ตอนที่ 376 ต้องเรียนหนังสือ

ตอนที่ 376 ต้องเรียนหนังสือ

พี่สี่จ้าวอธิบาย “หมายถึงว่าอีกหนึ่งปีหรือว่าสองปี ถ้าฉันกลับบ้านก็คงถักงานพวกนี้ไม่ได้แล้ว จะทำยังไงล่ะ?”

โจวหมิ่นคิดไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่าจะเห็นพี่สี่จ้าวเป็นเสี่ยวหม่าไปเสียได้

“พี่สี่ พี่ตรึกตรองไว้รอบด้านจริง ๆ ขนาดฉันยังคิดไม่ถึงเลยเรื่องนี้เลย” โจวหมิ่นรีบตอบ

 

พี่สี่จ้าวไม่ได้ตรึกตรองรอบด้าน แต่เป็นเพราะเขาคิดไว้ว่าหากได้เงินที่ทำหายไปคืนกลับมาจนครบก็จะไปทางใต้ ถ้าต้องเซ็นสัญญาหลายปี เขาจะไปได้อย่างไรกันล่ะ เขาจึงต้องพูดเรื่องนี้ด้วย

“แล้วพี่สี่อยากเซ็นสัญญานานแค่ไหนล่ะคะ?” โจวหมิ่นถาม

 

“ฉัน…ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แล้วจะได้รับเงินเมื่อไร?” พี่สี่จ้าวพูดด้วยท่าทางเคอะเขิน

 

“เรื่องนี้น่าจะต้องรอหลังปีใหม่ถึงจะรู้” โจวหมิ่นครุ่นคิดก่อนจะตอบกลับไป

“ต้องรอหลังปีใหม่เลยเหรอ” พี่สี่จ้าวแอบรู้สึกเหนือความคาดหมาย

“พี่สี่ พี่ตัดสินใจจะกลับไปฉลองปีใหม่ที่บ้านใช่ไหม?” โจวหมิ่นคิดว่าพี่สี่จ้าวอยากกลับไปฉลองปีใหม่ที่บ้าน จึงถามไปแบบนี้

“เปล่า!”

พี่สี่จ้าวรีบส่ายหน้า ยังไม่ได้เงินแล้วจะกลับไปฉลองอะไรล่ะ สะใภ้สี่จ้าวเป็นคนแบบนั้น เขาออกมาโดยไม่บอกไม่กล่าว ทั้งยังทำเงินหายอีก จะฉลองข้ามปีได้อย่างไร ไม่เพียงแต่จะไม่ได้ฉลองกันแบบดี ๆ ชีวิตของเขาอาจจะแย่ลงด้วย

  

อีกอย่าง กลับไปฉลองปีใหม่แล้วค่อยกลับมา กลับมาก็ยังต้องมีค่าใช้จ่าย เขามีเงินให้ถลุงมากขนาดนั้นเสียที่ไหนกัน

“ถ้างั้น…ครึ่งปีก็แล้วกัน” พี่สี่จ้าวกล่าว

โจวหมิ่นชะงัก ครึ่งปี น้อยเกินไปแล้ว หรือว่าพี่สี่จ้าวจะรู้สึกไม่ดีที่ได้เงินน้อยเหรอ? ก็ไม่น่าใช่

  

“พี่สี่ ระยะเวลาครึ่งปีสั้นเกินไปแล้ว ยังไม่เห็นผลลัพธ์อะไรเลย หนึ่งปีก็แล้วกัน นี่เป็นระยะเวลาที่น้อยที่สุดแล้ว ปกติต้องทำสัญญา 3-5 ปีเลยนะคะ” โจวหมิ่นกล่าว

 

“3-5 ปี?” พี่สี่จ้าวคิดไม่ถึงว่าจะมีระยะเวลานานขนาดนี้ “นานขนาดนั้นเลยเหรอ?”

