สองเดือนต่อมาบนน่านฟ้าเหนือมหาสมุทรแห่งหนึ่ง ลำแสงสีเขียวสายหนึ่งบินเหาะอยู่กลางอากาศต่ำๆ อย่างเนิบช้า

 

 

ฉับพลันนั้นมีเสียงคำรามอสูรดังออกมาจากมหาสมุทรด้านล่าง ผิวน้ำหมุนวนกลายเป็นคลื่นยักษ์สูงยี่สิบจั้งเศษ

 

 

มัจฉาประหลาดเขาเดี่ยวเรือนกายสีดำสนิทปรากฏขึ้นในมหาสมุทร ปากที่เต็มไปด้วยเขี้ยวแหลมคมกัดลงมาที่ลำแสงสีเขียวอย่างแรง หมายจะกลืนลงไปในท้อง

 

 

สายรุ้งสีเขียวเปล่งแสงเจิดจ้า ฉับพลันนั้นพลันหมุนโคจร ความเร็วในการหลีกหนีเพิ่มขึ้นจากก่อนหน้าสองสามเท่า ชั่วครู่ก็หายวับไปจากจุดที่ไกลออกไป ปรากฏตัวอีกแห่งหนึ่งห่างออกไปสิบจั้งเศษ

 

 

มัจฉาประหลาดงับอากาศที่ว่างเปล่า แต่ทันใดนั้นหางพลันตวัดอยู่ในคลื่นยักษ์ แล้วกระโจนหันหัวกลับไปอีกครั้ง

 

 

ในครานั้นเองสายรุ้งสีเขียวมีเสียงหวีดร้องดังขึ้น เส้นไหมสีเขียว ยี่สิบสามสิบเส้นเปล่งแสงสว่างวาบ แล้วพุ่งออกไปรัดมัจฉาปลาตัวนี้เอาไว้รอบหนึ่ง

 

 

ชั่วขณะนั้นอสูรมหาสมุทรขนาดตัวไม่น้อย พลันกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ร่วงกราวลงมาจากท้องฟ้าปะปนกับโลหิตประหลาดสีเขียวมรกต

 

 

กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งปกคลุมผิวน้ำในบริเวณรอบในพริบตา

 

 

เส้นไหมสีเขียวเปล่งแสงเจิดจ้าแล้วพุ่งกลับมาทั้งหมด ส่วนสายรุ้งสีเขียวก็กลับมาใช้ความเร็วเช่นเดิมพุ่งตรงเข้ามาอย่างไม่รีบร้อน

 

 

ท่ามกลางลำแสงสีเขียวบุรุษหนุ่มอายุยี่สิบกว่าปียืนนิ่งอยู่บนกระบี่ยักษ์สีเขียวหนาสองสามจั้งเล่มหนึ่ง สีหน้าราบเรียบเป็นอย่างยิ่ง

 

 

นั่นก็คือผู้ที่ตามหาน่านน้ำที่อสูรมหาสมุทรมักจะปรากฏตัวราวกับฉลามตัวนั้นเป็นเวลาสิบกว่าวันอย่างหานลี่

 

 

แม้ว่าจะเข้ามาในน่านน้ำบริเวณนี้ไม่นานนัก แต่หานลี่ก็ยังรู้สึกว่าหากต้องการตามหาอสูรมหาสมุทรในตำนานตัวนั้น เป็นความรู้สึกที่งมเข็มในมหาสมุทรชนิดหนึ่ง

 

 

สองสามวันมานี้เขานอกจากจะสังหารอสูรมหาสมุทรธรรมดาที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเหมือนมัจฉาประหลาดก่อนหน้าไปสองสามตัวแล้ว ก็ไม่มีร่องรอยเลยสักนิด

 

 

ทว่าโชคดีที่น่านน้ำผืนนี้มีเกาะขนาดเล็กอยู่จำนวนมาก พวกมันขนาดเล็กน้อยก็มีสองสามลี้ ใหญ่หน่อยก็มีขนาดยี่สิบสามสิบลี้ ดังนั้นหานลี่จึงไม่กลัวเรื่องการสูญเสียไอวิญญาณ ขอแค่ทุกๆ ระยะหนึ่งจะหาที่นั่งพักทำสมาธิสักสองวัน ก็สามารถฟื้นฟูพลังปราณได้ดังเดิมแล้ว

 

 

