กู่ฉิงซานมองอักขระลึกลับในมือของเขา

ความรู้แจ้งค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในใจราวกับรู้อยู่แล้วว่าต้องทำอย่างไร

ด้วยความคิดของเขา วงแสงอักขระแตกสลายกลายเป็นจุดแสงสว่างในทะเลแห่งความตระหนักรู้

ในเวลาเดียวกัน แถวตัวอักษรขนาดเล็กปรากฏขึ้นบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม

“ยันต์ลึกลับถูกท่านดูดกลืนไปแล้ว”

“ท่านเลือกที่จะอัปเกรดสิ่งมีชีวิตทั้งหมดด้วยความลึกลับแบบเดียวกัน”

“ความสามารถกำลังเปลี่ยนแปลง โปรดอย่าพยายามใช้ความสามารถภายในสามชั่วโมง ไม่อย่างนั้นมันจะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของความสามารถนี้”

“หลังจากผ่านไปสามชั่วโมง ความสามารถของท่านในการใช้ความลึกลับจะเพิ่มขึ้นมาก”

“จะว่าไป ข้าขอให้ท่านประสบความสำเร็จกับการแสดงในอนาคตยิ่ง ๆ ขึ้นไป”

กู่ฉิงซานมองประโยคสุดท้ายก่อนยักคิ้ว

“เจ้าไปไหนมา”

หลินถามด้วยความสนใจ

กู่ฉิงซานกลับมามีสติแล้วตอบว่า “ไปพบสหายเก่ามาน่ะ ทุกครั้งที่ข้าก้าวข้ามภัยพิบัติ เขาจะรับรู้ถึงข้าได้ก่อนพาไปที่ที่เขาอยู่เพื่อปัดเป่าสิ่งไม่ดีและสนทนา”

หลินมองเขาด้วยสีหน้าไม่เชื่อ

กู่ฉิงซานเล่าเรื่องมหาภัยพิบัติอีกครั้ง จากนั้นอธิบายว่า “เขาถูกจองจำในโลกขนาดเล็ก ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ มีแต่ข้าที่สามารถไปพบเขาเป็นครั้งคราวได้”

หลินครุ่นคิด “คราวหน้าพาข้าไปหาเขาหน่อยสิ”

เมื่อเห็นสีหน้าสับสนของกู่ฉิงซาน นางกล่าวว่า “อาจจะเป็นนักโทษที่รู้จักน่ะ”

“นักโทษหรือ”

“ใช่ ตั้งแต่อารยธรรมของมนุษย์คงอยู่ มนุษย์พบว่าหลายสิ่งคงอยู่ในมิติที่ยากจะเข้าใจ เจ้าไม่รู้หรอกว่าพวกเขาเคยทำอะไร เจ้าไม่มีทางรู้ได้ว่าทำสิ่งมีชีวิตพวกนั้นถึงถูกจองจำ”

“เจ้าหมายความว่า…”

“อย่าถาม ข้าไม่รู้มากไปกว่านี้แล้ว”

หลินเผยสีหน้าเหนื่อยล้าที่ยากจะได้เห็นก่อนกล่าวว่า “บางครั้งข้าก็หวังจริง ๆ ว่ามนุษย์จะอาศัยอยู่ในจักรวาลเพียงลำพัง ไม่ต้องมีสิ่งแปลกประหลาดรอบข้าง ทุกคนจะได้ไม่มีความสามารถพิเศษ ชีวิตแบบนั้นมันอาจจะเหมาะสมกว่าก็ได้ ไม่เหมือนกับพวกเราที่อยู่ในโลกนับพันล้านที่มีความลับไม่มีสิ้นสุด ทุกสิ่งง่ายที่จะเกิดขึ้น พวกเราต้องระแวดระวังกันตลอดเวลา”

หายากนักที่หลินจะระบายความในใจออกมา กู่ฉิงซานจึงครุ่นคิดถึงสิ่งที่นางอธิบาย

ตอนนี้ เขาคิดว่าหลินเป็นคนที่น่าสนใจมาก

…ดูท่านางจะเป็นคนที่เคยผ่านเรื่องยากลำบากมามากมายเช่นกัน

กู่ฉิงซานยิ้มแล้วถามว่า “ถ้าแบบนั้น ผู้คนก็ต้องเผชิญหน้ากับ เกิด แก่ เจ็บ ตาย โดยไม่สามารถทำอะไรได้ เจ้าต้องการแบบนั้นหรือ”

