โลกอนารยะ
ซากศพขนาดใหญ่กำลังบอกความลับอันน่าทึ่งให้กู่ฉิงซานทราบ
“โลกเหมือนกับแอปเปิลที่บุบสลาย เมื่อข้างในค่อยๆ ถูกทำลาย เปลือกของมันจะค่อยๆ เผยให้เห็นเนื้อก่อนค่อยๆ ทรุดโทรมจะบุบสลาย”
“จุดจบจะกระจายจากโลกภายในไปโลกภายนอกและทำลายทุกสิ่งในท้ายที่สุด”
“หลักฐานที่ตรงไปตรงมาที่สุดคือในช่วงไม่กี่ร้อยปีที่ผ่านมา กฎเกณฑ์ของโลกได้ยับยั้งสิ่งมีชีวิตธรรมดาไม่ให้แข็งแกร่งขึ้นมากกว่าเดิม”
ซากศพขนาดใหญ่ถอนหายใจแล้วกล่าวต่อว่า “เรื่องแบบนี้บอบบางเกินกว่าคนอื่นจะสังเกตเห็น แต่ข้ารู้สึกได้ตลอดเวลา”
กู่ฉิงซานเงียบไปสักพักแล้วถามว่า “นอกจากมหาภัยพิบัติที่ไม่มีคุณงามความดีแล้ว ยังมีหลักฐานอื่นอีกหรือเปล่า”
ซากศพขนาดใหญ่าตอบว่า “เจ้าเคยพบสิ่งมีชีวิตที่มีความสามารถใหม่มากมายหรือเปล่า”
กู่ฉิงซานครุ่นคิดสักพัก
เขาพลันนึกถึงหนังสือที่เคยเห็นตอนอยู่ในกองกิจการอาชีพโลกของสหพันธ์โลกเก้าร้อยล้านชั้น
หนังสือเล่มนั้นบันทึกอาชีพและความสามารถทั้งหมดที่เกิดขึ้นใหม่ในโลกเอาไว้ จำนวนของมันเพิ่มขึ้นทุกปี
“ข้ารู้เรื่องนี้” กู่ฉิงซานพยักหน้า
ซากศพขนาดใหญ่กล่าวว่า “นี่ถึงกับเป็นจุดกำเนิดพลังวิญญาณของทุกชีวิตที่สัมผัสได้ถึงแรงผลักดันกับจิตสังหารของจุดกำเนิดโลก ดังนั้นมันจึงเริ่มกระตุ้นและกลายพันธุ์ตามธรรมชาติ”
กู่ฉิงซานครุ่นคิดแล้วถามว่า “เพื่อปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะกับการอยู่รอดหรือ”
“ถูกต้อง”
“ดังนั้น ข้าไม่สามารถไปต่อได้แล้ว ควรทำยังไงดีล่ะ”
“ข้าต้องดูสถานการณ์ของเจ้าก่อน… จะว่าไปแล้ว ข้ายังสงสัยว่าทำไมความก้าวหน้าของเจ้าถึงได้ช้า ใครจะนึกล่ะว่าจู่ๆ จะพุ่งไปถึงระดับสามพันขั้นสูงสุดได้”
ระหว่างพูด ชิ้นเกราะเกล็ดสีดำตกลงมาจากเกราะอกของเขาอย่างช้า ๆ ก่อนลอยมาที่หน้ากู่ฉิงซาน
เกล็ดสีดำลอกออก เผยให้เห็นอักขระแสง
“เวลาที่เจ้าอาศัยอยู่ที่นี่สั้นนัก พวกเราจะสื่อสารกันแบบนี้” ซากศพขนาดใหญ่กล่าว
กู่ฉิงซานรับอักขระแสงมา แถวหิ่งห้อยขนาดเล็กปรากฏขึ้นตรงหน้าทันที
“วิธีถ่ายโอนความทรงจำแบบครั้งเดียว ท่านสามารถเลือกส่วนที่เคยประสบก่อนถ่ายโอนไปยังสติของอีกฝ่ายได้”
กู่ฉิงซานตรวจสอบวิชานี้แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มแห้งว่า “เรื่องมันยาว ข้าไปยุคโบราณมาน่ะ”
เขาเล่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในยุคโบราณให้ฟัง แต่เขาไม่ได้กล่าวถึงหน้าต่างระบบเทพสงคราม
ไม่ช้า
