ตอนที่ 467

The Divine Nine Dragon Cauldron

ภายในถ้ำดำสนิท เนตรวิญญาณมองเห็นทุกสิ่งราวกับเป็นเวลากลางวัน ซือหยูนั้นมองเห็นทุกอย่างที่นี่

 

ถ้ำไม่ลึกมากนัก และซือหยูก็ไปถึงทางตันในสิบก้าว จากนั้นเขาก็พบว่าที่สุดทางยังมีถ้ำเล็กๆที่ห้าถึงหกถ้ำ ซือหยูหยิบเอาผ้าคลุมออกมาและปิดบังพลังและร่างกายตัวเอง จากนั้นเขาก็เลือกทางเล็กตรงกลางและเข้าไปอย่างรวดเร็ว

 

เมื่อเขาเข้าไป ซื่อหลิงที่อยู่ด้านหลังนั้นตามทันด้วยความเร็วราวสายฟ้า เขายืนอยู่หน้าถ้ำเล็กๆทั้งห้าด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราด

 

พลังของซือหยูหายไปจากจุดนี้ และตรงหน้ายังมีเส้นทางหลายสาย เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะตามซือหยูต่อ ซื่อหลิงไม่พอใจนัก เขาหันกลับออกจากถ้ำ จากนั้นเขาก็กลับไปยังที่เดิม

 

เขาจะไม่เอาตัวเองไปสู่อันตรายอีกแล้ว อย่างน้อยก็ไม่ใช่เพราะเพื่อต้องไล่ล่าซือหยู เขาต้องออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุดเพื่อให้แน่ใจว่าจะปลอดภัย

 

หลังจากซื่อหลิงออกจากถ้ำ เขาเงยหน้ามองด้านบนจากนั้นจึงปลดปล่อยพลังวิญญาณและบินขึ้นไป เขาไปถึงชั้นแสงสีแดง เขามองมันอย่างละเอียด เขาจำได้ว่าตอนที่ซือหยูยิงพลังวิญญาณเข้าไป มันจะสะท้อนกลับมา

 

ดังนั้นเขาจึงไม่ใช้พลังวิญญาณอย่างเปล่าประโยชน์ เขากลับเลือกที่จะใช้ร่างกายของตัวเอง! ซื่อหลิงกลั้นหายใจและรวบรวมกำลังกายสิบส่วนไว้ที่มือขวา เขาปล่อยหมัดชกเข้าไปอย่างแรง

 

ปั้ง–

 

แต่ซื่อหลิงก็ต้องตกตะลึง เขาถูกพลังของตัวเองสะท้อนกลับมาเป็นสองเท่า เขากระเด็นออกไป สายโลหิตไหลออกมาจากมุมปาก เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้บาดเจ็บเพียงเล็กน้อย

 

ถ้าพลังแค่สิบส่วนก็น่ากลัวเช่นนี้ ถ้าเขาใช้พลังเต็มที่ไปก็มีโอกาสสูงที่เขาจะถูกพลังสะท้อนตัวเองสังหาร ซื่อหลิงมองม่านพลังนั้นด้วยความกลัว เขาละสายตาไปยังถ้ำรอบๆ

 

เขาครุ่นคิดและใช้พลังสามสิบส่วนโจมตีถ้ำ หลุมลึกเกิดขึ้น จากนั้นซื่อหลิงก็ต้องตัวแข็งทื่อ

 

สิ่งที่เขาเห็นไม่ใช่โลกภายนอก มันกลับเป็นวัตถุดิบคล้ายเหล็กสีเงินที่แข็งแรงอย่างไม่น่าเชื่อ และมันก็ไม่ได้สั่นสะเทือนแม้แต่นิดเดียวจากแรงเมื่อครู่

 

ซื่อหลิงพยายามหลายครั้งที่จะขยับมัน เขาพยายามจะถึงขั้นที่ใช้พลังสูงสุดแต่ก็ยังทำอะไรกับโลหะสีเงินไม่ได้แม้แต่นิดเดียว!

