ตอนที่ 375 พูดในมุมมองธุรกิจ

ตอนที่ 375 พูดในมุมมองธุรกิจ

เสี่ยวไป๋หยางหัวเราะคิกคัก

 

“เด็กคนนี้รู้ไปซะทุกเรื่อง แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราว!” จ้าวเหวินเทาพูดอย่างจนปัญญา

“มา กินข้าวกันเถอะค่ะ” เย่ฉูฉู่เรียกสองพ่อลูกให้มานั่งกินข้าว

จ้าวเหวินเทาอุ้มเสี่ยวไป๋หยางขึ้นมา พร้อมกับยกเจ้าลิงน้อยขึ้นมาด้วย “ไปเถอะ กินข้าวกัน!”

หลังจากขึ้นมานั่งหน้าโต๊ะที่วางอยู่บนเตียง เย่ฉูฉู่ก็ยกบะหมี่เข้ามาเสิร์ฟ ส่วนของเสี่ยวไป๋หยางถูกแยกไว้ส่วนตัว

 

“พ่อ!” เสี่ยวไป๋หยางนั่งอยู่ด้านในอ้อมกอดของจ้าวเหวินเทา รอให้พ่อของเขาป้อนอาหาร

 

อย่ามองว่าจ้าวเหวินเทาไม่อยู่บ้านช่วงเช้า เพราะสิ่งนี้ไม่ได้กระทบต่อการพึ่งพาของเสี่ยวไป๋หยางแม้แต่น้อย

 

จ้าวเหวินเทาหยิบช้อนไม้อันเล็กตักอาหารป้อนเขาคำเล็ก ๆ และถือโอกาสตักอาหารใส่ปากตัวเองด้วยหนึ่งคำ

“เสี่ยวไป๋หยาง เดี๋ยวแม่ป้อนนะ ให้พ่อกินข้าวนะลูก” เย่ฉูฉู่กล่าว

 

เสี่ยวไป๋หยางส่ายศีรษะเล็ก ๆ แสดงออกว่าไม่อยากทำเช่นนั้น

 

“ลูกนี่ลำเอียงไปทางพ่อจริง ๆ นะ” เย่ฉูฉู่กล่าวเคล้ารอยยิ้ม ก่อนจะยกถ้วยของตนเองขึ้นมากิน

จ้าวเหวินเทาก้มหน้าพูดกับลูกชายว่า “เสี่ยวไป๋หยางลำเอียงมาทางพ่อใช่ไหมลูก?”

เสี่ยวไป๋หยางยิ้มอย่างมีความสุข

“พี่สามโทรศัพท์มาหาแล้วนะคะ” เย่ฉูฉู่กล่าว “บอกว่าหางานให้พี่สี่ได้แล้ว”

จ้าวเหวินเทาได้ฟังจนจบก็ถึงกับชะงัก “พี่สี่ทำงานอะไร อย่าบอกนะว่าถักตะกร้า?”

“ต้องไม่ใช่อยู่แล้วค่ะ!” เย่ฉูฉู่ตอบ “เป็นเครื่องประดับน่ะ พวกตะเกียง เงื่อนหรูอี้อะไรทำนองนั้น”

“พี่สี่ทำของแบบนี้เป็นด้วยเหรอ?” จ้าวเหวินเทารู้สึกเหนือความคาดหมายอย่างมาก

“ฉันเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกันค่ะ ได้ยินพี่สามเล่าว่าพี่สี่ถักเก่งมากเลยนะ พี่สะใภ้สามก็พึงพอใจมากเป็นพิเศษด้วย แถมยังบอกว่าขายได้ราคาดีด้วย” เย่ฉูฉู่ลังเลก่อนจะพูดต่อไปว่า “แต่ไม่รู้ว่าคุณจะพอใจกับเงินเดือนที่จะให้พี่สี่หรือเปล่า”

“เรื่องนี้จะมาถามผมทำไมล่ะ ไม่ใช่เงินเดือนที่จะให้ผมสักหน่อย” จ้าวเหวินเทายิ้ม “เรื่องนี้ไปถามพี่สี่ก็พอแล้ว”

 

เย่ฉูฉู่มองจ้าวเหวินเทา “ทำไมล่ะ คุณไม่อยากรู้เหรอ?”