แน่นอนว่าหานลี่เองในเวลานี้ ก็ไม่ได้คิดแค่ตามหาอสูรมหาสมุทรตัวนั้น หากสามารถมองทะลุผ่านร้านของเขาก็จะรู้ว่า ในจุดตันเถียนของเขา ทารกวิญญาณสีทองเขียวสองสีขนาดสองสามชุ่นกำลังเอามือกอดอก พ่นเพลิงทารกหลอมโล่ใบเล็กสีสันแวววาวใบหนึ่งไม่หยุด

 

 

ลมปราณบนร่างของหานลี่กว่าครึ่งล้วนใช้กับสิ่งนี้

 

 

นี่คือโล่ผลึกเกล็ดที่เขาหลอมขึ้นจากการชำแหละซากแมลงเม่าประหลาดตัวนั้น แล้วนำเกล็ดแวววาวร้อยกว่าเกล็ดที่ได้มาประกอบกับวัตถุดิบอื่นหลอมเป็นโล่ระหว่างทางที่ผ่านมา

 

 

แม้นว่าโล่ใบนี้จะหลอมขึ้นอย่างไม่ซับซ้อนนัก แต่เป็นเพราะวัตถุดิบทุกอย่างที่ใช้ค่อนข้างพิเศษ นอกจากความแข็งแกร่งทนทานแล้ว คาดไม่ถึงว่าจะถ่ายทอดพรสวรรค์ที่สามารถบิดพลิ้วเคล็ดวิชากระบี่ลำแสงกว่าครึ่งมาได้ นี่จึงทำให้หานลี่รู้สึกดีอกดีใจเป็นอย่างยิ่ง

 

 

หลังจากที่เขาลังเลเล็กน้อย ก็หยดโลหิตลงไปบนสมบัติชิ้นนี้หยดหนึ่ง หลอมให้เป็นสมบัติประจำกายของตนเอง

 

 

นอกจากนี้หานลี่ยังนำปีกยักษ์ของแมลงเม่าประหลาด มาหลอมเป็นดาบบินขนาดสองสามชุ่นจำนวนสามร้อยหกสิบเล่ม ทุกเล่มล้วนแหลมคม เพียงพอที่จะตัดโล่เกราะสงครามธรรมดาๆ ได้อย่างง่ายดาย

 

 

แต่น่าเสียดายแก่นปีศาจที่หานลี่ตั้งความหวังเอาไว้มากที่สุดมันแตกละเอียดจนไม่รู้จะแตกยังไง มิเช่นนั้นก็อยากค้นหาความลึกลับจากการใช้เสียงคำรามกระตุ้นโลหิตของผู้บำเพ็ญเพียรให้เดือดพล่านของแมลงเม่าประหลาดดู

 

 

ถึงอย่างไรเสียการโจมตีด้วยคลื่นเสียงปกติ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจทำให้โลหิตของจิตวิญญาณเที่ยงแท้ในร่างของเขาเกิดความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ได้ และเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ หานลี่พลันรู้สึกไม่สบายใจไปเล็กน้อย

 

 

ผู้ใดจะรู้ว่าคาถาตื่นจากจำศีลแปลงกายสิบครั้งของเขา จะมีจุดอ่อนที่ตนไม่รู้หรือไม่! หากเจอกับผู้ที่มีอิทธิฤทธิ์คล้ายกัน จะเกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นมาหรือไม่!

 

 

หานลี่ขบคิดไปพลาง ทอดสายตามองไปรอบด้านไปพลาง บางครั้งก็แผ่จิตสัมผัสออกไปค้นหาทั้งบนผิวน้ำและใต้ท้องทะเล

 

 

ตามที่ชิงเสี่ยวสตรีทั้งสองกล่าว อสูรมหาสมุทรปลาวาฬยักษ์ตัวนั้น สองสามร้อยปีที่ผ่านมาเอาแต่เคลื่อนไหวอยู่ในน่านน้ำแห่งนี้ ขอแค่เขาเสียเวลาสักหน่อย ก็น่าจะมีความหวังที่จะพบเจอ

 

 

สิ่งสำคัญคืออสูรตัวนี้มีเคล็ดวิชาวารีหลีกหนีที่ร้ายกาจ ยากที่จะสังหารได้

 

 

ทว่าในเมื่อเขามาถึงที่นี่แล้ว แน่นอนว่าคิดหาวิธีรับมือมาดีแล้ว อย่างน้อยก็มีความมั่นใจอยู่แปดเก้าส่วน

 

 

หลังจากที่หานลี่กวาดตามองผิวน้ำที่สุดลูกหูลูกตาแล้ว หัวคิ้วก็ขมวดมุ่นอย่างไม่ใส่ใจ

 

 

