“ฉันอยากรู้ว่า เหตุผลการหย่าคืออะไร” กนกอรจ้องเธอ รู้สึกรับไม่ค่อยได้ ตอนนั้นก็แต่งงานอย่างกะทันหัน ตอนนี้ก็หย่าอย่างกะทันหันแบบนี้ เธอกำลังทำอะไรอยู่กันแน่?
“ผู้หญิงที่เขารักกลับมาจากต่างประเทศ หวนกลับมาคืนดีกันแล้ว” เธอพูดเรื่องนี้ออกมาอย่างเฉยชา ก้มหน้าลงเล็กน้อย
“งั้นตอนที่แกแต่งงานกับเขา ก็ไม่รู้เหรอว่าเขามีผู้หญิงที่รักอยู่แล้ว?” กนกอรรู้สึกว่าตัวเองหายใจไม่ทัน เกือบจะเป็นลม
“รู้ ดังนั้นเราแค่แต่งงานตามสัญญา หนูเลือกที่จะแต่งงานกับเขา เพราะอยากเก็บลูกในท้องไว้ แม่ หมอบอกว่ามดลูกของหนูมีปัญหาบางอย่าง โอกาสที่จะตั้งครรภ์น้อยมาก หากยังจะทำแท้งลูกคนนี้อีก หนูกลัวว่าหลังจากนี้จะไม่มีลูกอีกแล้ว หนูไม่อยากเสี่ยงอันตรายแบบนั้น หนูจะเอาเขา อยากคลอดเขาออกมา อยากจะรับรู้ความรู้สึกของคนเป็นแม่ หนูไม่อยากให้ชีวิตหนูเกิดเรื่องเสียใจแบบนี้ขึ้นมา……”
เธอพูดอย่างเชื่องช้า ทีละคำ ทีละประโยค สามารถทำให้กนกอรฟังได้อย่างชัดเจน รู้ว่าการตัดสินใจของเธอ และความไม่เสียใจ
ขณะนี้ กนกอรก็พอจะรู้เรื่องที่มาที่ไปบ้างแล้ว เธอไม่เคยรู้เลยว่า เบื้องหลังของลูกสาวจะปิดบังเรื่องราวมากมายขนาดนี้กับเธอ!
“ทำไมถึงไม่บอกแม่?” ความโกรธพวกนั้นในใจ และความเกลียดแค้น หายไปในพริบตาเดียว แม้กระทั่งน้ำเสียงที่ไถ่ถามก็เต็มไปด้วยความสงสาร ลูกสาวของเธอ ลำบากมามากมายขนาดไหนกันแน่
“เพราะว่า หนูสามารถจัดการคนเดียวได้ค่ะ และสามารถรับไหว รอให้ตอนที่หนูรับไม่ไหว ก็จะบอกพวกแม่เองค่ะ” เธอยิ้ม
มองดูรอยยิ้มตรงมุมปากของเธอ ในใจของกนกอรก็อดเศร้าใจไม่ไหว พลางพูดพร่ำบ่นว่า “จริงๆ แล้ว หย่ากันก็ดี เขาเป็นครอบครัวที่มีหน้าชาติตระกูล ฉันกลัวว่าแกจะอยู่ที่นั่นไม่ชิน กลัวว่าแกโดนรังแกแล้วไม่บอกฉันอีก คลอดเถอะ คลอดลูกออกมา ฉันกับพ่อแกเลี้ยงให้”
ลุกขึ้น เชอร์รีนกอดเธอ ใบหน้าแนบชิดไหล่ของเธอ น้ำเสียงมีความพร่ามัว “ค่ะ แม่กับพ่อเลี้ยงให้หนู เลี้ยงให้ขาวๆ อ้วนๆ ไปเลย”
จริงๆ แล้ว บ้านก็เป็นแบบนี้แหละ ในตอนที่คุณเหนื่อยล้าไปหมด ในตอนที่บาดแผลเต็มไปทั้งตัว มันสามารถนำมาความอบอุ่นกับคุณ ความสบายใจ และลบเลือนความเจ็บปวดพวกนั้นทิ้งไป……
“แกอยากกินอะไร แม่ไปทำให้ นอนมานานขนาดนี้ หิวแล้วใช่ไหม?”