 

เขาสีหน้าเคร่งเครียด เขามองพื้นที่อื่นอีกครั้ง เขาทำลายอีกหนึ่งส่วนและพบว่าทุกแห่งล้วนเป็นเหล็กสีเงิน!

 

ภายในของสัตว์ประหลาดนั้นปกคลุมด้วยเหล็กกล้า พลังอย่างเดียวนั้นมิอาจทำให้เขาหนีออกไปได้!

 

“บัดซบ! ทั้งหมดเป็นเพราะไอ้เด็กเวรนั่น! ถ้าไม่ใช่เพราะข้าเผลอเพราะต้องฆ่ามัน ข้าจะต้องมาอยู่ในตัวสัตว์ประหลาดเช่นนี้เรอะ?”

 

ซื่อหลิงปล่อยจิตสังหารออกมา

 

ถ้าเขาระวังตัวมากกว่านี้ก็ไม่มีเหตุผลให้เขาไม่รู้ตัวถึงสัตว์ประหลาดตัวนี้เลย สัตว์ประหลาดนั้นยังเลือกซือหยูกับซื่อหลิงเพราะทั้งสองเพ่งอยู่กับการต่อสู้ เลยกลายเป็นเป้าหมายของมันไป

 

จิตสังหารของซื่อหลิงนั้นพวยพุ่งยิ่งกว่าเดิมเมื่อคิดถึงเรื่องนี้! แววตาสีซีดลุกวาว เขากลับไปยังจุดที่ซือหยูหนีไปด้วยความไม่พอใจ เขาเลือกถ้ำขวาสุดในห้าถ้ำและเข้าไปด้วยความเร็วสูง

 

กลับมาที่ซือหยู เขาพบว่ายังมีถ้ำเล็กๆที่เชื่อมต่อเส้นทางอยู่อีก และถ้ำอื่นๆนั้นก็เชื่อมต่อกับถ้ำที่มากยิ่งขึ้นไป!

 

ถ้ำเชื่อมต่อกันและกันอย่างหนาแน่น แต่ทุกถ้ำก็มีเส้นทางของมันเอง ซือหยูนั้นบอกไม่ได้แล้วว่าตัวเองกำลังมุ่งหน้าไปที่ใด แต่ข้อดีคือเขาไม่รู้สึกว่าซื่อหลิงกำลังตามมา

 

ซือหยูมองหามุมใดมุมหนึ่งและพยายามจะทำลายกำแพงเนื้อ แต่ที่ได้ก็ไม่ต่างจากซื่อหลิง เขาได้พบกับเหล็กสีเงินที่แข็งแรงอย่างไม่น่าเชื่อ

 

ซือหยูรู้สึกทึ่งเล็กๆที่เหล็กสีเงินนี้แข็งแรงและมีแรงต้านมากจนน่ากลัว!

 

มีดเกล็ดทองนั้นทำให้เกิดรอยบนเกราะราชาศิลานิรันดร์ได้ แต่เมื่อนำมีดเกล็ดทองไปข่วนกับเหล็กสีเงินนี้ก็พบเพียงแค่รอยข่วนเล็กๆ!

 

ยากที่ซือหยูจะเชื่อได้ หรือว่าเหล็กสีเงินในสัตว์ประหลาดตนนี้จะแข็งแกร่งยิ่งกว่าเกราะราชาศิลานิรันดร์?

