ตอนที่ 615 มีสุขร่วมเสพหรือว่ามีทุกข์ร่วมต้าน

พันธกานต์ปราณอัคคี

“จะรออะไรอีก ฮวาเชียนซู่ก็จัดการแล้ว กระดูกของฝูเฟิงเจินจวินและเวินหนิงก็หาพบแล้ว หรือว่าช่วงนี้พวกเราไม่ต้องกักตนแล้ว จะได้ไปจงหลางพอดี” มั่วหร่านอีเอ่ย

มั่วเฟยเยียนพยักหน้าตาม “ฟังดูแล้วระดับของผู้บำเพ็ญเพียรที่จงหลางจะสูงกว่าเทียนหยวน คิดดูแล้วคงมียอดฝีมือมาก ไม่แน่ว่าอาจจะได้พบผู้บำเพ็ญเพียรระดับถอดดวงจิตก็เป็นได้”

มีเพียงหลัวอวี้เฉิงที่ไม่ส่งเสียง แค่ยืนอย่างเงียบๆ

มั่วชิงเฉินจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “ตรงไปจงหลาง ต้องใช้เวลาสิบกว่าปี ไปถึงที่นั่นก็ไม่รู้ว่าจะพบกับอะไร ไม่รู้ว่าต้องอยู่ถึงกี่ปี ศิษย์พี่เขาเข้าไปในแดนมี่หลัวตูได้สองสามปีแล้ว บางทีอีกไม่กี่ปีก็น่าจะออกมาแล้ว…”

มั่วหร่านอีแค่นเสียงหึ “ที่แท้ ก็ทิ้งศิษย์พี่ไม่ได้…”

มั่วชิงเฉินฉีกยิ้มอย่างเก้อเขิน

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น อวี้เฉิงก็จะกลับตระกูลก่อน สหายมั่วจะไปจงหลางยามใดก็ใช้หุ่นเชิดถ่ายทอดเสียงมาบอกข่าวข้าก็แล้วกัน” หลัวอวี้เฉิงยัดหุ่นเชิดร่างมนุษย์ขนาดสามชุ่นตัวหนึ่งให้มั่วชิงเฉินด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก กวาดสายตามองทั้งสามคนอย่างราบเรียบแวบหนึ่ง ประสานกำปั้นแล้วเอ่ยว่า “สหายทั้งสาม วันหน้าค่อยพบกันใหม่”

เอ่ยจบก็หันกาย ใต้ฝ่าเท้าเกิดกลุ่มลมหมุน คาดไม่ถึงว่าจะสลายหายไปท่ามกลางเมฆสีขาวและท้องฟ้าสีครามในพริบตา

สายลมเย็นสบายพัดผ่านไป ทั้งสามคนถึงได้สติกลับคืนมา

“ไปแล้วหรือ” อาชิงเอ่ยอย่างตกตะลึง แล้วพลันกระโดดโลดเต้น “เยี่ยมจริงๆ ในที่สุดปู่ก็เป็นอิสระแล้ว!”

“เจ้าโง่หรือเปล่า เจ้าเป็นอสูรวิญญาณของเขา เขาทิ้งเจ้าไว้ที่นี่ เจ้ายังไม่รีบตามไปอีก” มั่วหร่านอีเอ่ยอย่างเยาะเย้ย

อาชิงถลึงตาใส่มั่วหร่านอีแวบหนึ่งอย่างไม่พอใจ “เจ้าน่ะสิโง่ ปู่เป็นอสูรวิญญาณของเขาตอนไหนกัน ถูกเขาบังคับให้เป็นทาสรับใช้มาตั้งหลายสิบปี! ฮ่าๆ ในที่สุดก็ไปแล้ว วันข้างหน้าปู่อยากไปไหนก็ได้ไป อยากจับแม่นางสักสองสามคนก็จับแม่นางสักสองสามคน…”

ยังไม่ทันเอ่ยจบ มั่วหร่านอีก็ยกเท้าขึ้น ถีบหน้าของอาชิง “เจ้าละเมอหรือเปล่า!”