“ถ้ามีการเกิดใหม่ ข้าก็ต้องการแบบนั้น” หลินพึมพำ

“หวนคืนชาติภพหกวิถีคืออาวุธพิเศษนะ” ฉานนู่ขัด

“ใช่ แต่มันไม่ได้ขัดขวางชีวิตของพวกเรา วิญญาณย่อมวนเวียนในการกลับชาติมาเกิดใหม่ตามธรรมชาติ แบบนั้นไม่ดีหรือ” หลินถาม

รอยยิ้มบนใบหน้าของกู่ฉิงซานแข็งทื่อ

“ใช่ วิญญาณสามารถวนเวียนไปตามด้วยหวนคืนชาติภพหกวิถีได้ แต่การเกิดใหม่ก็เป็นอาวุธได้เช่นกัน…” เขาพึมพำ

เขาจำได้ว่าตอนพาแบร์รี่และเสี่ยวเมียวกลับโลกดั้งเดิม คนของวิญญาณกรีดร้องไม่หวาดกลัวแบร์รี่และเสี่ยวเมียวเพราะสามารถเกิดใหม่ได้หลังจากตายไปแล้ว

แต่ตอนนั้นเขาทำยังไงหรือ

เขาใช้ดาบขุนเขาศักดิ์สิทธิ์หกภพกับตะขอวิญญาณหวั่งชวนเพื่อพาพวกมันออกจากโลกดั้งเดิม!

วิญญาณของพวกมันถูกส่งไปยมโลกก่อนจะถูกกำจัดโดยไม้เท้าราชาคุกมาร

เขาจำได้ว่าในช่วงวินาทีสุดท้าย ในยมโลก วิญญาณกรีดร้องเกือบปรากฏตัว เขาใช้ไม้เท้าราชาคุกมารเพื่อหยุดเหตุการณ์นี้เช่นกัน

กู่ฉิงซานพลันตกตะลึงขึ้นมา

แสดงว่านี่คือคุณค่าของหวนคืนชาติภพหกวิถีหรือ

ดังนั้นศัตรูคนใดที่ใช้หวนคืนชาติภพหกวิถีเหมือนอย่างคนเหล่านั้นก็จะสามารถครอบครองคุณลักษณะของความเป็นอมตะนิรันดร์ได้งั้นหรือ

แต่เรื่องนี้ต้องการหลักฐานยืนยันเพิ่มเติม…

“มีอะไรหรือ” หลินถาม

“ไม่มีอะไร”

กู่ฉิงซานกลับมามีสติขณะจดจำเรื่องนี้ไว้ในใจอย่างเงียบงัน

สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือพัฒนาพละกำลัง นั่นคือรากฐานของทุกสิ่ง

กู่ฉิงซานเริ่มคิดถึงก้าวต่อไป

อย่างแรกเลย การเลื่อนขั้นของผู้ส่งสารแห่งบาปเป็นเรื่องที่ต้องคิดให้หนัก ไม่สามารถแก้ไขได้ในทันที

หลังจากอัปเกรดแล้ว โลกจะต้องถูกสร้างด้วยการ์ด

…การทำแบบนี้ต้องเก็บของที่เต็มไปด้วยกฎเกณฑ์โลก แต่มันสามารถทำได้พร้อมกับอัปเกรดระดับการ์ด

ดังนั้น จะพัฒนาระดับการ์ดอย่างไรล่ะ

กู่ฉิงซานระลึกถึงอย่างรวดเร็ว จากนั้นค่อยๆ นึกถึงสิ่งที่เสี่ยวซีเคยพูด

“มีสามวิธีที่จะแข็งแกร่งขึ้น หนึ่งคือก้าวหน้าตามธรรมชาติเหมือนอย่างเจ้า สองคือกลืนกินการ์ดใบอื่น สามคือค้นหาวัตถุสืบทอดเหล่านั้นที่มาจากเทพโบราณเพื่อใช้พวกมันตรวจสอบระดับการ์ดของเจ้าก่อนทำการพัฒนา”

…สิ่งที่สืบทอดมาจากเทพโบราณนั้นมันไม่ได้มีอยู่จริง

กู่ฉิงซานลอบครุ่นคิด

เสี่ยวซีถูกล้างสมองจนคิดว่าเทพคือผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง

ความจริง สิ่งเหล่านั้นน่าจะเป็นวัตถุมีค่าที่ถูกทิ้งไว้โดยเผ่าพันธุ์มนุษย์โบราณต่างหาก

ยังไงเสีย วัตถุเหล่านั้นสามารถสร้างฮอร์ครักซ์ที่ทรงพลังขึ้นมาได้ แม้กระทั่งการพัฒนาก็ต้องการสิ่งเหล่านั้น