เสียงของซากศพขนาดใหญ่ดังขึ้น
“แสดงว่าสามารถมองเห็นความลึกลับของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดแล้วสินะ ดูท่าความลึกลับนี้จะไปถึงจุดที่ต้องดำเนินต่อไป”
“แต่เจ้าต้องตัดสินใจทางเลือกให้เรื่องนี้เอง”
มันถอนหายใจอีกครั้งแล้วกล่าวด้วยความเสียดายว่า “เจ้าถึงกับได้รับทหารปราบมารที่ก้นหุบเหว แต่น่าเสียดาย โลกภายในยังไม่สามารถไปได้ แถมยังล่มสลายไปแล้วด้วย”
กู่ฉิงซานกล่าวว่า “ตอนนี้ข้าสนใจอยู่คำถามหนึ่ง ข้าจะพัฒนาพละกำลังได้ยังไง”
“โชคยังดี เจ้าได้รับตัวตนล้ำค่ามา” ซากศพขนาดใหญ่ตอบด้วยน้ำเสียงยินดี
“สถานะอะไรหรือ” กู่ฉิงซานถามด้วยความประหลาดใจ
ซากศพขนาดใหญ่เน้นย้ำสี่คำ
“ผู้ส่งสารแห่งบาป”
กู่ฉิงซานตกตะลึง
ซากศพขนาดใหญ่กล่าวต่อว่า “ผู้ส่งสารแห่งบาปไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโลกภายนอก แต่ความสามารถอันทรงพลังแผ่กระจายมาจากโลกภายใน เกิดจากการหลอมรวมกับจุดกำเนิดทรงพลังและวงเวทของโลกภายใน เจ้ายังมีวิธีนี้เพื่อที่จะแข็งแกร่งขึ้น”
“ข้าควรทำอย่างไรดี” กู่ฉิงซานรอต่อไปไม่ได้แล้ว
ซากศพขนาดใหญ่ตอบว่า “การ์ดสีน้ำเงินคราม… กู่ฉิงซาน เจ้าต้องเพิ่มระดับบาปให้เป็นระดับสีน้ำเงินคราม จากนั้นเจ้าจึงสามารถรวมการ์ดดั้งเดิมบางส่วนเพื่อสร้างโลกที่เป็นของเจ้าขึ้นมาได้”
กู่ฉิงซานพลันนึกถึงคนคนหนึ่ง
เสี่ยวเตี๋ย
เสี่ยวเตี๋ยเคยไปพบแบร์รี่และเสี่ยวเมียวมาก่อน นางใช้คัมภีร์มากมายเพื่อสร้างภาพเหมือนให้ตัวเอง จากนั้นนางออกมาจกาภาพวาด
นี่คล้ายข้องเกี่ยวกับวิชาระดับสูง
“จ้าหมายความว่าหากข้าไปถึงระดับสีน้ำเงินคราม ข้าสามารถสร้างโลกเพื่อก้าวข้ามภัยพิบัติได้งั้นหรือ”
“ความจริง เนตรดาบของเจ้าได้สร้างโลกที่มีรากฐานขึ้นมาแล้ว”
“อีกอย่าง การ์ดบาปสามารถสร้างกฎของโลกขึ้นในโลกได้ มันจะไม่ฆ่าเจ้า… เจ้าจะเจอมหาภัยพิบัติตามปกติ”
ร่างขนาดใหญ่กล่าวอย่างช้าๆ
โลกยิ่งเจิดจ้ามากขึ้น
ลำแสงสีน้ำเงินเริ่มปรากฏขึ้นในท้องนภา
กันสาดสีน้ำเงินนี้ค่อยๆ รวมตัวจากทุกทิศทางจนไปสู่ยอดเสาทองสัมฤทธิ์
กู่ฉิงซานเงยหน้ามอง รู้สึกถึงการทำลายล้างจากกันสาดสีน้ำเงินอันละเอียดอ่อนนี้
ซากศพขนาดใหญ่กล่าวทันทีว่า “ตายล่ะ ข้าบอกเจ้ามากกว่านี้ไม่ได้แล้ว สรุปก็คือ หลังจากเจ้าเพิ่มระดับตัวเองแล้ว เจ้าต้องหาวัตถุที่เต็มไปด้วยกฎเกณฑ์ของโลกภายใน ผนึกพวกมันเข้าไปในการ์ด จากนั้นรวมมันเข้ากับโลกภายในขนาดเล็ก ทำแบบนั้นเจ้าจึงจะพัฒนาได้อีกครั้ง!”