  

“ระยะเวลาสั้น ๆ ยังมองออกไรไม่ออกหรอก ต้องทำสัญญาระยะยาวสักหน่อยถึงจะเห็นผลลัพธ์”

  

“ก็ได้ หนึ่งปีก่อนก็แล้วกัน” พี่สี่จ้าวยอมรับระยะเวลาหนึ่งปี

 

โจวหมิ่นหยิบสัญญาออกมา ระหว่างที่อ่านก็อธิบายให้พี่สี่จ้าวฟังไปด้วย พี่สี่จ้าวไม่สนใจอย่างอื่น ต่อให้สนใจก็ไม่เข้าใจอยู่ดี เขารู้แค่ว่าทางโจวหมิ่นจะให้เงินสิบหยวนและดูแลค่ากินและที่อยู่ให้ หลังจากผลงานถักสานชิ้นใหม่ออกมาก็จะแบ่งส่วนแบ่งกับโจวหมิ่นสองต่อแปด เขาได้สอง ส่วนโจวหมิ่นได้แปด

แน่นอน ส่วนนี้ต้องรอหลังจากหักต้นทุนแล้ว

โจวหมิ่นอธิบายว่าต้องมีค่าโฆษณา ทำการตลาดไว้โปรโมท และค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ดังนั้นจึงต้องแบ่งกันแบบนี้

พี่สี่จ้าวไม่ได้คัดค้าน ทว่าภายในใจกลับกำลังครุ่นคิดว่า ภรรยาของพี่ภรรยาเจ้าหกช่างคิดคำนวณได้ฉลาดปราดเปรื่องมากเหลือเกิน!

พี่สี่จ้าวเป็นคนซื่อ ๆ แต่คนซื่อไม่ได้หมายความว่าโง่ ยิ่งไปกว่านั้นจ้าวเหวินเทาก็ทำค้าขายเก่งขนาดนั้น ในฐานะที่เขาเป็นพี่ชาย ต่อให้ค้าขายไม่เป็น อย่างน้อย ๆ ก็ต้องรู้จักการค้าขาย

  

ตอนนี้พี่สี่จ้าวพอจะมองออกแล้ว งานที่เขาถักสานออกมาสามารถขายได้ ไม่เช่นนั้นโจวหมิ่นคงไม่เซ็นสัญญากับเขาและให้เงินเดือนเขาหรอก อีกอย่างคงขายได้ราคาดีด้วย ไม่เช่นนั้นจะแบ่งกันแบบสองต่อแปดเหรอ?

  

ทว่าคิดไปคิดมา พี่สี่จ้าวก็ไม่ได้บ่นอะไร ถ้าไม่มีโจวหมิ่นสักคน งานถักสานของเขาต่อให้มีราคามากกว่านี้ก็ขายไม่ออกอยู่ดี

ยิ่งไปกว่านั้น เขาเองก็ไม่ชอบการค้าขายด้วย โดยเฉพาะวิธีการขายของโจวหมิ่นแบบนี้ แค่ได้ยินก็ปวดหัวแล้ว งั้นก็หยุดด้วยการรับแค่ส่วนแบ่งในส่วนนั้นของตนเองก็พอ ส่วนคนอื่นอยากได้มากเท่าไรก็เอาไปเถอะ

พี่สี่จ้าวเป็นคนไม่ชอบมีความกังวล ในสัญญาของโจวหมิ่นระบุไว้ว่าเขาทำหน้าที่แค่ถักสานสินค้าโดยไม่ต้องสนใจเรื่องอื่น สิ่งนี้ทำให้เขาพึงพอใจอย่างมาก

 

เซ็นสัญญากันแล้ว นับจากนี้พี่สี่จ้าวก็จะกลายเป็นพนักงานของโจวหมิ่นอย่างเป็นทางการ อาหารการกินและที่พักอาศัยจึงมีความเป็นธรรมมากขึ้นด้วย

เช้าวันรุ่งขึ้น พี่สี่จ้าวได้ใช้โทรศัพท์ของเย่หมิงเป่ยโทรหาพี่สะใภ้สี่จ้าว

 

เมื่อวันก่อนเย่หมิงเป่ยโทรศัพท์หาเย่ฉูฉู่ให้ไปบอกพี่สะใภ้สี่จ้าวแล้ว วันนี้ พี่สะใภ้สี่จ้าวจึงพาอู่หยามาเฝ้าโทรศัพท์ตั้งแต่เช้า

 