ก้นทะเลละแวกนี้มีอสูรมหาสมุทรระดับต่ำเหมือนกับมัจฉาประหลาดตัวเมื่อครู่อยู่ คิดดูแล้วอสูรมหาสมุทรปลาวาฬยักษ์ตัวนั้นคงไม่มาพักพิงอยู่ที่นี่

 

 

เขาคิดในใจเช่นนั้น สองเท้าเปล่งแสงสว่างวาบ ความเร็วของสายรุ้งสีเขียวเพิ่มขึ้นสองสามเท่า เปล่งแสงเจิดจ้าแล้วพุ่งออกไปยังขอบฟ้าที่ไกลออกไป

 

 

ฉะนั้นเวลาจึงค่อยๆ ผ่านไปทีละวันๆ

 

 

ทุกๆ สองสามเดือนหานลี่จะหาเกาะขนาดเล็กแห่งหนึ่งลงนั่งพักผ่อนสักสองสามวัน จากนั้นหลังจากฟื้นฟูพลังลมปราณแล้ว ก็จะออกจากเกาะเริ่มค้นหาต่อ

 

 

เป็นผลให้อสูรมหาสมุทรที่ยังไม่บรรลุในละแวกนี้ประสบกับโชคร้าย

 

 

หากพบแล้วเป็นฝ่ายโจมตีก่อน แน่นอนว่าล้วนถูกหานลี่สังหารลงอย่างง่ายดาย แต่หากมีสติปัญญาสูงส่งเป็นฝ่ายหลบหลีกไปก่อน หานลี่ก็จะแค่ตรวจสอบว่าไม่ใช่เป้าหมายที่ตามหา แล้วก็ไม่ได้สร้างความยุ่งยากอะไร ปล่อยให้พวกมันหนีไป

 

 

ฉะนั้นแม้ว่าหานลี่จะหาอสูรตัวเป้าหมายไม่เจอ แต่กลับพบร่องรอยการเคลื่อนไหวของอสูรตัวนี้อยู่สองสามหน

 

 

 แม้กระทั่งสองสามวันที่ผ่านมายังพบหนังอสูรขนาดยักษ์ของอสูร ที่ลอกคราบในถ้ำก้นมหาสมุทร แข็งแกร่งทนทานเป็นอย่างมาก และเป็นวัตถุดิบที่หาได้ยาก

 

 

หานลี่ไม่ได้นำมันมาหลอมเป็นเกราะสงครามอะไร แม้ว่าผิวหนังอสูรจะแข็งแกร่งแต่ก็ไม่มีทางแข็งแกร่งกว่ากายเนื้อของเขา

 

 

 เขากลับใช้หนังของอสูรตัวนี้หลอมยันต์วิเศษขึ้นมา มีทั้ง ‘ยันต์เก้าวิมานสวรรค์’ชุดหนึ่ง ‘ยันต์เกราะปราณ’และ ‘ยันชำระพิสุทธิ์’สองสามแผ่น

 

 

ยามนี้ยันต์วิเศษสองสามชนิดที่บันทึกไว้ในคัมภีร์หน้ากระดาษที่ฉีกขาด ก็มีเพียงยันต์ขวานนภาที่ไม่อาจหลอมได้

 

 

แต่ตั้งแต่ที่หานลี่บรรลุระดับหลอมสุญตา จนสามารถควบคุมพลังปราณฟ้าดินได้แล้ว ก็ดูเหมือนว่าจะไปเปิดความลับอะไรบางอย่าง เขาจึงมีแรงบันดาลใจในการหลอม ‘ยันต์ขวานนภา’ เป็นอย่างมาก

 

 

แน่นอนว่าหากอยากหลอมยันชนิดนี้จริง ย่อมเป็นเรื่องที่ยังไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาอีกกี่เดือนหรือกี่ปี

 

 

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว หานลี่วนเวียนอยู่ในน่านน้ำละแวกนี้มาสองสามปีแล้วอย่างไม่รู้ตัว

 

 

เขากลับไม่ได้รีบร้อน เดิมทีก็เพิ่งบรรลุระดับหลอมสุญตาได้ไม่นาน ยังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องค่อยๆ เรียนรู้ไป แม้ว่าช่วงปีที่ผ่านมาจะไม่ได้ฝึกฝนอะไรนัก แต่กลับได้ประโยชน์จากการเรียนรู้เคล็ดวิชาและอิทธิฤทธิ์เป็นอย่างมาก

 

 

วันนี้หานลี่ยังคงทำเหมือนในวันวาน เหาะเหินไปบนผิวน้ำอย่างเงียบๆ ไปพลาง เรียนรู้อะไรอยู่ในใจไปพลาง

 

 

ฉับพลันนั้นเสียงกรีดร้องประหลาดที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน พลันดังขึ้นจากจุดที่ไกลออกไปเบื้องหน้า

 

 

หานลี่ที่เดิมทีมีสีหน้าราบเรียบ มีสีหน้ากระตือรือร้นขึ้น ดวงตาทั้งสองเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบพลันเหม่อมองไปเบื้องหน้า

 

 

ครู่ต่อมาเขาพลันเผยสีหน้าตกตะลึงระคนดีใจออกมา

 

 

“ในที่สุดก็พบแล้ว ทว่าตัวที่ลงมือกับมันคืออะไรกัน!”