‘เปรี้ยง!’
บนท้องนภา เสียงฟ้าร้องยังคงดังระงม
“สิ่งนี้ต้องถูกซ่อนในทะเลแห่งความรู้ กลับไปถึงแล้วค่อยดู เร็วเข้าล่ะ!” ซากศพขนาดใหญ่เร่ง
ชิ้นเกล็ดสีดำคลายออกจากเกราะอกของเขา มันลอกออก กลายเป็นภาพติดตาก่อนลอยมาที่มือของกู่ฉิงซาน
ทันทีที่กู่ฉิงซานคว้าเกราะเกล็ดสีดำเอาไว้ เขารู้สึกถึงแรงดันมหาศาลจากมันทันที
เขากำลังจะออกจากโลกใบนี้
เดี๋ยวๆ ข้ายังไม่รู้สถานการณ์ของเจ้าเลย…”
“ไม่มีอะไรเปลี่ยน ถามตอนนี้ไปก็เปล่าประโยชน์” ซากศพขนาดใหญ่ถอนหายใจออกมาด้วยความเศร้าขณะขัดคำถามของกู่ฉิงซาน
หลังจากนั้น คล้ายกับมีเชือกหนาดึงกู่ฉิงซานกลับไปทางที่เข้ามา
กู่ฉิงซานนึกถึงคำสั่งของอีกฝ่ายก่อนรีบซ่อนเกราะเกล็ดดำในทะเลแห่งความรู้ทันที
เขาหันมองกลับไป
เขาเห็นแสงอสนีบาตเรืองรองพลันลุกวาบในโลกอนารยะ
‘เปรี้ยง!’
‘เปรี้ยง!’
‘เปรี้ยง!’
อสนีบาต
ซากศพขนาดใหญ่เริ่มถูกอสนีบาตกระหน่ำใส่
ใครกันที่สร้างโลกนี้ขึ้นมา
ทำไมถึงต้องจองจำซากศพขนาดใหญ่ไว้ที่โลกใบนี้ แถมยังใช้พลังที่ใกล้เคียงกับการทำลายล้างมาลงโทษเขาอย่างต่อเนื่องอีก
ไม่มีใครรู้
กู่ฉิงซานเหาะเข้าสู่ความว่างเปล่าอันปั่นป่วนอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้ถึงเวลากลับไปแล้ว
เขาส่ายหน้า ในใจเต็มไปด้วยความวิตก
…แต่ท้ายที่สุดก็ยังได้ประโยชน์กลับมา
โลกภายนอกค่อยๆ ทิ้งสิ่งมีชีวิต แต่เขาได้รับกฎเกณฑ์ที่จะทำให้แข็งแกร่งขึ้น
โลกเพชร
วิญญาณตกลงมาจากท้องนภาก่อนเข้าสู่ร่างของกู่ฉิงซาน
“นายท่านกลับมาแล้ว!” ฉานนู่กล่าวงอย่างยินดี
กู่ฉิงซานลืมตาขึ้น
เขาขยับเล็กน้อย กางมือออกแล้วหยิบวัตถุจากทะเลแห่งความตระหนักรู้ออกมา
เกราะเกล็ดสีดำที่แตกร้าวปรากฏขึ้นตรงหน้าก่อนกลายเป็นอักขระลึกลับที่เต็มไปด้วยแสงเจิดจ้
บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม แถวหิ่งห้อยขนาดเล็กปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ค้นพบวิถีพิเศษ: ความลึกลับของทุกสิ่ง”
“ตอนนี้ท่านสามารถฝึกวิถีนี้จนเชี่ยวชาญได้หรือใช้ความลึกลับของตัวเองเพื่อกลืนกินมันได้ เพื่อเพิ่มระดับความลึกลับให้มากขึ้น อย่าให้มันแข็งแกร่งกว่าจนรับรู้ถึงแกนกลางของท่านได้”
กู่ฉิงซานมองอักขระลึกลับนี้ก่อนค่อย ๆ จมสู่ความคิด
จะฝึกความลึกลับของทุกสิ่งให้เชี่ยวชาญหรือจะปล่อยให้ทุกชีวิตก้าวหน้าต่อไป
นี่แหละปัญหา
…
อีกด้าน
โลกเซินหวู่
สำนักร้อยบุปผา