“ตีคนห้ามตีหน้า ข้าจะกัดพยัคฆ์แก่ตัวเมียอย่างเจ้าให้ตาย!” อาชิงกระโจนเข้ามาด้วยความโกรธเกรี้ยว

มั่วหร่านอีมีประสบการณ์แล้ว ร่างกายจึงพลิ้วไหวพุ่งหนีออกไปไกล ปากก็ร้องตะโกนว่า “ข้าจะกลับสำนักเม่ยหมัว ยามที่พวกเจ้าไปก็อย่าลืมเรียกข้าล่ะ…”

หนึ่งคนหนึ่งพยัคฆ์บินไปไกล ยังได้ยินเสียงมั่วหร่านอีถ่ายทอดเสียงมา “เจ้าโง่ ข้าถีบ ไม่ได้ตี อีกอย่างเจ้าไม่ใช่คน ข้าตีแล้วจะทำไม มีปัญญาก็มากัดข้าสิ…”

ในที่สุดท้องฟ้าและผืนดินก็เงียบสงัดลง มั่วชิงเฉินผ่อนลมหายใจออกมา “พี่เก้า ท่านจะกลับสำนักลั่วสยาหรือไม่ พวกเราต้องผ่านทางนั้นพอดี”

ทั้งสองเองก็ไม่รีบร้อน บินไปทางทิศตะวันออกอย่างเชื่องช้า

มั่วเฟยเยียนเป็นคนพูดน้อยมาโดยตลอด บินเงียบๆ มาได้ครู่หนึ่ง ฉับพลันนั้นก็เอียงศีรษะ “น้องสิบหก สหายหลัวพึงใจเจ้า”

มั่วชิงเฉินซวนเซจนเกือบจะตกจากก้อนเมฆ แล้วเอ่ยพร้อมหัวเราะอย่างขมขื่น “พี่เก้า เหตุใดจึงกล่าวเช่นนี้”

มั่วเฟยเยียนมองมั่วชิงเฉิน สีหน้าจริงจัง “ข้ากลัวว่าเจ้าจะไม่รู้ตัว”

มั่วชิงเฉิน…

พักใหญ่จึงเอ่ยอย่างราบเรียบว่า “ข้ารู้”

มั่วเฟยเยียนเม้มปาก “เจ้าออกเรือนแล้ว”

มั่วชิงเฉินพลันตกตะลึงไปเล็กน้อย

มั่วเฟยเยียนจึงเอ่ยต่อว่า “ข้ากลัวว่าเจ้าจะลืมจุดนี้ไป”

มั่วชิงเฉินถอนหายใจ “พี่เก้า ขอบคุณที่เตือนสติ จุดนี้ข้าเองก็รู้ดี”

“เช่นนั้นเจ้าคิดจะทำอย่างไร ข้าอยากรู้”

มั่วชิงเฉินฉีกยิ้ม “ข้าไม่คิดจะทำอะไร ก็เหมือนกับที่พี่เก้ากล่าว ข้าออกเรือนแล้ว”

มั่วเฟยเยียนเงียบขรึมไปชั่วครู่ น้ำเสียงกดต่ำลง “อาสะใภ้สิบก็ออกเรือนแล้ว แต่นางก็ยังอยู่กับบิดาของข้า”

เอ่ยมาถึงตรงนี้ก็หยุดชะงัก “สหายหลัวดีมาก ข้าดูออกว่าเจ้ากับเขามีสัญญาลับต่อกัน ลึกซึ้งกว่าลั่วหยางเจินจวินเสียอีก เขายังนอนอยู่บนก้อนหินราวกับคนตายตั้งหลายสิบปีเพื่อเจ้า…”

มั่วชิงเฉินมีสีหน้าแปลกประหลาด “ดังนั้น พี่เก้า ท่านกำลังจับคู่พวกเราหรือ”

มั่วเฟยเยียนมองมั่วชิงเฉินอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง “ไม่ ข้าอยากบอกว่า ต่อให้สหายหลัวจะดีขนาดไหน เจ้าก็มีลั่วหยางเจินจวินแล้ว หากเจ้านอกใจ ข้าจะตีเจ้า ด้วยฐานะของพี่เก้าเจ้า!”