“เริ่มหิวแล้วจริงๆ ด้วย แม่ ต้มโจ๊กให้หนูก็ได้แล้ว”
กนกอรตอบกลับ “ได้ แกรอไว้ แม่ไปทำเดี๋ยวนี้เลย เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว”
“โอเคค่ะ” เชอร์รีนยิ้ม หลังจากที่กนกอรจากไปแล้ว รอยยิ้มนั้นก็ค่อยๆ สลัวจางหายไป เธอเปิดโน้ตบุ้คขึ้นมา แล้วหางานบนนั้น
เมืองทะเลหทัยก็ไม่แย่ ห่างจากเมืองSก็แค่ระยะทางไม่กี่ชั่วโมง อีกอย่างคืออยู่ใกล้ทะเล สภาพแวดล้อมดี หางานที่นั่น น่าจะเป็นทางเลือกที่ไม่แย่
หลังจากที่ทับทิมได้ยินข่าวนี้ ก็ไม่ได้แสดงออกถึงความแปลกใจใหญ่โตอะไร ดื่มนมไปด้วย พลางแทะเมล็ดทานตะวันอย่างผ่อนคลายไปด้วย “เป็นผลลัพธ์ที่อยู่ในความคิดอยู่แล้ว แต่ว่าพอพูดกลับมา เขาไม่ได้ให้ค่าเลิกกับเธอเลยเหรอ?”
พอได้ยินแล้ว กนกอรจ้องไปทางทับทิม ให้เขาพูดน้อยๆ หน่อยในตอนนี้
“สิ่งที่ฉันพูดคือความจริงอยู่แล้วนิ! เป็นสามีภรรยากัน ถึงแม้ว่าจะไม่แบ่งทรัพย์สมบัติให้ครึ่งหนึ่ง อย่างน้อยก็ต้องแบ่งสักสองสามล้าน หากเปลี่ยนเป็นฉัน ถึงแม้ว่าจะตบตีให้ตาย ก็ต้องเอาเงินเขามาก้อนหนึ่ง!”
ในที่สุด กนกอรก็ทนไม่ไหวยกมือขึ้น ตบลงไปยังหลังเธอ “แกก่อเรื่องให้ฉันน้อยๆ หน่อยไม่ได้เลยเหรอ?”
“ในเมื่อหย่ากันแล้ว เอาค่าเลิกก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผลอยู่แล้ว มีเงินไม่เอา ไม่ใช่ดัดจริตจะคืออะไร?” ทับทิมสวนกลับด้วยความไม่พอใจ
ตั้งแต่ต้นจนจบ เชอร์รีนไม่ได้พูดสักคำ แค่นั่งเงียบๆ อยู่ตรงนั้น ไม่รู้ว่าในใจกำลังคิดอะไรอยู่ จนกระทั่งโทรศัพท์สั่นขึ้นมา เธอจึงจะรู้ตัว แล้วรับ
“เชอร์รีน เธอยังมีของบางอย่างที่ลืมอยู่บ้านตระกูลสิริไพบูรณ์ เธอจะมาเอา หรือว่าให้ฉันส่งไป” เสียงของป้าบัวอ่อนโยนมาก
“บ้านตระกูลสิริไพบูรณ์หนูไม่ไปแล้วค่ะ ต้องรบกวนป้าบัวช่วยส่งมาให้หน่อยนะคะ หนูรอป้าอยู่ที่บลูเบย์ คาเฟ่ค่ะ อื้ม ค่ะ แบบนี้ละกันค่ะ วางสายก่อนนะคะ”
วางสายลง เชอร์รีนลุกขึ้นจากโซฟา หยิบกระเป๋า “แม่ หนูมีธุระออกไปก่อนนะคะ”
“แม่ไปกับแก” พูดจบ กนกอรก็รีบถอดผ้ากันเปื้อนบนตัว เธอไม่ค่อยวางใจที่จะปล่อยให้เธอออกบ้านคนเดียว
“แม่ หนูแค่ไปเอาของค่ะ เดี๋ยวก็กลับมาแล้ว ไม่เกิดอะไรขึ้นแน่นอน” เธอปลอบใจกนกอร
“งั้นก็ให้พ่อแกไปกับแก ยังไงเขาอยู่บ้านก็แค่เล่นหมากรุก”
เชอร์รีนส่ายหัว แสดงออกว่าไม่เป็นไร จากนั้นก็เดินออกจากห้อง
มองดูภาพของลูกสาวที่ค่อยๆ หายไปในสายตา ในใจของกนกอรเต็มไปด้วยความสงสาร เหมือนว่านึกอะไรออก เธอพูดเตือนด้วยเสียงที่แหลมคมกับทับทิมและจักรกฤษที่อยู่ในห้อง
“จากนี้ไป อย่าพูดถึงออกัสสองคำนี้กับฉันอีก และไม่ต้องพูดถึงตระกูลสิริไพบูรณ์กับฉันอีก!”