ฉินเสี่ยวหลัว ซิ่วซิ่ว หวั่นเอ๋อร์และฉิงโหรวล้วนยืนอยู่บนหลังคตาของวิหารร้อยบุปผาขณะมองทะเลสาบใหญ่ที่อยู่ไกลออกไป
เสียงและเงาขนาดเล็กยืนอยู่บนน้ำทะเลสาบจนทำให้เกิดความปั่นป่วนกับสวรรค์และปฐพี
ฉินเสี่ยวหลัวกอดอกแล้วถอนหายใจ “เด็กผู้หญิงคนนี้ที่อยู่ในสำนักของพวกเราทุกวันถึงกับหยิบยืมสถานที่ของพวกเราเพื่อก้าวข้ามภัยพิบัติ ข้าต้องคุยเรื่องนี้ตอนอาจารย์กลับมาแล้วล่ะ”
เขานั่งลงก่อนหยุดมองทะเลสาบ กลับกัน เขาหยิบขวดน้ำเต้าออกมาแล้วยกขึ้นดื่มช้าๆ
ทว่า ใบหน้าของหวั่นเอ๋อร์กับฉิงโหรวเผยสีหน้าเคร่งขรึมออกมา
พวกเขาจ้องผิวทะเลสาบ ไม่ยอมเลิกราโดยง่าย
ซิ่วซิ่วมองฉินเสี่ยวหลัว จากนั้นมองสองสาวก่อนที่อดถามไม่ได้ว่า “พี่หวั่นเอ๋อร์ พี่ฉิงโหรว เกิดอะไรขึ้นกับพวกเจ้าน่ะ”
ใบหน้าของหวั่นเอ๋อร์เต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อก่อนตอบออกมาอย่างเกรี้ยวกราดว่า “พี่ชายของเจ้าไม่เคยอ่านตำราเก่าแก่ เขาจึงไม่รู้ว่าฉากตรงหน้าเกินกว่าที่พวกเราจะเข้าใจได้”
ซิ่วซิ่วตกตะลึง
ฉิงโหรวลูบศีรษะของซิ่วซิ่วแล้วถอนหายใจออกมา “ถ้าไม่ใช่เพราะความสัมพันธ์อันดีของเด็กผู้หญิงคนนี้กับอาจารย์ ข้าคงรีบออกไปรายงานให้ยอดนักพรตคนอื่นทราบแล้ว”
“ทำไมล่ะ” ซิ่วซิ่วถาม
ฉิงโหรวตอบว่า “เพราะภัยพิบัติที่นางกำลังเผชิญยังไงล่ะ ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนั้นมาก่อน ข้าไม่รู้จริง ๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ไม่รู้ว่าตัวตนของนางคืออะไรด้วย”
ซิ่วซิ่วหันไปมองที่ทะเลสาบ
นางเห็นเด็กผู้หญิงสะบัดมือทั้งสองข้างก่อนตะโกนว่า “มาจัดการกับภัยพิบัติกันเถอะ มา!”
‘ตูม…’
ทั่วทะเลสาบใหญ่เกิดการเปลี่ยนแปลงจนปฐพีสั่นสะเทือน
ภาพแล้วภาพเล่าปรากฏขึ้นตรงหน้าเด็กผู้หญิง ด้านหลังนางคือความมืดที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ตอนนี้ บางสิ่งพลันปรากฏขึ้นข้างเด็กผู้หญิง
“นั่นมันอะไรน่ะ”
“แข็งแกร่งมาก เจ้าสิ่งนั้นน่ะ”
“ให้ความรู้สึก… เหมือนกับเป็นสมบัติของนางเลย… ดูสิ นางยืนอยู่บนสิ่งนั้นแล้ว”
สามสาวอดที่จะกระซิบกระซาบไม่ได้
ฉินเสี่ยวหลัวที่กำลังดื่มสุราพลันได้ยินบทสนทนาของพวกนางเข้า จากนั้นเขาเงยหน้าขึ้นชำเลืองมองทะเลสาบ
“อะไรน่ะ”
เขาวางน้ำต้าลงก่อนถามด้วยความประหลาดใจว่า “ทำไมดอกบัวสีทองนี้ถึงได้เหมือนกับของอาจารย์”
………………………………………….