จ้าวเหวินเทาย่อมเข้าใจดี เป็นเพราะเกี่ยวข้องกับเขา พี่สี่จ้าวจึงได้ไปทำงานอยู่กับเย่หมิงเป่ย พี่สี่จะมีความคิดเกี่ยวกับเงินส่วนนั้นว่ามากหรือน้อยได้อย่างไร ถึงอย่างไรพี่สี่ก็ไม่ได้เข้าใจเรื่องการค้าขาย

“ถ้าผมเป็นพี่สี่ ผมคงไม่รับเงินจากพี่สามของคุณแม้แต่เฟินเดียว ผมคงขอเป็นส่วนแบ่งกับพี่สามและพี่สะใภ้สามของคุณไปเลย” จ้าวเหวินเทากินบะหมี่หนึ่งคำ พูดต่อไปว่า “ในเมื่อพี่สะใภ้สามของคุณบอกว่าขายได้ก็ต้องขายได้อยู่แล้ว แบ่งเป็นส่วนแบ่งคุ้มกว่าเงินเดือนเสียอีก”

เย่ฉูฉู่ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี “คุณเชื่อใจพี่สะใภ้สามของฉันมากเลยนะ”

“แหงอยู่แล้ว คุณเป็นคนพูดเองนี่ว่าพี่สะใภ้สามของคุณมีความสามารถมากที่สุดแล้ว!” จ้าวเหวินเทาพูดอย่างภาคภูมิใจ “ขายของร่วมกับคนที่มีความสามารถ จะไปเอาเงินเดือนทำไม เอาส่วนแบ่งจากกำไรไปเลย!”

 

“คุณนี่มันจริง ๆ เลย…” เย่ฉูฉู่ส่ายหน้า

“ผมพูดผิดตรงไหน? แต่ก็นะ พี่สี่ไม่มีทางคิดแบบนี้แน่นอน” จ้าวเหวินเทากล่าว “คาดว่าพี่สี่คงไม่มีความเชื่อมั่นในสินค้าของตัวเอง เขาคงอยากได้แค่เงินส่วนนั้นที่มั่นคง”

“แล้วจะให้ฉันพูดกับพี่สามว่ายังไง?” เย่ฉูฉู่ถาม “จากความหมายของพี่สามที่ฉันได้ยิน ฉันคิดว่านี่คงเป็นการตัดสินใจของพี่สะใภ้สาม พี่สามกลัวว่าคุณจะคิดมาก ก็เลยให้ฉันมาบอกคุณ”

“มีอะไรต้องคิดมาก พูดในมุมมองธุรกิจ คุณก็เอาคำพูดผมไปบอกพี่สามตรง ๆ ก็พอแล้ว”

“ส่วนแบ่งครึ่งต่อครึ่ง?” เย่ฉูฉู่ถามอีกครั้งเพื่อเป็นการยืนยัน

“ถูกต้อง แต่พี่สี่กับพี่สะใภ้สามของคุณจะยอมหรือเปล่าก็เป็นเรื่องระหว่างพวกเขาแล้ว”

จ้าวเหวินเทาเห็นว่าตนเองเป็นน้องชายแท้ ๆ ของพี่สี่จ้าว ถึงได้พูดแบบนี้ออกมา

“ก็ได้ ฉันจะบอกตามนี้” เย่ฉูฉู่กล่าวอีกว่า “คุณคิดว่าพี่สะใภ้สามของฉันจะยอมไหมคะ?”