 

 

หานลี่เอ่ยพึมพำกับตนเอง ทันใดนั้นแสงหลีกหนีพลันเปล่งแสงสว่างจ้า กลายเป็นเส้นไหมสีเขียวเส้นหนึ่งพุ่งตรงออกไปเบื้องหน้า

 

 

หลังจากกะพริบวาบสองสามครา สายรุ้งสีเขียวก็พุ่งแหวกอากาศมาปรากฏห่างออกไปสองสามร้องจั้ง เมื่อกะพริบวาบอีกครั้งก็หายไปจากผิวน้ำเบื้องหน้าอย่างไร้ร่องรอย

 

 

ห่างจากเกาะขนาดเล็กแห่งหนึ่งไปสองสามร้อยลี้ มีเมฆาทมิฬปกคลุมอยู่ เกลียวคลื่นซัดสาด สิ่งมหึมาสองตัวกำลังเผชิญหน้ากัน หนึ่งในนั้นมีความยาวสองร้อยจั้ง กายท่อนบนหมอบอยู่บนหินโสโครกยักษ์ก้อนหนึ่ง เรือนกายมีเกราะแข็งสีสันแวววาว คาดไม่ถึงว่าจะเป็นกุ้งยักษ์ตัวสีแดงโลหิต

 

 

และบนผิวน้ำห่างจากหินโสโครกไป มีอสูรมหาสมุทรที่ดูเหมือนปลาวาฬขนาดใหญ่กว่ากุ้งยักษ์สองสามเท่าลอยอยู่

 

 

ที่กล่าวว่าดูเหมือนเป็นเพราะร่างของสัตว์ประหลาดตัวนี้และห่างล้วนเหมือนกับปลาวาฬอย่างไรอย่างนั้น สิ่งเดียวที่ไม่เหมือนกลับเป็นเกล็ดที่อยู่บนหัวของอสูรมหาสมุทร บนหัวมีเขาสีทองและหนวดกุ้งยาวๆ งอกออกมาคู่หนึ่ง คาดไม่ถึงว่าจะดูคล้ายกับมังกรวารีอยู่เจ็ดแปดส่วน

 

 

อสูรยักษ์ทั้งสองกำลังคุมเชิงมองกันอยู่ไกลๆ!

 

 

กุ้งยักษ์กำลังเปล่งเสียงร้องคำรามประหลาดๆ ไม่หยุด หมอบอยู่บนก้อนหินกลางระลอกคลื่นที่เชี่ยวกราก เมฆาทมิฬเหนือศีรษะและระลอกคลื่นในบริเวณรอบล้วนเป็นสิ่งที่เจ้าตัวนี้เรียกออกมา ท่าทางน่าสะพรึงกลัว

 

 

ส่วนสัตว์ประหลาดที่ดูเหมือนปลาวาฬตรงข้ามกลับลอยไปตามแรงคลื่นไม่เปล่งเสียงร้องใดๆ ออกมาราวกับวิญญาณอย่างไรอย่างนั้น แค่ใช้ดวงตาสีขาวประหลาดจ้องเขม็งมายังกุ้งยักษ์สีแดงโลหิต คาดไม่ถึงว่าจะฉายแววละโมบราวกับมนุษย์ออกมา

 

 

การเคลื่อนไหวของทั้งสองกลับให้ความรู้สึกว่ากุ้งยักษ์สู้อีกฝ่ายไม่ได้ และยิ่งไปกว่านั้นยังค่อยๆ ถูกกดเอาไว้

 

 

ฉับพลันนั้นอสูรยักษ์รูปร่างคล้ายปลาวาฬพลันเลื่อนสายตามองไปบนท้องฟ้าด้านหนึ่งด้วยแววตาฉงนแวบหนึ่ง

 

 

หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ท้องฟ้าที่อสูรยักษ์มองไปก็มีลำแสงสว่างวาบ เส้นไหมสีเขียวที่บางจนแทบมองไม่เห็นพุ่งมาด้วยความเร็วน่าเหลือเชื่อ หลังจากกะพริบวาบสองสามครั้ง ก็หยุดอยู่ในบริเวณใกล้เคียงโดยไม่มีท่าทีจะอำพรางลำแสงหลีกหนีเลยสักนิด

 

 

ยามนี้ไม่เพียงอสูรมหาสมุทรรูปร่างคล้ายปลาวาฬ แม้แต่กุ้งโลหิตก็เงยหน้าขึ้นมองด้วยท่าทีระวังภัยเช่นกัน

 

 

ผลคือลำแสงสีเขียวหม่นแสง ร่างของหานลี่ปรากฏขึ้นตรงกลางระหว่างอสูรยักษ์ทั้งสองอย่างลึกลับ มองลงไปยังอสูรสองตัวด้านล่างด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก

 

 

“ไม่ผิด เป็นอสูรตัวนี้ เอ๋ คิดไม่ถึงว่าจะมีกุ้งเปลวโลหิตอีกตัวหนึ่งเยี่ยม เยี่ยมมาก ดูแล้วการเดินทางครั้งนี้ช่างคุ้มค่าจริงๆ” หานลี่แค่มองไปสองสามวูบ ปากก็เปล่งเสียงพึมพำด้วยความตื่นเต้นออกมา

 

 

จากนั้นพลันสะบัดแขนเสื้อทั้งสองในเวลาเดียวกัน

 

 

ชั่วขณะนั้นเสียงไพเราะพลันดังขึ้น กระบี่เล่มเล็กสีเขียวยี่สิบกว่าเล่มพุ่งเข้าไปหาอสูรมหาสมุทรรูปร่างคล้ายปลาวาฬ แต่เมื่อกะพริบวาบกับจมหายไปกลางอากาศอย่างไร้ร่องรอย แค่สะบัดแขนเสื้อข้างหนึ่ง กลับมีเงาสีดำพุ่งออกมา หลังจากลอยละลิ่วอยู่กลางสายลม ก็กลายเป็นภูเขายักษ์สีดำสนิทลูกหนึ่งกดลงไปบนกุ้งโลหิต

 

 

จากนั้นหานลี่ใช้สองมือร่ายอาคม ลำแสงสีทองเปล่งแสงสว่างวาบ เผยเทวรูปสีทองสามเศียรหกกรออกมา กรทั้งหกแค่โบกสะบัด ชั่วขณะนั้นเสียง ฟิ้วๆ พลันดังขึ้น เสาลำแสงสีทองหกสายพุ่งออกไป สามสายโจมตีไปยังกุ้งโลหิต สามสายโจมตีไปยังอสูรมหาสมุทรรูปร่างคล้ายปลาวาฬ

 

 

คาดไม่ถึงว่าหานลี่จะโจมตีอสูรมหาสมุทรทั้งสองตัวพร้อมกัน และยิ่งไปกว่านั้นยังลงมืออย่างรวดเร็วไม่ปรานีเลยสักนิด

 

 

ภายใต้การโคจรเคล็ดวิชามารเที่ยงแท้พราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์เต็มอัตราของหานลี่ ความเร็วของลำแสงสีทองจึงอยู่ในระดับที่น่าเหลือเชื่อ!

 

 

แค่กะพริบวาบก็มาอยู่ตรงหน้าอสูรมหาสมุทรทั้งสองตัว

 

 

อสูรยักษ์ทั้งสองพลันตะลึงงัน!

 

 

ตัวหนึ่งอ้าปากออก พ่นลำแสงสีฟ้าออกมาจากปาก อีกตัวหนึ่งมีลำแสงโลหิตไหลเวียนอยู่บนผิว ปล่อยเปลวเพลิงสีโลหิตขนสองสามออกมาปกป้องตนเองไว้อย่างแน่นหนา

 

 

เสียง ปังๆ ดังสนั่นขึ้น หลังจากลำแสงสีทองสามสายปะทะกับลำแสงสีฟ้า ก็โจมตีลำแสงสีฟ้าให้สลายหายไปราวกับต้นไม้ที่แห้งกรอบ เมื่อกะพริบวาบอีกครั้ง ก็โจมตีไปยังร่างของปลาวาฬยักษ์อยากแรง

 

 

ชั่วขณะนั้นเสียงร้องแหลมสูงพลันดังออกมาจากปากของอสูรยักษ์ ผิวของมันเปล่งแสงสีฟ้าแล้วเผยรูโลหิตกว้างเท่าชามสามใบออกมา โลหิตจำนวนมากพุ่งออกมาราวกับน้ำพุ ไม่อาจหยุดยั้งได้