ภาคแคว้นติ้ง บทที่ 23 นายน้อยลึกลับ (1)

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

เขายังพูดไม่ทันจบ ก็ได้ยินเสียง ‘ตู้ม’ เหนือผิวน้ำมีคนผุดขึ้นมาอีกคน เขาขานเรียกด้วยน้ำเสียงร้อนใจ “ซูซู!”

ตงฟางเจ๋อ! สถานการณ์เมื่อครู่ชุลมุนวุ่นวายเกินไป ตอนนี้เห็นเขาปลอดภัยดี ซูหลีจึงยิ้มดีใจ รีบว่ายน้ำไปหาเขา

ตงฟางเจ๋อรั้งเอวนางเข้ามากอดแน่น สีหน้ากังวลอย่างไม่อาจปกปิด “เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”

ซูหลีส่ายหน้าแล้วยิ้ม “ข้าไม่เป็นไร เป็นคุณชายท่านนี้…ช่วยข้าไว้”

ตงฟางเจ๋อสีหน้าผ่อนคลายลง หัวใจที่ตึงเกร็งก็ผ่อนคลายตามไปด้วย สายตาคมปลาบตวัดมองมาที่ใบหน้าชายหนุ่ม

ท่าทางห่วงใยซึ่งกันและกันของพวกเขาที่ไม่สนใจคนรอบกาย กลับทำให้สีหน้าชายหนุ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาเบือนหน้าไปทางอื่นเงียบๆ

ยามนี้ เรือของตงฟางเจ๋อแล่นเข้ามาอย่างรวดเร็ว ซูหลีกล่าวว่า “ขึ้นไปก่อนแล้วค่อยว่ากันเถิด คุณชายท่านนี้ ท่านก็ขึ้นมาด้วยกันเถิด”

เซิ่งเซียวปล่อยบันไดลงมา ตงฟางเจ๋อโอบซูหลีเดินเข้าไปในห้องโดยสารเรือ ชายหนุ่มคนนั้นนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตามขึ้นไป หมายจะก้าวเข้าไปในห้องโดยสาร องครักษ์ชุดดำสี่คนกลับปรากฏกาย ถือกระบี่คมเข้ามาล้อมเขาไว้ทั้งด้านหน้าด้านหลัง

ใบหน้าของชายหนุ่มยังคงเรียบนิ่ง หันมองซ้ายทีขวาทีด้วยสายตาเฉยชา ก่อนจะค่อยๆ แหงนหน้าขึ้นแล้วกล่าวกับตงฟางเจ๋อเสียงเย็น “ท่านตอบแทนบุญคุณกันด้วยวิธีนี้หรือ?”

ตงฟางเจ๋อประคองซูหลีให้นั่งบนเก้าอี้ จากนั้นก็หยิบเสื้อคลุมหุ้มไหล่นาง แล้วจึงค่อยหันหน้าไปแค่นเสียงอย่างเย็นชา “เจ้ายังถือว่าฉลาด เข้าใจหยิบฉวยโอกาส น่าเสียดายที่จุดประสงค์ชัดเจนเกินไป!”

สายตาของเขาคมปลาบเย็นชา ถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “บอกมา เจ้าเป็นใคร เหตุใดจึงอยู่บนเรือลำนั้น?”

ชายหนุ่มแค่นหัวเราะดูแคลน กล่าวด้วยสายตาเย็นชา “ข้าเป็นใคร ทำเรื่องใด คล้ายไม่มีความจำเป็นต้องรายงานท่าน!”

เซิ่งฉินขึ้นมารายงานตงฟางเจ๋อด้วยท่าทางเร่งรีบ “นายท่าน ทุกคนบนเรือถูกระเบิดตายหมดแล้ว ศพจมลงไปใต้แม่น้ำแล้ว ไม่พบผู้รอดชีวิตเลยขอรับ”

สายตาของชายหนุ่มไหวระริกเล็กน้อย

ซูหลีตึงเครียด ชายปิดหน้าสามคนนั้นเป็นพยานที่ดีที่สุด ยามนี้พวกเขาตาย เรื่องราวมีแต่จะยากขึ้น

ตงฟางเจ๋อหรี่ตา จ้องหน้าชายหนุ่มแล้วแค่นยิ้ม “กลับสังหารคนปิดปากได้หมดจด เจ้าคิดว่าคนตายหมดแล้ว พวกข้าจะทำอะไรเจ้าไม่ได้งั้นหรือ? ข้าย่อมมีวิธีเปิดปากเจ้าอยู่แล้ว”

ชายหนุ่มหัวเราะเล็กน้อย แต่แววตากลับไม่ได้ยิ้มตาม เขาหันมามองซูหลี “ช่วยชีวิตคนหนึ่งคน ยิ่งกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น ข้าน้อยช่วยชีวิตคุณหนู มิได้ต้องการอะไรตอบแทนทั้งสิ้น เพียงหวังว่าคุณหนูจะมอบความเป็นธรรมให้แก่ข้าน้อย!”