จ้าวเหวินเทายิ้ม “พี่สะใภ้สามของคุณต้องไม่ยอมอยู่แล้ว ถ้าพูดถึงเรื่องค้าขาย พี่สะใภ้สามของคุณถือว่าฉลาดเชียวล่ะ! คุณไม่เชื่อเหรอ ถ้าไม่เชื่อพวกเรามาพนันกันสิ”

“ไม่พนัน!” เย่ฉูฉู่ตอบอย่างไม่ลังเล

เธอเชื่อในการตัดสินใจของสามี ดังนั้นจึงไม่คิดจะเดิมพัน

จ้าวเหวินเทารู้สึกเสียดายอย่างมาก

เย่ฉูฉู่โทรไปหาเย่หมิงเป่ยเพื่อพูดถึงความต้องการของจ้าวเหวินเทา หลังจากเย่หมิงเป่ยนำไปบอกกับโจวหมิ่น หล่อนก็ไม่ยอมอย่างที่จ้าวเหวินเทาคิดไว้จริง ๆ

“ผมไม่เข้าใจเลยว่าพวกคุณกำลังคิดอะไรกันอยู่ ทำไมถึงคิดไม่เหมือนกับผมสักนิด” เย่หมิงเป่ยรู้สึกเหนือความคาดหมายกับการแบ่งครึ่งต่อครึ่งของจ้าวเหวินเทา และการปฏิเสธของโจวหมิ่นก็ทำให้เขารู้สึกเหนือความคาดหมายยิ่งกว่า

  

โจวหมิ่นหัวเราะ “น้องเขยของคุณคนนี้หัวการค้าดีจริง ๆ แถมยังมีความกล้ามากด้วย”

  

“ดูเหมือนว่าคุณจะไม่โกรธสักนิดเลยนะ” เย่หมิงเป่ยมองภรรยาพลางกล่าว

 

“ฉันจะโกรธไปทำไมล่ะ จ้าวเหวินเทาบอกว่าเชื่อมั่นในตัวฉันขนาดนี้ ฉันดีใจแทบแย่อยู่แล้ว จะโกรธเขาได้ไง!” โจวหมิ่นตอบ

“แล้วทางฝั่งพี่สี่ล่ะ?”

ทัศนคติของจ้าวเหวินเทาชัดเจนแล้ว ทางฝั่งพี่สี่จ้าวก็ควรจะให้มากขึ้นอีกสักหน่อยหรือเปล่า?

“สิบหยวนนั่นแหละ รอให้ขายได้ก่อน ค่อยแบ่งให้พี่สี่สองต่อแปดก็แล้วกัน” โจวหมิ่นครุ่นคิดก่อนตอบกลับมา

“สองต่อแปด? พวกเราสอง พี่สี่แปด แบบนั้นก็ไม่เลวนะ” เย่หมิงเป่ยตอบ

“พวกเราสองอะไรล่ะ สลับกันสิ” โจวหมิ่นกล่าว

“หา…พวกเราแปด พี่สี่สอง แบบนี้ไม่น้อยเกินไปหน่อยเหรอ?” เย่หมิงเป่ยพูดด้วยความลังเล

“ไม่น้อยแล้ว อย่าลืมสิ พวกเรายังต้องโฆษณา แถมยังต้องโปรโมททำการตลาดด้วย ของพวกนี้ไม่เพียงแค่ต้องจ่ายเงิน แต่ยังต้องใช้สมองด้วย นี่ต่างหากล่ะคือการลงทุนที่มากที่สุด!” โจวหมิ่นพูดพลางเคาะศีรษะตัวเอง

เย่หมิงเป่ยไม่กล้าพูดอะไรแล้ว ถึงอย่างไรเขาก็ได้เห็นภรรยาวิ่งวุ่นเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว และหล่อนก็ทุ่มสุดตัวด้วย การที่หล่อนจะต้องการส่วนแบ่งที่มากที่สุดก็ดูเหมือนว่าสมควรแล้ว

“ก็ได้ งั้นพรุ่งนี้ผมจะไปบอกพี่สี่เอง” เย่หมิงเป่ยตอบ

“ไม่ต้อง เดี๋ยวฉันไปบอกเอง” โจวหมิ่นกล่าว “ถ้าคุณพูดคงทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเหมือนตัวเองเสียเงินไป แต่ถ้าฉันไปพูด เขาจะรู้สึกซึ้งใจ”

“หมินหมิ่น เขาเป็นพี่ชายของเหวินเทา ไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้มั้ง?” ใช้วิธีการพูดเจรจาต่อรองกับพี่สี่ เย่หมิงเป่ยรู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไรนัก

“พี่ชายของจ้าวเหวินเทาแล้วยังไง?” โจวหมิ่นพูดด้วยท่าทางนิ่งสงบ “ต่อให้เป็นจ้าวเหวินเทา ก็ต้องทำธุรกิจอย่างเป็นทางการ หมิงเป่ย ไม่ใช่ว่าฉันมีจิตใจด้านมืด แต่เป็นเพราะฉันเคารพในความเป็นมนุษย์ การทำให้พวกเราทั้งสองฝั่งเสมอภาคกันเป็นเรื่องที่ดี ฉันไม่อยากให้ในอนาคตพวกเราต้องมีปัญหาเพราะเรื่องเงิน ที่ทำให้ดูคล้ายกับพวกเราเอาเปรียบเยอะ และทำให้เขาเสียเปรียบอย่างหนัก”

  

เย่หมิงเป่ยเงียบขรึมไปครู่หนึ่ง “ต่อให้คุณไปคุย ในภายภาคหน้าจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเหรอ?”

“ก็มีความเป็นไปได้ แต่ถ้าพวกเราไม่คาดหวังก็จะไม่ผิดหวัง เดิมทีมนุษย์ก็ต้องมีอารมณ์ความรู้สึก ดังนั้นจงปฏิบัติกับสิ่งต่าง ๆ อย่างมีเหตุผลให้ได้มากที่สุด” โจวหมิ่นตอบ “หมิงเป่ย คุณต้องหัดใจแข็งสักหน่อยนะ ไม่งั้นคุณนั่นแหละที่จะเจ็บตัว”

เย่หมิงเป่ยพยักหน้า “ผมเข้าใจแล้ว”

เขาย่อมเข้าใจเป็นอย่างดีว่าสิ่งที่โจวหมิ่นพูดมีเหตุผล เพียงแต่เขาไม่ค่อยชอบการคำนวณแบบนี้

อันที่จริงเขาเองก็ไม่รู้หรอก เดิมทีโจวหมิ่นอยากบอกเขาว่าให้หัด ‘ใจดำ’ สักหน่อย แต่คิดว่าคำพูดนี้อาจทำให้เขารับไม่ไหว หล่อนจึงเปลี่ยนมาใช้คำว่า ‘ใจแข็ง’ แทน

เช้าวันรุ่งขึ้น โจวหมิ่นก็มาคุยกับพี่สี่จ้าวเกี่ยวกับเรื่องเงินเดือนและส่วนแบ่งหลังจากนี้ สิ่งนี้ทำให้พี่สี่จ้าวถึงกับชะงัก “เยอะขนาดนี้เลยเหรอ!”

 

เมื่อเห็นปฏิกิริยาโต้ตอบของพี่สี่จ้าวเช่นนี้ โจวหมิ่นจึงยิ้มออกมา ถ้าหากไม่รู้มาก่อน หล่อนคงคิดไม่ถึงว่าพี่สี่จ้าวและจ้าวเหวินเทาเป็นพี่น้องกัน

 

“พี่สี่ พี่พอใจไหมคะ? ถ้าพอใจพวกเราก็มาเซ็นสัญญากัน หลังจากเซ็นสัญญากันจะมารู้สึกเสียใจในภายหลังไม่ได้แล้วนะ ดังนั้น ฉันขอแนะนำให้พี่ไปพิจารณาดูก่อน คิดดีแล้วค่อยให้คำตอบฉัน” โจวหมิ่นกล่าว

 

พี่สี่จ้าวได้ยินโจวหมิ่นพูดแบบนี้ เขาก็หยุดครุ่นคิดอย่างสงบเสงี่ยม กล่าวว่า “ฉันพิจารณาแล้ว…ตกลง…ว่าแต่…สัญญานี้มีระยะเวลาใช่ไหม?”

โจวหมิ่นไม่เข้าใจความหมายของเขา

……………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ระหว่างญาติกันให้ตกลงเรื่องเงินกันดีๆ นะคะ ตกลงกันไม่ดีเดี๋ยวมีปัญหาทีหลัง

ไหหม่า(海馬)