินหยิบต่างหูไข่มุกคู่หนึ่งออกมาสวม แล้วดันอีกสองชิ้นให้ทั้งสองคน ยังเหลืออยู่อีกสองสามชิ้นจึงเก็บมาคิดจะมอบให้สหายสนิทในภายหลัง

มั่วเฟยเยียนดันปิ่นหยกมา “น้องสิบหก อันนี้เหมาะกับเจ้า”

มั่วชิงเฉินลูบไปบนปิ่นหยกบนผมอย่างไม่รู้สึกตัว แล้วสั่นศีรษะปฏิเสธ “ไม่ต้องหรอก สมบัติเหล่านี้มีอยู่แค่สองสามชิ้นที่ใช้การได้ ที่เหลือไม่มีประโยชน์อะไรกับพลังยุทธ์ของข้าในยามนี้”

เอ่ยจบก็ยื่นมืออกไป คลี่ผ้าไหมประดับเครื่องนอนออก เผยแผ่นหยกออกมา ด้านบนเขียนว่า ‘เคล็ดหยกอ่อน’

“นี่คือเคล็ดหยกอ่อนที่เวินหนิงฝึกฝนหรือ” มั่วชิงเฉินเห็นเคล็ดวิชาระดับสูง ก็อดที่จะดีใจไม่ได้

นางเข้ามาอยู่ในระดับก่อกำเนิด ก็ยังฝึกฝนเคล็ดวิชาพันไหมชิงมู่ ความจริงแล้วกลับไม่มีประโยชน์ต่อสถานการณ์ของนางในตอนนี้มากนัก

จึงกำลังครุ่นคิดอยากสร้างเคล็ดวิชาใหม่ที่เหมาะสมกับตัวเอง ในเมื่อเคล็ดหยกอ่อนนี้มีไว้สำหรับอิสตรี ไม่แน่ว่านอกจากประสิทธิภาพที่ทำให้ใบหน้างดงามแล้ว อาจจะมีประโยชน์ด้านอื่นด้วยก็เป็นได้

กวาดจิตสัมผัสออกไปเล็กน้อยแล้วดึงกลับมาอย่างรวดเร็ว สั่นศีรษะให้ทั้งสามคน “เคล็ดหยกอ่อนบทแรกกล่าวว่า แม้ว่าสตรีผู้บำเพ็ญเพียรจะฝึกฝนเคล็ดวิชานี้ได้ แต่หากอยากฝึกฝนจนประสบความสำเร็จต้องมีร่างหยินบริสุทธิ์ พี่เก้า พี่สิบ พวกท่านอยากฝึกฝนหรือไม่”

มั่วเฟยเยียนปฏิเสธอย่างเด็ดขาด “เคล็ดวิชาที่ข้าฝึกฝน มีคาถาถึงระดับถอดดวงจิตและแยกวิญญาณ ไม่คิดจะเปลี่ยน”

ทั้งสามคนได้ยินแล้วพลันสูดลมหายใจเข้าอย่างอดไม่ได้

มั่วเฟยเยียนเอ่ยอธิบาย “ท่านอาจารย์เคยกล่าวว่าเป็นเพราะเคล็ดวิชาธาตุน้ำแข็งนั้นมีเอกลักษณ์พิเศษ ในพรรคจึงมีการถ่ายทอดอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ แต่แค่คาถาสองท่อนสุดท้าย มีเพียงต้องทะลวงระดับขั้นถึงจะอ่านได้”

“พี่สิบ ท่านล่ะ”

มั่วหร่านอีก็สั่นศีรษะเช่นเดียวกัน “ข้าในยามนี้ฝึกฝนเคล็ดวิชาสายมาร ฝึกฝนคาถานี้กลัวจะขัดแย้งกัน ช่างมันดีกว่า อีกอย่าง ข้ายังต้องสวยกว่านี้อีกหรือ”

ทั้งสามคน…

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็จะรับเอาไว้ ชิงเกอมีร่างหยินบริสุทธิ์ เหมาะจะฝึกฝนเคล็ดวิชานี้เป็นอย่างมาก” มั่วชิงเฉินเก็บเคล็ดหยกอ่อนที่ทุกคนไม่เอาลงไป

สิ่งที่ควรเอามาก็เอามาแล้ว สิ่งที่ควรจะเข้าใจก็เข้าใจแล้ว ทั้งสี่คนจึงออกจากถ้ำพำนักของเวินหนิงไปอย่างเงียบเชียบ มองเห็นอาชิงรอตากลมอยู่ภายนอก

เมื่อเห็นทั้งสี่คนก็ดวงตาเปล่งประกาย กระโจนเข้ามา “เฮ้อๆ พวกเจ้าออกมาเสียที ปู่รออย่างร้อนใจนัก…”

มั่วหร่านอีถีบอาชิงจนกระเด็น “ไปตายเสีย เจ้ามากอดข้าทำไม”

อาชิงตกลงสู่พื้น แล้วรีบลุกขึ้นมาในทันที “พยัคฆ์ตัวเมีย เจ้าดุร้ายอะไรเช่นนี้ ผู้ใดให้เจ้าพลังยุทธ์ต่่ำต้อยที่สุดเล่า หญิงงามสองคนนั้นปู่อยากกอดตั้งนานแล้ว แต่ทำไม่ได้นะสิ…”

เอ่ยมาถึงตอนสุดท้ายน้ำเสียงของอาชิงก็เปลี่ยนไป มั่วหร่านอีขึ้นไปนั่งบนตัวของมันอย่างคุ้นเคย และใช้เท้าถีบมัน “หญิงงามสองคนอะไรกัน หรือว่าข้าไม่ใช่หญิงงาม เจ้ามันตัวโง่งม วันนี้เป็นวันตายของเจ้า!”

มั่วชิงเฉินและมั่วเฟยเยียนมองสบตากัน ครู่ใหญ่ถึงได้กระแอมไอออกมาแล้วเอ่ยว่า “พี่เก้า เหตุใดสิ่งที่พี่สิบควรสนใจถึงแตกต่างกับคนทั่วไปมากขนาดนี้ เป็นผู้บำเพ็ญเพียร สิ่งที่ควรกลัดกลุ้มที่สุดก็ควรจะเป็นถูกมองว่าพลังยุทธ์ต่ำต้อยมิใช่หรือ”

มั่วเฟยเยียนพยักหน้าอย่างราบเรียบ “นางก็เป็นเช่นนั้น ข้ามองออกตั้งนานแล้ว”

หลัวอวี้เฉิงที่อยู่ด้านข้างมุมปากกระตุก แล้วจากไปอย่างเงียบๆ

สหายมั่ว พวกเจ้าสองคนความสนใจผิดปกติแล้ว หรือว่าไม่ได้สนใจคำเรียกที่อาชิงเรียกมั่วหร่านอีกัน

ทั้งสี่คนออกจากแดนหยินอย่างรวดเร็ว ยืนอยู่กลางอากาศ มั่วเฟยเยียนเอ่ยถาม “น้องสิบหก เจ้ากับสหายหลัวเริ่มส่งข้อความหรือยัง”

มั่วชิงเฉินกระแอมไอเบาๆ น้ำเสียงแผ่วเบาลงเล็กน้อย “เช่นนั้น ก็รออีกเดี๋ยวเถิด”