 

ซือหยูนั้นทิ้งความคิดที่จะทำลายกำแพงเนื้อไป เขามุ่งมั่นอยู่กับการค้นหาทางออก

 

ซือหยูเดินทางผ่านถ้ำมากมาย เขารู้สึกเหนื่อยล้ามากเมื่อผ่านไปครึ่งวัน และเขายังใช้เนตรวิญญาณมาเป็นเวลานาน

 

เมื่อคิดถึงการต่อสู้ที่หุบเขาปีศาจ การต่อสู้กับทูตพันธนาการภูติ และต้องมาสู้กับตำหนักชิงวิญญาณเมื่อครู่ ทั้งหมดไม่ได้ให้เวลาพักผ่อนที่เพียงพอแก่เขาเลย ทำให้ซือหยูในตอนนี้เหนื่อยอ่อน

 

“ข้าต้องหาที่พัก…”

 

ซือหยูพูดกับตัวเอง

 

ทันใดนั้นก็มีกลิ่นหอมพัดเข้ามา กลิ่นอันสดชื่นนั้นไม่เข้ากับสถานที่อันเต็มไปด้วยโลหิตเหนียวและความมืดเช่นนี้เลย

 

ซือหยูสีหน้าเปลี่ยนไป เขามุ่งหน้าตามกลิ่นอย่างระมัดระวัง เขาเดินตามความมืดและพบกับแสงสว่าง แสงมาจากสุดทางที่อยู่ต่อหน้าต่อตาเขา

 

ซือหยูกลั้นหายใจ เขาขยับเข้าไปด้วยความระวัง เขาไปถึงสจุดสิ้นสุดและพบว่าแสงสว่างเล็กๆนั้นมาจากนอกถ้ำ

 

เขามองดูและพบว่าภายนอกถ้ำนั้นเป็นหุบเขาที่งดงามและสดใส! หุบเขานี้เต็มไปด้วยสีเขียว เหล่าผีเสื้อล้วนบินขวักไขว่ ต้นหญ้าเติบโตสูง วิหคบินลอยล่อง ที่นี่คือโลกอันสงบและงดงามที่อาบแสงตะวัน

 

ช่างเป็นภาพที่ดูสดชื่นเป็นอย่างมาก! ซือหยูมีข้อสงสัย เหตุใดโลกเช่นนี้ถึงมาอยู่ในร่างกายของสัตว์ประหลาดกัน?

 

เขาเงยหน้ามองและพบว่ากำแพงเนื้อนั้นปิดสนิท มีแก้วมณีมากมายฝังอยู่ด้วย แก้วมณีเหล่านั้นส่องแสงขาวที่ทำให้หุบเขานี้ดูสว่างโดยเฉพาะ

 

และที่กลางหุบเขา พลังวิญญาณอันเข้มข้นแพร่กระจายอยู่อ่อนๆ พลังวิญญาณนั้นเป็นสิ่งที่รักษาสรรพชีวิตในหุบเขาและทำให้พวกมันเติบโต

 

ซือหยูเดาะลิ้นด้วยความสงสัย หลังจากที่มองรอบๆก็พบว่ามีแค่ถ้ำนี้ที่นำพาเขามาถึงหุบเขาอันนี้

 

ซือหยูที่สงสัยเข้าสู่หุบเขาอย่างระวัง เมื่อยืนเหนือภูเขาลูกเล็กเขาก็พบกระท่อมอย่างน่าตกใจ มันดูเรียบง่ายอย่างมาก และมันอยู่ในหุบเขาแห่งนี้!

 

กว่าครึ่งของกระท่อมทรุดโทรมไป ส่วนหนึ่งของมันผุกร่อนไปตามกาลเวลา ดูเหมือนว่ากระท่อมนี้จะอยู่มาหลายปีแล้ว รอบกระท่อมนั้นมีสิ่งของที่เกิดจากมนุษย์เป็นผู้สร้างและเคยทำแปลงเกษตรมาก่อน แต่ในตอนนี้มันเต็มไปด้วยต้นวัชพืช

 

เหล่าวัชพืชนั้นเป็นต้นหญ้าธรรมดาๆ แต่ในแปลงนั้นเหล่าแมกไม้เติบโตอย่างผิดปกติ! มันเติบโตใหญ่กว่าวัชพืชรอบๆถึงสิบเท่า! และพลังวิญญาณของที่นี่ก็มาจากพื้นดินในแปลงนี้!