เป็นไปไม่ได้ที่จะก้าวหน้าตามธรรมชาติได้ เป็นเรื่องยากยิ่งที่จะตามหาวัตถุจากเผ่าพันธุ์มนุษย์โบราณ การตามหาการ์ดเพื่อกลืนกินคงจะเป็นทางที่ดีกว่า

หลังจากคิดถึงคำถามทั้งหมดนี้ กู่ฉิงซานจับดาบคลื่นเสียงแล้วตวัดใส่ท้องนภา

ประกายดาบเจิดจ้าทะยานขึ้นสู่ท้องนภา

เบื้องหน้าประกายดาบ ท้องนภายามราตรีเหมือนกับม่านสองผืนขณะถอยห่างออกไปสองฝั่งอย่างช้า ๆ

แสงและเงาของโลกจำนวนมากปรากฏขึ้นบนท้องนภา มันโผล่ขึ้นมาอย่างไม่มีสิ้นสุด สับเปลี่ยนไปมา แผ่ขยายไกลออกไปสุดหยั่ง

นี่คือสามพันโลก

“หลังจากผ่านหลายสิ่งมาแล้ว พวกเราต้องหาสถานที่พักผ่อน” กู่ฉิงซานมองกลับมาที่หลิน “เจ้าเลือกทีสิว่าอยากไปโลกไหน”

หลินตกตะลึงสักพัก

พักผ่อน…

คำนี้ไม่คุ้นเคยสำหรับนาง

“ทำไมข้าต้องเลือกล่ะ” หลินถาม

“เพราะเจ้าได้รับบาดเจ็บ พวกเราต้องเลือกสถานที่ที่เจ้ารู้สึกพึงพอใจที่สุดในการพักผ่อน” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างใจกว้าง

ไม่ว่าผู้สร้างปฐพีจะตระเตรียมอะไรในโลกลี้ลับ แต่เขาไปตอนนี้ไม่ได้ เขาไม่สามารถก้าวเข้าสู่โลกซ่อนเร้นแห่งอื่นเพื่อกลับพื้นที่จ้าวโลกตามการชี้นำของแผนที่ดวงดาวได้เช่นกัน

หนทางที่ดีที่สุดในตอนนี้คือตามหาโลกเพื่อพักผ่อน รอให้หลินฟื้นฟูจากอาการบาดเจ็บก่อน จากนั้นค่อยตรวจสอบเกี่ยวกับโลกลี้ลับช้าๆ

หลินสูดดมเล็กน้อยขณะมองท้องนภา

ผ่านไปสักพัก

“กู่ฉิงซาน”

“ว่าไง”

“ตรงนั้น…”

“ว่าไงนะ”

“เจ้ามีเงินหรือเปล่า มันต้องใช้เงินเพื่อกินและซื้อของในร้านอาหารน่ะ”

“มีอยู่ รอเดี๋ยวน”

กู่ฉิงซานนิ่ง

เขาเอื้อมมือไปค้นในถุงเก็บของก่อนหยิบถุงสีดำขนาดเล็กออกมา

ดีล่ะ!

การสังหารเจ้าหน้าที่ระดับสูงในวิหารแห่งความตายที่โลกทรายดูดทำให้ได้เงินมามากมาย

เดิมทีเงินถูกแบ่งกับตระกูลแมงป่องมาร แต่หลังจากทั้งสองแยกกัน เงินก็เลยเหลือ

จำนวนเงินขนาดนี้นับว่าพออยู่!

กู่ฉิงซานหยิบเหรียญออกจากถุงสีดำขนาดเล็ก

นี่คือเหรียญสีน้ำเงินเข้มที่มีสัตว์ประหลาดคล้ายปลาหมึกสลักอยู่ด้านหน้า ตัวเลขหนึ่งร้อยเก้าอยู่ด้านหลัง

…เหรียญหมายเลขหนึ่งร้อยเก้า… เหรียญที่มีค่ามากที่สุดในถุงขนาดเล็ก มันมีความสามารถพิเศษบางอย่าง

“เหรียญที่เผ่าพันธุ์เทพปลอมแปลง ข้าไม่ค่อยสนใจของพวกนี้เท่าไหร่” หลินมองเหรียญแล้วกล่าวเช่นนั้น

“แน่นอนว่าเหรียญของเผ่าพันธุ์มนุษย์โบราณไม่ได้ทรงพลัง แต่ก็เพียงพอที่จะใช้ในชีวิตประจำวันนะ”

เขาพึมพำอยู่ในใจ “เครื่องดื่มเย็นๆ ”

‘ปัง!’