มั่วชิงเฉินหลุบเปลือกตาลง เอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา “พี่เก้า ข้าเข้าใจแล้ว ท่านวางใจ…”

พี่และน้องทั้งสองร่วมเดินทางกันมาครึ่งวัน ก็ต่างคนต่างแยกย้ายไป

มั่วชิงเฉินไม่ได้ชักช้า ตรงกลับไปยังพรรคเหยากวง

พบหลิวซางเจินจวินเพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์คร่าวๆ ในพรรค ก็กลับไปยังยอดเขาลั่วเฉิน

จนถึงยามนี้ นอกจากเรื่องที่ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณที่ทะเลขนาบใจมอบหมายให้ไปตามหาผลแย่งลิขิตเมื่อหลายปีก่อนซึ่งยังไม่มีเบาะแส เรื่องอื่นๆ ล้วนก็จัดการไปพอสมควรแล้ว เหลือเพียงเยี่ยเทียนหยวนกลับมา ก็สามารถเดินทางไปยังแผ่นดินใหญ่ผืนใหม่แล้ว

มั่วชิงเฉินคอยเก็บสุราชั้นเลิศในน้ำเต้าทุกวัน เดิมจิตวิญญาณดั้งเดิมในกายเนื้อก็อยู่ในขีดจำกัดที่จะรับไหวแล้วจึงกล้าใช้เพียงสุราชั้นเลิศจำนวนน้อยมาก เพื่อเพิ่มความสมดุลของจิตวิญญาณดั้งเดิมและกายเนื้อขึ้นอย่างช้าๆ สุราชั้นเลิศจำนวนมากจึงถูกเก็บเอาไว้

นางเอาเวลาส่วนใหญ่ไปใช้ศึกษาอิทธิฤทธิ์ของเคล็ดวิชากระบี่โบราณที่ไม่สมบูรณ์ จัดการตระเตรียมทั้งวันทั้งคืน เวลาแปดปีจึงผ่านไปกับการฝึกบำเพ็ญเพียรอย่างรวดเร็ว

วันนี้มั่วชิงเฉินกำลังฝึกฝนเพลงกระบี่ ฉับพลันนั้นก็เห็นห้องอสูรวิญญาณมีลำแสงสว่างวาบพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า จึงอดที่จะดีใจไม่ได้ พลางวิ่งเข้าไป

อสูรวิญญาณหลายตนล้วนมีชีวิตที่เป็นอิสระ ห้องอสูรวิญญาณเตรียมไว้ให้พวกมันกักตนโดยเฉพาะ

หมาป่าน้อยกินสมุนไพรวิญญาณไปตั้งไม่รู้เท่าไหร่แล้ว หลังจากตื่นจากการหลับลึกพลังยุทธ์ก็เพิ่มขึ้นขั้นหนึ่ง กลายเป็นอสูรวิญญาณระดับเจ็ด

สองปีก่อนมันเข้าไปในห้องอสูรวิญญาณ นานวันไม่มีการเคลื่อนไหว ดูจากสถานการณ์ในวันนี้ น่าจะพัฒนาระดับสำเร็จแล้ว

ดังคาด สามวันต่อมา หมาป่าสีดำตัวสูงใหญ่ก็ออกมาจากห้องอสูรวิญญาณ มั่วชิงเฉิน อสูรวิญญาณสองตน และบุปผาปีศาจพลันเข้าห้อมล้อมมัน

อีกาไฟมีสีหน้าอิจฉาริษยา “ข้าฟักเจ้าออกมาแท้ๆ ผลคือระดับสูงกว่าข้าเสียอีก สวรรค์ไม่มีตาเสียจริง!”

หมาป่าน้อยแยกเขี้ยว อ้าปากเอ่ยว่า “ท่านแม่ ข้ามีวาสนา ท่านก็ควรจะดีใจมิใช่หรือ”

อีกาไฟบินโฉบมา ใช้ปีกตีไปบนร่างของหมาป่าน้อย “ข้าบอกตั้งกี่ครั้งแล้ว อย่าเรียกข้าว่าท่านแม่!”

น่าเสียดายหลังจากที่หมาป่าน้อยพัฒนาระดับขั้นหนังก็หนามาก การตีเช่นนี้กลับทำให้มันหรี่ตาลงด้วยความสบายตัว

อีกาไฟสะบัดหน้าด้วยความโกรธแล้วเข้าไปกอดขาของมั่วชิงเฉิน “นายท่าน ข้าอยากได้โอสถวิญญาณ ข้าอยากพัฒนาระดับขั้น ข้าอยากตีมันให้ตาย!”