 

บอกได้เลยว่าแปลงเกษตรนี้ไม่ใช่สถานที่ธรรมดา ดินภายในก็ไม่ใช่ดินธรรมดา หลังจากที่ยืนยันได้ว่ามันไม่อันตราย ซือหยูเข้าไปยังกระท่อมนั้นผ่านรอยแยกเล็กๆ

 

ของส่วนใหญ่ในกระท่อมนั้นกลายเป็นฝุ่นไปด้วยเวลาอันเนิ่นนาน ข้าวของเครื่องใช้ต่างผุกร่อนไปเช่นกัน เหลือเพียงเตียงหินที่เต็มไปด้วยฝุ่น

 

และเหนือเตียงหินยังมีร่างของจิ้งจอกอย่างน่าตกใจ จากที่มองดู มันน่าจะสิ้นชีวิตมานานแล้ว

 

ซือหยูมองดูในปากจิ้งจอกและพบว่ามีมุกสีมรกตทรงกลมอยู่ด้วย ซือหยูพยายามจะเอามุกนั้นออกมา

 

ซือหยูตกใจมากเมื่อมุกมรกตนั้นส่องแสงออกมาในทันที แสงส่องสว่างจนกลายเป็นรูปร่างหนึ่ง

 

มันคือจิ้งจอกขาวราวหิมะ ทั้งร่างของจิ้งจอกนั้นเต็มไปด้วยขนสีขาวและไม่มีสิ่งเปรอะเปื้อนแม้แต่น้อย มันยังส่องแสงสีขาวออกมาจากร่าง ดวงตาสีมรกตของมันสดใสราวกับเป็นดวงตาที่บริสุทธิ์ที่สุดในโลก

 

มันนอนอยู่อย่างงดงาม แม้ว่ามันจะเป็นจิ้งจอกแต่ก็ให้ความรู้สึกอันตระการตา ความสูงส่ง ความบริสุทธิ์ ความสง่างาม ทั้งหมดหลอมรวมกับทำให้ซือหยูรู้สึกว่ากำลังมองดูมนุษย์ผู้หญิงที่สวยงาม

 

“ในที่สุดก็มีคนมาที่นี่จนได้…”

 

จิ้งจอกพูดภาษามนุษย์ออกมา

 

ซือหยูตกใจ หรือว่ามันจะเป็นสัตว์อสูรที่อยู่ในระดับจักรพรรดิ? ไม่สิ ถึงจะเป็นจักรพรรดิสัตว์อสูรก็ไม่น่าจะมีปัญญาได้เช่นนี้

 

“สิ่งที่เจ้ามองเห็นตอนนี้คือภาพที่ข้าทิ้งเอาไว้ ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร หากเจ้าหยิบเอามุกวิญญาณเก้าหยกของข้าออกมา เจ้าจะเป็นผู้สืบทอดของข้าและเป็นจ้าวแห่งหุบเขานี้”

 

ซือหยูตกใจเมื่อได้ยินดังนั้น ภาพที่ทิ้งเอาไว้รึ? เขาฟังต่อด้วยความใจเย็น

 

“ในแปลงผักของหุบเขานี้มีดินเพาะบ่มชั้นสูงอยู่ มันคือสมบัติดินที่ล้ำค่า ไม่ว่าจะปลูกต้นภูติหายากแบบใดที่อยู่รอดยาก ผลของมันก็จะไม่เหมือนกับดินอื่น!”

 

“ดินเพาะบ่มชั้นสูงในแปลงเป็นของข้าที่รวบรวมมันมาทั้งชีวิต ทุกส่วนล้วนหาได้ยากและเอาไปแลกได้กับวิชาระดับภูติ ผู้ศรัทธาเอ๋ย พวกมันเป็นของเจ้าแล้ว”

 

ซือหยูอ้าปากค้าง วิชาระดับภูติรึ? ดินเพาะบ่มชั้นสูงแลกได้กับวิชาระดับภูติ!