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะห่างกันไกลหรือไม่ ความสัมพันธ์ระหว่างสองสามีภรรยาจึงใกล้ชิดกันมากขึ้น การพูดคุยก็สนิทสนมกันอย่างมาก ที่พูดกันว่า ‘ระยะห่างทำให้เกิดความงดงาม’ ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล

“คุณอยู่ที่นั่นเป็นยังไงบ้างคะ หนาวหรือเปล่า?” พี่สะใภ้สี่จ้าวจับหูโทรศัพท์แน่น ราวกับกำลังจับตัวของพี่สี่จ้าวไว้

“ไม่หนาว ที่นี่มีเครื่องทำความร้อน คุณล่ะ เผาเตาไว้หรือยัง?” พี่สี่จ้าวถามด้วยความเป็นห่วง “คุณต้องเผาเตาไว้ด้วยนะ ไม่งั้นเด็ก ๆ คงหนาวแย่เลย”

“เผาไว้แล้วค่ะ เผาทั้งเช้าและค่ำนั่นแหละ เผาจนร้อนจี๋เลย” พี่สะใภ้สี่จ้าวพูดถึงสัตว์ที่อยู่ในบ้าน พูดทั้งหมดตั้งแต่กระต่ายไปจนถึงไก่

  

พี่สี่จ้าวตอบ “ก็ดีแล้ว ทำของอร่อย ๆ ให้ลูกกินบ้างนะ ตอนนี้ผมได้เงินเดือนเดือนละสิบหยวนด้วย!”

  

พี่สะใภ้สี่จ้าวถึงกับหายใจติดขัดทันใด “สิบหยวนเลยเหรอ เยอะขนาดนั้นเลย!”

  

เย่ฉูฉู่กำลังดูเสี่ยวไป๋หยางและอู่หยาเล่นด้วยกันอยู่ข้าง ๆ เมื่อได้ยินคำพูดนี้ก็ลอบถอนหายใจออกมา เงินสิบหยวนพี่สามยังรู้สึกว่าน้อยเกินไปด้วยซ้ำ สามีของเธอก็คิดว่าไม่คุ้ม แต่พี่สะใภ้สี่จ้าวกลับคิดว่าได้เงินดีมาก เมื่อหลานวันก่อนเธอโทรศัพท์ไปคุยกับคุณแม่มาแล้ว คุณแม่ก็บอกว่าเงินสิบหยวนก็เยอะมากแล้ว เงินเดือนแต่ละเดือนของคนในเมืองอยู่ที่ 5-6 หยวน ส่วนเธอ อาจเป็นเพราะการหาเงินของจ้าวเหวินเทา จึงทำให้เธอรู้สึกว่าน้อยไปหน่อย ดูเหมือนว่าเงินจะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับคนคนนั้น ไม่ได้มีจำนวนตัวเลขที่แน่นอน

  

“ใช่ ผมเองก็รู้สึกว่าเยอะมากเหมือนกัน ผมไม่ต้องทำอะไรเลย แค่นั่งถักสานผลงานออกมา แถมยังมีค่ากินค่าที่พักอาศัยให้ด้วย ดีมาก ๆ เลย” พี่สี่จ้าวพูด

  

พี่สะใภ้สี่จ้าวพูดด้วยความดีใจ “ก็นั่นน่ะสิ เรื่องนี้ต้องขอบคุณพี่สะใภ้สามของฉูฉู่เลยนะ!”

  

“คุณอยู่ที่นั่นได้กินอะไรบ้าง?” พี่สะใภ้สี่จ้าวถามอีกครั้ง

 

“อาหารการกินดีมากเลย มีเนื้อมีผักให้กิน คุณป้าเย่เป็นคนทำทั้งหมดเลย”

“แบบนั้นคงรบกวนคุณป้าเย่แย่เลย คุณก็ขอบคุณคุณป้าเย่ด้วยนะคะ อย่าปิดปากเงียบเหมือนตอนที่อยู่บ้านล่ะ” พี่สะใภ้สี่จ้าวกำชับ

  

“ผมรู้แล้ว พูดไปแล้ว ที่บ้านไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมวางนะ” พี่สี่จ้าวพูด

 

พี่สะใภ้สี่จ้าวน้ำตาไหลออกมาแล้ว “คุณก็รู้แค่ว่าไม่มีปัญหาอะไรนั่นแหละ ถ้ามีปัญหาคุณจะกลับมาเหรอ? ฉันเลี้ยงลูกสามคนอยู่ที่บ้านเพียงลำพัง คุณรู้หรือเปล่าว่ามันยากขนาดไหน!”