เสียงแผ่วเบาดังขึ้น

ในการทำสมาธิเงียบๆ ของกู่ฉิงซาน ปลาหมึกขนาดใหญ่ที่หน้าเหรียญแยกออกเป็นกล่องไม้ขนาดใหญ่

กู่ฉิงซานหยิบกล่องไม้ขนาดใหญ่ขึ้นมา เปิดออกตรงหน้าสองสาวแล้วเชื้อเชิญว่า “ดื่มไหม”

ความจริง นี่คือตู้เย็นที่เต็มไปด้วยแถวเครื่องดื่มตระการตามากมาย

ฉานนู่กลายเป็นร่างคนจากสภาพวิญญาณดาบอย่างไม่ลังเลก่อนก้าวเข้ามาหยิบแก้วน้ำผลไม้เย็น

“ขอบคุณนายท่าน”

นางยกขึ้นจิบแล้วยิ้มออกมา

หลินมองดูอยู่สักพัก หยิบกล่องนมขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจแล้วเริ่มดื่ม

กู่ฉิงซานดึงขวดวิญญาณออกมา เปิดจุกออก เงยหน้าขึ้นแล้วยกกระดก

พวกเขาสามคนมองแสงและเงาของโลกอันไร้ที่สิ้นสุดในท้องนภาขณะดื่มเครื่องดื่มอย่างเงียบงัน

ใช่…

มันรู้สึกดีที่ได้พักผ่อน

ดวงตาของกู่ฉิงซานกลอกไปมาขณะมองหลินแล้วถามอย่างระวังว่า “คือว่า เจ้ารู้จักผู้ส่งสารแห่งบาปที่ชื่อเสี่ยวซี…”

“ตอนนี้มังกรหุบเหวปกครองพื้นที่จ้าวโลก ทุกสิ่งที่ข้าซ่อนไว้ที่นั่นถูกมันเอาไปแล้ว” หลินกล่าวสบายๆ

กู่ฉิงซานถอนหายใจ

หลินกล่าวต่อว่า “อย่าคิดให้มากความ เมื่อวงแหวนแห่งคำสาบานกลับคืนสู่มือข้า ไม่ช้าก็เร็ว ข้าจะไปหามังกรมารเพื่อแก้แค้น ครั้งนี้ข้าจะพาเด็กผู้หญิงคนนั้นกลับมาหาเจ้า”

“ขอบคุณ”

“ขอแค่เจ้าไม่ลืมว่าต้องไปส่งข้าที่ประตูโลกในอนาคตก็พอ”

“ไม่ลืมหรอก”

“อืม แบบนั้นก็ดี” หลินกล่าวอย่างเต็มใจ

นางมองท้องนภา มองอยู่สักพักก็ชี้ไปที่โลกใบหนึ่งแล้วกล่าวว่า “ไปที่นั่นกันเถอะ”

กู่ฉิงซานเงยหน้ามอง

เขาเห็นหลินกำลังพูดถึงโลกที่มีชีวิตชีวาและไม่ธรรมดา

ถึงแม้โลกจะไม่ได้มีอารยธรรมที่สูงมากนัก แต่กู่ฉิงซานเห็นกลุ่มชายแข็งแรงกำลังกินอาหารเย็นที่แผงขายของ

พละกำลังของพวกเขาอยู่ในระดับที่ต่ำสุด

มีอารายธรรม ความสามารถและความแปลกประหลาดนับไม่ถ้วนอยู่ในโลกเก้าร้อยล้านชั้น ถึงแม้แต่ละส่วนจะถูกแบ่งเป็นหลายระดับเหมือนกับผู้ฝึกยุทธ เมื่อเอามารวมกันแล้ว เขาต้องใช้หลายระดับในการแบ่งแยกตัวตนที่ไม่มีสิ้นสุดเหล่านี้ มันจึงเป็นเรื่องยากยิ่ง

บางครั้ง ระดับอารายธรรมก็ไม่ได้เกี่ยวอะไร สิ่งสำคัญที่สุดคือมียอดฝีมืออยู่บนโลกใบนี้

หากมียอดฝีมือ อารายธรรมและโลกจะได้รับการปกป้อง โลกจะกลับมารุ่งเรืองและมีชีวิตชีวา

“ไปกันเถอะ” กู่ฉิงซานกล่าว

เขาปล่อยเรือเหาะก่อนบินขึ้นสู่โลกพร้อมหลินกับฉานนู่

………………………………………….