ซูหลีถอนหายใจ นางก้าวเดินไปตรงหน้าชายหนุ่ม แล้วสั่งพวกเซิ่งฉินองครักษ์ทั้งสี่คน “พวกเจ้าถอยไปก่อน”

เซิ่งฉินกับองครักษ์ที่เหลือพลันชะงัก พวกเขาหันไปมองตงฟางเจ๋อ

ตงฟางเจ๋อพยักหน้าเล็กน้อย ทั้งสี่เก็บกระบี่ แล้วถอยไปยืนด้านหนึ่ง

ซูหลีค้อมกาย กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าน้อยซูหลี ก่อนอื่นขอขอบพระคุณคุณชายที่ช่วยชีวิต”

ชายหนุ่มเอื้อมมือออกไปประคองนาง จ้องมองดวงหน้างดงามของนางอย่างไม่ละสายตา เสี้ยววินาทีหนึ่งแววสับสนพาดผ่านใบหน้าเขา เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ข้าน้อยเพียงช่วยชีวิตคุณหนูตามสัญชาตญาณเท่านั้น คุณหนู…ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้”

ซูหลีเอ่ยเสียงแช่มช้า “คุณชายโปรดอย่าตำหนิ ขออภัยหากข้าต้องพูดอย่างตรงไปตรงมา เมื่อครู่บนเรือลำนั้นล้วนมีแต่ผู้ร้ายที่ถูกไล่ล่า คุณชายปรากฏตัวบนเรือลำนั้นพอดี จึงถูกสงสัยอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ขอเพียงคุณชายอธิบายเหตุผล พวกข้าไม่มีทางลงโทษคนดีแน่นอน”

น้ำเสียงของนางอ่อนโยนนุ่มนวล สายตาของชายหนุ่มอ่อนลงหลายส่วน เขากล่าวเสียงเบา “หากข้าบอกว่าข้ามาชมทิวทัศน์ ท่านจะเชื่อหรือไม่?”

ตงฟางเจ๋อแค่นเสียง กล่าวว่า “ค่ำคืนนี้ลมแรงแสงจันทร์มืด ท่านช่างมีรสนิยมที่ไม่ธรรมดา!”

ชมทิวทัศน์? ซูหลีเองก็ตะลึงงันเช่นกัน นางได้ยินมาว่าทิวทัศน์แม่น้ำติ้งชวนนั้นงดงามมาก แต่ยามวิกาลเช่นนี้ อีกทั้งยังมีพายุโหมกระหน่ำ จะเหลือทิวทัศน์ใดให้ชมอีก? เหตุผลนี้ฟังไม่ขึ้น นางขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่พูดอะไร

ชายหนุ่มสังเกตเห็นปฏิกิริยาเล็กน้อยของนาง สีหน้าพลันหมองลง เขาถอนหายใจยาวๆ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง “ช่างเถิด ข้าทำเรื่องใดล้วนกระทำตามใจตนเอง คนอื่นจะคิดเช่นไร ข้าไม่สนใจ”

เขาดูเหมือนเสียใจเล็กน้อย ซูหลีนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ เขาช่วยนางโดยไม่ห่วงชีวิตตนเองจริงๆ เรื่องนี้ไม่มีใครรู้ดีไปกว่านาง ลึกๆ ในใจก็อดรู้สึกผิดขึ้นมาไม่ได้ นางอธิบาย “ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น เพียงแต่…”

“คุณหนูไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว ท่านไม่เชื่อข้าน้อย เช่นนั้นข้าน้อยพูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์ ใช่หรือไม่?” ชายหนุ่มตัดบทนางอย่างนุ่มนวล นัยน์ตาคู่นั้นบนใบหน้าซีดเซียวหลุบต่ำเล็กน้อย แสดงให้เห็นถึงความผิดหวัง เขากล่าวเยาะเย้ยตนเอง “พวกท่านจะจับก็จับเถิด” เอ่ยจบ เขาก็ชูมือทั้งสองข้างขึ้นช้าๆ ท่าทางเหมือนคนที่ยอมรับในชะตากรรมอย่างไรอย่างนั้น!

ซูหลีอึ้งไปเล็กน้อย “คุณชายเหตุใดจึงต้องกล่าวเช่นนี้?”