พี่สี่จ้าวเงียบขรึมไปครู่หนึ่ง “รอผมเอาเงินกลับไปให้ คุณก็ไม่รู้สึกยากแล้ว”

พี่สะใภ้สี่จ้าวถึงกับสำลัก สามีของหล่อนยังเหมือนเดิมไม่มีผิด!

 

“ซานหยากับซื่อหยาไปโรงเรียนแล้วใช่ไหม?” จู่ ๆ พี่สี่จ้าวก็ถามขึ้นมา

 

“เรียนอยู่! ฉันก็เคยพูดไปแล้วว่าเด็กผู้หญิงจะไปเรียนหนังสือทำไม อยู่บ้านยังพอช่วยฉันเลี้ยงอู่หยาได้บ้าง แต่น้องหกบอกว่าต้องไปเรียนที่โรงเรียน ถ้าไม่เรียนจะถือว่าผิดกฎหมาย คุณคิดดูสิไม่ไปโรงเรียนยังผิดกฎหมาย นี่มันอะไรกัน ไปเรียนก็มีแต่ค่าใช้จ่าย!” พี่สะใภ้สี่จ้าวบ่นเป็นวรรคเป็นเวรโดยไม่สนใจว่าเย่ฉูฉู่ก็นั่งอยู่ข้าง ๆ

  

พี่สี่จ้าวไม่ได้สนใจหล่อน พูดไปตรง ๆ ว่า “ซานหยากับซื่อหยาต้องไปเรียนหนังสือนะ ไม่ว่ายังไงก็ต้องเรียน คุณดูอย่างพี่สะใภ้สามของเหวินเทาสิเก่งขนาดไหน ทั้งหมดนั้นก็เป็นเพราะเรียนรู้มาจากการศึกษา กลับมาเลี้ยงอู่หยาให้คุณจะไปมีประโยชน์อะไร? อู่หยาก็ด้วย อนาคตก็ต้องไปเรียนหนังสือเหมือนกัน”

 

พี่สะใภ้สี่จ้าวเบิกตาโต “ไปเรียนกันหมด แบบนั้นต้องจ่ายเงินอีกเท่าไรเนี่ย?”

  

“คุณรู้ไหมว่าพี่สะใภ้สามของฉูฉู่ได้เงินเท่าไร?”

  

“หืม? เท่าไร?”

  

“หลายร้อยหยวน!” พี่สี่จ้าวตอบ “ถ้าไม่เรียนหนังสือจะหาเงินได้เยอะขนาดนี้ไหม?”

พี่สะใภ้สี่จ้าวแอบคิดไม่ตก ไปเรียนหนังสือก็ต้องจ่ายเงิน ไม่เรียนหนังสือก็หาเงินหลายร้อยหยวนไม่ได้ ช่างเป็นปัญหาที่ยุ่งยากจริง ๆ

 

“คุณอย่าทำตัวเป็นคนผมยาวแต่ความคิดสั้นสิ! ถ้าอนาคตลูกสาวทั้งสามคนให้เงินคุณใช้คนละหลายร้อย คุณจะได้หน้าได้ตาขนาดไหน? หรือจะให้เป็นเหมือนคุณที่หาเงินหลายหยวนไม่ได้เลยตลอดทั้งชีวิต” พี่สี่จ้าวกล่าว

พี่สะใภ้สี่จ้าวกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “แต่ก็ต้องจ่ายหลายร้อยหยวนก่อนอยู่ดี คุณก็หามาสิ!”

……………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

คู่นี้ต้องอยู่ห่าง ๆ กันสินะ พอพี่สี่ไม่อยู่ก็ดูเหมือนสะใภ้สี่จะทำตัวดีขึ้นเยอะ ไม่มีใครให้แสดงความปสด. ของตัวเองล่ะสิท่า

ต้องให้ลูกสาวเรียนหนังสือนะ มีลูกสาวเก่งก็ไม่จำเป็นต้องหวังพึ่งลูกชายแล้ว

ไหหม่า(海馬)