 

ซือหยูมิอาจเชื่อหูตัวเอง และที่นี่ยังมีดินนั้นเป็นแปลง! ซือหยูได้พบกับสมบัติที่เขาไม่เคยพบมาก่อนเข้าแล้ว!

 

แต่ซือหยูก็ใจเย็นลงในไม่นาน การที่จิ้งจอกนี้จะให้สิ่งที่เก็บรวบรวมมาทั้งชีวิตอย่างไรเหตุผลก็คงจะเป็นไปไม่ได้…

 

“ตราบเท่าที่เจ้าสัญญากับข้าหนึ่งสิ่ง ที่นี่จะเป็นของเจ้า!”

 

เสียงของจิ้งจอกอ่อนโยน มันพูดช้าๆ

 

“ข้าต้องการให้เจ้าไปยังโลกอสูรและนำพาร่างกายของข้ากลับคืนตระกูลจิ้งจอกอสูร และช่วยบอกพวกเขาแทนข้า ว่าข้าทำสำเร็จแล้ว”

 

ซือหยูสับสนอย่างมากเมื่อได้ยินดังนั้น โลกอสูรมันคืออะไรกัน?

 

“ถ้าเจ้ายอมรับที่จะทำ โปรดหยดโลหิตลงบนมุกวิญญาณเก้าหยก นี่จะเป็นการให้คำสาบาน ถ้าเจ้าทำภารกิจไม่สำเร็จในร้อยปี ร่างกายของเจ้าจะระเบิด และเจ้าจะตาย”

 

ซือหยูชักสีหน้า แม้ดินเพาะบ่มชั้นสูงจะล้ำค่า มันก็ไม่ล้ำค่าถึงขนาดที่ซือหยูจะต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อมัน

 

และถ้าเขาอยากจะเอาดินเพาะบ่มไป เขาก็ทำได้ด้วยตัวเอง ทำไมเขาจะต้องให้คำสาบานกับสัตว์อสูรที่ตายไปแล้วด้วยเล่า?

 

แต่จิ้งจอกขาวก็เตรียมการไว้แล้ว

 

“ในดินเพาะบ่มจะมีผนึกอยู่ ถ้าเจ้าไม่สาบาน เจ้าจะขยับมันไม่ได้”

 

“เช่นเดียวกับมุกวิญญาณเก้าหยก ถ้าเจ้าไม่ให้คำสาบาน เจ้าจะเอามันออกจากกระท่อมไม่ได้ ถ้าเจ้าไม่สาบานก็จะเกิดการระเบิด เจ้าจะถูกทำลายไปพร้อมกับหุบเขานี้”

 

ซือหยูถึงกับลังเลในทันที จิ้งจองตัวนี้แปลกอย่างมาก เขาเกรงกว่าสิ่งที่มันพูดจะเป็นความจริง

 

ซือหยูคิดหนัก ผ่านไปนานก่อนที่เขาจะกัดฟันแน่นและหยดโลหิตลงไป

 

ร้อยปี ไม่แน่ใจว่าเขาจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ในอีกร้อยปี ดังนั้นเขาต้องเอาสมบัติตรงหน้าไปก่อน

 

ซือหยูหยดโลหิตลงบนมุกวิญญาณเก้าหยกและทำสัญญาให้เสร็จสิ้น ในร้อยปีนี้เขาจะต้องส่งโครงกระดูกของจิ้งจอกสู่ตระกูลจิ้งจอกอสูรและส่งข้อความแทน บอกว่าจิ้งจอกตัวนี้ทำสำเร็จแล้ว นั่นทำให้ซือหยูสับสนอย่างมาก

 

“ยินดีด้วย หุบเขานี้เป็นของเจ้า เจ้าจะนำมันติดตัวไปกับเจ้าที่ใดก็ได้”

 

เสียงปรากฏในจิตใจของซือหยูทันที

 

นำไปที่ไหนก็ได้รึ? ซือหยูประหลาดใจมาก