ถึงแม้ว่า จะมีความรู้สึกตกตะลึง โกรธแค้น ไม่อยากจะเชื่อกับเรื่องที่เชอร์รีนหย่า ทว่าหลังจากที่รู้ถึงความจริงของเรื่องนี้แล้ว กนกอรก็เข้าใจเธอแล้ว
ท้ายที่สุดแล้วออกัสไม่ใช่คู่รักของลูกสาวบ้านเธอ การหย่าไม่สำคัญ แค่กลัวว่าผิดแล้วจะผิดอีก และผิดตลอดไป
ทับทิมยักไหล่ ไม่พูดถึงก็ไม่พูดถึง เธอแค่รู้สึกว่าธนบัตรกองโตนั้นช่างน่าเสียดายจริงๆ !
……
การรอของเชอร์รีนที่บลูเบย์ คาเฟ่ไม่ได้เจอกับป้าบัว กลับเจอกับสุนันท์
เธออยากจะจากไป ทว่าในตอนที่นัยน์ตาของเธอมองไปเห็นกล่องในมือของสุนันท์ ก็ลบล้างความคิดนั้นไป นั่งอยู่ที่นั่น รอให้เธอเดินเข้ามาใกล้
เห็นสภาพนั้นของเชอร์รีน สุนันท์ก็รู้สึกโมโหก็ลุกเป็นไฟขึ้นมาทันที ตอนนี้ได้อย่างกับออกัสแล้ว เธอยังมีอะไรน่าหยิ่งยโสอีก?
ปัง เสียงดังขึ้น สุนันท์โยนกล่องลงบนโต๊ะกาแฟ
ไม่ได้สนใจเธอ เชอร์รีนลุกขึ้น ถือกล่องเข้ามาในมือ แล้วเดินจากไป
เห็นท่าแล้ว ความโมโหนั่นก็ลุกเป็นไฟยิ่งขึ้น ขยับเท้า สุนันท์ขวางทางที่เธอจะเดินไป ขมวดคิ้ว เชอร์รีนมองเธอด้วยความรำคาญ “มีเรื่องอะไรอีกคะ?”
มองเธออย่างเย็นชา สุนันท์เปิดกระเป๋าติดตัวที่สง่างาม หยิบเช็คที่ว่างเปล่าใบหนึ่งออกมา วางอยู่ตรงหน้าเธอ สีหน้าหยิ่งยโส “เขียนเถอะ”
ไม่เข้าใจ เชอร์รีบจ้องการกระทำของเธอด้วยนัยน์ตาที่ดูถูก “หมายความว่าอะไร?”
“ออกัสบ้านฉันไม่ว่าจะทำอะไรก็มีคุณธรรมและจริยธรรม เช็คใบนี้เขาเป็นคนบอกฉันให้เธอ แน่นอนว่า จำนวนจะเขียนเท่าไหร่ แล้วแต่เธอ”
นี่ถือว่ามีคุณธรรมและจริยธรรมจริงๆ หรือว่าตั้งใจประชดเธอ?
หลบสายตามองไปทางอื่น เชอร์รีนยื่นเช็คกลับไปด้วยสีหน้าที่ไร้ความรู้สึก “ช่วยบอกเขาด้วย ฉันไม่ต้องการ”
พอได้ยินแล้ว สุนันท์กลับหัวเราะ ในคำพูดเต็มไปด้วยความดูถูก
“ตระกูลสิริไพบูรณ์เราไม่ทำเรื่องเอาเปรียบใครอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าเธอจะทำให้ฉันรู้สึกเกลียดมาก ทว่าไม่สามารถให้คนนอกพูดได้ว่าพวกเราให้เธอออกจากบ้านด้วยตัวเปล่า ความอดทนและเวลาของฉันต่างก็มีขีดจำกัด ไม่มีเวลามาเล่นเกมเสแสร้งกับเธอได้ ในตอนที่ฉันยังมีความอดทน เธอรีบเขียน ไม่เช่นนั้น รอให้ฉันจากไปแล้ว เธอจะร้องไห้ก็ไม่ทันแล้ว”