“แค่กๆ” มั่วชิงเฉินเขี่ยปีกของอีกาไฟออก มองหมาป่าน้อย “หมาป่าน้อย เจ้ากินสมุนไพรวิญญาณอะไรไปกันแน่ ไม่แน่ว่าข้าอาจจะหามาให้พวกเจ้ากินอีกสักหน่อย”

“ดีเลย ดีเลย!” หมาป่าน้อยเลียริมฝีปาก แล้วพยักหน้าระรัว

“ดีกับเจ้าสิ!” อีกาไฟร้องเสียงแหลม

มั่วชิงเฉินมองไปด้วยความสงสัย อีกาไฟมีรอยยิ้มประดับทั่วใบหน้า “นายท่าน ก่อนหน้านี้ท่านไม่ได้บอกว่า การฝึกฝนอย่างมั่นคงและสม่ำเสมอถึงจะเป็นหนทางที่ถูกต้องมิใช่หรือ สมุนไพรวิญญาณอะไรกัน ข้าเกลียดมันที่สุด!”

มั่วชิงเฉิน…

เสียงหัวเราะต่ำๆ ดังขึ้น มั่วชิงเฉินหันกลับไป เห็นร่างสูงสง่าสวมชุดสีเขียวของเยี่ยเทียนหยวน รอยยิ้มบนใบหน้าเผยความสง่างามออกมา

มั่วชิงเฉินยืนอยู่ที่เดิม รู้สึกโง่งมเล็กน้อย

อีกาไฟเห็นเข้าก็ถอยร่นไปในทันที กลับพบว่าหมาป่าน้อย เขาน้อย และดอกเบญจมาศแดงนั่งเรียงเตรียมชมอยู่ด้านข้าง อีกาไฟพลันหน้าดำคล้ำ ถือโอกาสที่พวกเขาไม่ทันตั้งตัวหยิบเชือกออกมารัดทั้งสามเอาไว้ แล้วลากไป

หางตาของมั่วชิงเฉินกวาดไป ก็รู้สึกชื่นชมอยู่ในใจ

ในเวลาสำคัญ อู๋เย่ว์ยังรู้จักวางตัวเป็นอย่างมาก

เยี่ยเทียนหยวนสาวเท้ายาวๆ เข้ามา กอดมั่วชิงเฉินเอาไว้ แต่กลับไม่ได้เปล่งเสียงอยู่เนิ่นนาน

ในที่สุดจิตใจของมั่วชิงเฉินก็สงบลง ยื่นกำไลไปให้เยี่ยเทียนหยวน แล้วเงียบกริบไม่ส่งเสียงเช่นเดียวกัน

หมาป่าน้อยที่หลบอยู่ในป่าขมวดคิ้ว เอ่ยอย่างอารมณ์เสียว่า “ไม่ได้บอกว่ามีละครสนุกๆ ให้ชมหรือ อยู่ไหนเล่า”

เขาน้อยเองก็ประหลาดใจ “พี่หญิงอู๋เย่ว์ เหตุใดนายท่านและลั่วหยางเจินจวินถึงไม่พูดล่ะ”

ดอกเบญจมาศแดงสะบัดกลีบดอก น้ำเสียงเสียอกเสียใจ “ไม่ต้องพูด สิ่งสำคัญคือพวกเขาไม่ได้ทำอะไรเลย!”

อีกาไฟก้มหน้าลงครุ่นคิด “หรือว่าพวกเราออกมาเร็วเกินไป หรือความจริงแล้วนายท่านชอบมีสุขร่วมเสพ”

ในป่าเกิดความเงียบสงัด

“นี่ พวกเจ้าซุบซิบอะไรกัน…” อีกาไฟเงยหน้าขึ้นอย่างไม่พอใจ ชั่วครู่ก็ตัวแข็งทื่อ

มั่วชิงเฉินมองอสูรวิญญาณสามตนและบุปผาปีศาจหนึ่งดอกจากด้านบน แล้วแค่นเสียงด้วยความเย็นชา “มีอะไรน่าดูหรือ”

หมาป่าน้อยก้มหน้าลง

“ไม่พูดหรือ”

เขาน้อยกะพริบตาปริบๆ

“ไม่ได้ทำอะไรเลยหรือ”

กลีบดอกเบญจมาศแดงหุบลงเป็นพุ่ม พร้อมกับตัวสั่นเทา ดูเหมือนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ

สุดท้ายมั่วชิงเฉินพลันมองไปที่อีกาไฟแล้วเอ่ยทีละคำๆ “มีสุขร่วมเสพหรือ”

อีกาไฟก้มหน้า “นายท่าน…ท่านฟังผิดแล้ว มีสุขร่วมเสพอะไรกัน ข้าเกลียดที่สุด…”