ตงฟางเจ๋อพูดแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เขาพยายามผ่อนหนักให้เป็นเบา พูดจาคลุมเครือ ไม่อาจอธิบายที่ไปที่มาของตนเองได้อย่างชัดเจน หากไม่ใช่ผู้อยู่เบื้องหลังแล้วจะเป็นใครได้อีก!”

ชายหนุ่มช้อนเปลือกตาขึ้นเล็กน้อย เขาชำเลืองมองตงฟางเจ๋อด้วยสายตาดูแคลน แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ฐานะของข้า เจ้าไม่มีสิทธิ์รู้!”

ตงฟางเจ๋อกล่าวเสียงเย็น “มีหรือไม่มีสิทธิ์ เจ้าไม่ใช่ผู้ตัดสิน!” เอ่ยจบ เขาก็เอื้อมมือคว้าไปที่ไหล่ขวาของชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว

นึกไม่ถึงชายหนุ่มไม่ขยับเขยื้อน กลับปล่อยให้เขาคว้าตัวอย่างง่ายดาย! ตงฟางเจ๋อตรวจสอบดู แล้วก็ต้องประหลาดใจ ชายหนุ่มผู้นี้ลมปราณภายในธรรมดา กลับไม่มีกำลังภายใน

ร่างกายของชายหนุ่มเอนไปด้านหน้า ใบหน้าที่เดิมก็ซีดอยู่แล้ว ยิ่งซีดขึ้นอีกหลายส่วน เลือดสีแดงสายหนึ่งไหลออกจากปาก

ครั้นตัวเขาเอนมาด้านหน้า ซูหลีก็มองเห็นเสื้อด้านหลังของเขาฉีกขาด แล้วยังมีร่องรอยถูกเผาไหม้ หัวใจพลันสั่นสะท้านเล็กน้อย นึกได้ว่าเมื่อครู่ตอนอยู่ในน้ำ เขาตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ หรือเพราะถูกซากเรือกระแทกใส่กลางหลัง?! ขณะกำลังจะเอ่ยปากพูดอะไร เสียงขานเรียกด้วยความรุ่มร้อนใจของหลางฉ่างก็ดังมาจากนอกห้องโดยสาร “ฉางเล่อ!”

ซูหลีรีบเดินออกไป “เสด็จพี่”

เรือลำหนึ่งลอยเข้ามาใกล้ หลางฉ่างยืนอยู่บนหัวเรือ แป้นเหยียบเพิ่งจะถูกวาง เขาก็สาวเท้ายาวๆ ข้ามมา กุมมือซูหลีแน่น มองพิจารณานางตั้งแต่หัวจรดเท้า ครั้นเห็นนางไม่เป็นอะไร ก็คลายใจในที่สุด เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวเมื่อครู่ ทำให้เขาตกใจมากจริงๆ กลัวว่านางจะเป็นอะไรไป เมื่อย้อนนึกถึงพฤติกรรมอันตรายของนาง สีหน้าก็พลันเคร่งขรึมขึ้นมา เขากำชับนาง “จงจำไว้ว่าต่อไปห้ามเอาตนเองไปเสี่ยงอันตรายเช่นนี้อีก ถ้าเกิดเจ้า…เป็นอะไรไป จะให้พี่ทำใจเช่นไร แล้วจะให้พี่ทูลเสด็จพ่อกับเสด็จแม่ว่าเช่นไร?”

ซูหลีเข้าใจความรู้สึกเขา นางยิ้มเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “เสด็จพี่วางใจเถิด ฉางเล่อมีวรยุทธ์ ไม่เป็นไรหรอกเพคะ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ หม่อมฉันจะนิ่งดูดายได้เช่นไรเล่าเพคะ?”

หลางฉ่างกล่าวอย่างไม่เห็นด้วย “ไม่ว่าจะเรื่องใหญ่อีกเพียงใด ก็ไม่สำคัญเท่าความปลอดภัยของเจ้า! พี่ไม่อยากให้เจ้าเป็นอะไรไป ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องเหล่านี้ไม่ควรเดือดร้อนไปถึงเจ้า”

ซูหลีแย้มยิ้มเอาใจ ดึงมือเขา แล้วกล่าวอย่างปลอบใจ “เสด็จพี่ตรัสถูกต้องแล้วเพคะ ครั้งหน้าหม่อมฉันจะระวังตัวเพคะ”

ทั้งสองพูดคุยพลางเดินเข้ามาในห้องโดยสารเรือ ครั้นเดินเข้ามา หลางฉ่างก็ร้องขึ้นอย่างประหลาดใจ “คุณชาย? ท่านเองหรือ!”

……….