ข้างขมับของมั่วชิงเฉินมีเส้นเลือดสีเขียวปูดโปน ยกเท้าขึ้นถีบกระเด็น เกิดเป็นดาวตกสี่ดวงบนท้องฟ้าแล้วหัวเราะอย่างเย็นชา “ขอโทษนะ ข้าชอบมีทุกข์ร่วมต้านมากกว่า”

ในที่สุดยุทธภพก็เงียบสงบ มั่วชิงเฉินกับเยี่ยเทียนหยวนมองสบตากันแล้วฉีกยิ้ม จูงมือกันเดินเข้าไปในห้อง

การกลับมาของเยี่ยเทียนหยวนได้นำหยกแก้วข้ามวิญญาณจำนวนไม่น้อยมาด้วย แต่ก็เพียงพอจะแบ่งให้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดแค่สองสามคนเท่านั้น ที่เหลือก็เก็บเอาไว้ให้ลูกศิษย์ที่อยู่ในจุดคอขวดของระดับก่อแก่นปราณขั้นสมบูรณ์ในพรรค

มั่วชิงเฉินรายงานเรื่องที่ต้องไปจงหลางให้หลิวซางเจินจวินฟัง หลิวซางเจินจวินให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก จึงอยากส่งคนไปมากหน่อย

ทว่ากู้หลียังไม่กลับมา สิบปีแปดปีที่ผ่านมาล้วนยังต้องคอยส่งผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดของพรรคไปยังแดนสวรรค์มี่หลัวตูเพื่อขุดหยกแก้วข้ามวิญญาณ ไม่สามารถสำรองกำลังพลได้เลย จึงกำชับทั้งสองคนอย่างจริงจังรอบหนึ่ง แล้วมอบสมบัติอาคมที่มีรูปร่างเหมือนระฆังให้เยี่ยเทียนหยวน พลางว่า “นี่คือระฆังเงา เป็นสมบัติป้องกันตัวชั้นเลิศ เพียงแต่เมื่อกระตุ้นมันจะเสียพลังปราณจำนวนมาก หากไม่เข้าตาจนก็อย่าใช้มันเลย เป็นวิธีที่ดีที่สุดเมื่อพบกับศัตรูที่แข็งแกร่ง”

“น้อมรับคำของผู้อาวุโสหัวหน้าพรรค” ทั้งสองคนคารวะพร้อมกัน

มั่วชิงเฉินครุ่นคิด เอาสุราชั้นเลิศที่สะสมไว้เกือบครึ่งออกมาให้หลิวซางเจินจวิน แล้วถึงได้ออกจากพรรคไปกับเยี่ยเทียนหยวนอย่างเงียบๆ

ส่งข่าวให้มั่วเฟยเยียนและมั่วหร่านอี มั่วชิงเฉินหยิบหุ่นเชิดถ่ายทอดเสียงที่หลัวอวี้เฉิงมอบให้นางออกมา

แม้ว่าหุ่นเชิดร่างมนุษย์นี้จะมีขนาดเล็ก แต่กลับดูออกว่ามีจิตวิญญาณของหลัวอวี้เฉิงอยู่หลายส่วน เมื่อเห็นเยี่ยเทียนหยวนจ้องไปที่หุ่นเชิดเขม็ง มั่วชิงเฉินก็เอ่ยว่า “สหายหลัวมีที่อยู่ไม่แน่นอน ถ่ายทอดเสียงหมื่นลี้ไม่ได้ เขาจึงมอบมันให้ข้า แต่ก็ไม่รู้ว่าจะใช้ได้หรือไม่”

เยี่ยเทียนหยวนเงียบขรึมไปชั่วครู่แล้วเอ่ยว่า “สหายหลัวเป็นอัจฉริยะ หุ่นเชิดที่สร้างขึ้นมาย่อมเป็นของดีอยู่แล้ว”

“ใช่แล้ว เขาเชี่ยวชาญการสร้างหุ่นเชิด” มั่วชิงเฉินพยักหน้า ใช้คาถาที่หลัวอวี้เฉิงมอบให้นางเปิดการถ่ายทอดเสียงของหุ่นเชิด

พลันได้ยินเสียงเกียจคร้านถ่ายทอดออกมาจากปากของหุ่นเชิดอย่างรวดเร็ว “ผู้ใด”

มั่วชิงเฉินเม้มปาก “ข้าเอง สหายหลัวช่วงนี้มีเวลาหรือไม่”

ทางนั้นเงียบขรึมไปชั่วครู่ถึงได้ส่งเสียงมา “ขอประทานอภัย เจ้าคือผู้ใด”