ภาคแคว้นติ้ง บทที่ 24 นายน้อยลึกลับ (2)

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

ทุกคนตะลึงงัน

ซูหลีถามอย่างสงสัย “เสด็จพี่รู้จักคุณชายท่านนี้หรือเพคะ?”

“นึกไม่ถึงว่าพวกเราจะเจอกันอีกแล้ว!” หลางฉ่างดีใจสุดแสน ดึงมือซูหลีเดินเข้าไป แล้วกล่าวกับนางด้วยรอยยิ้มว่า “ยังจำได้หรือไม่ ที่ข้าบอกว่ามีคุณชายท่านหนึ่งช่วยข้าตอนที่ถูกลอบโจมตีในแคว้นเปี้ยนจนข้ารอดมาได้? คุณชายท่านนั้นก็คือเขา! แต่ตอนนั้นเขามีธุระต้องเร่งเดินทาง มิเช่นนั้นข้าจะเชิญเขามาที่แคว้นติ้ง และจัดงานเลี้ยงเพื่อเป็นการขอบคุณเขาให้ได้!”

กลับบังเอิญถึงเพียงนี้?!

ซูหลีนิ่งตะลึงไปครู่หนึ่ง นางหันไปมองตงฟางเจ๋อ เขาเองก็ตกใจเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าคำตอบนี้อยู่นอกเหนือความคาดหมายของเขา ความคิดก่อนหน้านี้เริ่มสั่นคลอน เรื่องที่หลางฉ่างถูกซุ่มโจมตีเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลายเดือนแล้ว ตอนนั้นชายหนุ่มผู้นี้ยังไม่ได้มาที่แคว้นติ้ง แล้วเขาก็ไม่รู้ฐานะของหลางฉ่างด้วย หรือทั้งหมดนี้เป็นความบังเอิญจริงๆ เขาไม่ใช่ผู้อยู่เบื้องหลังงั้นหรือ?

ชายหนุ่มแย้มยิ้ม ประสานมือคารวะแล้วกล่าวว่า “วันนั้นรู้สึกอยู่แล้วว่าคุณชายวาจากิริยาสูงส่งอย่างบอกไม่ถูก จะต้องมีฐานะไม่ธรรมดาแน่นอน นึกไม่ถึงกลับเป็นถึงองค์รัชทายาทแห่งแคว้นติ้ง กระหม่อมเสียมารยาทเสียแล้ว!”

หลางฉ่างยิ้มพลางเอ่ยว่า “คุณชายกล่าวหนักเกินไปแล้ว นึกไม่ถึงว่าท่านกับข้าจะมีวาสนาต่อกันถึงเพียงนี้ ตอนนี้ท่านจะยอมบอกชื่อแซ่ของท่านกับข้าแล้วหรือยัง?”

ชายหนุ่มแย้มยิ้มเล็กน้อย กล่าวว่า “กระหม่อมเซียงซืออวี่จากเกาะตงหมิงพ่ะย่ะค่ะ”

หลางฉ่างประสานมือ พลางเอ่ยว่า “ที่แท้ก็คุณชายเซียง เสียมารยาทแล้วๆ เชิญนั่งเถิด!”

ทุกคนแยกย้ายกันนั่ง หลางฉ่างมองซ้ายมองขวา แล้วถาม “ชายปิดหน้าสามคนนั้นเป็นอย่างไรบ้างแล้ว จับตัวผู้อยู่เบื้องหลังได้หรือไม่?”

ครั้นได้ยินประโยคนี้ ใบหน้าของเซียงซืออวี่ก็ขรึมลง กลีบปากฉาบไว้ด้วยรอยยิ้มเสียดสี เขาหันไปมองหน้าตงฟางเจ๋อ

สายตาของตงฟางเจ๋อไหวระริก เขากล่าววาจาแฝงความนัย “ชายปิดหน้าสามคนถูกระเบิดตายจนหมด ส่วนผู้อยู่เบื้องหลัง…องค์รัชทายาทมิสู้ลองถามคุณชายเซียงดูดีกว่ากระมัง”

สามคนต่างสีหน้า หลางฉ่างถามด้วยความประหลาดใจ “เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่?”

ซูหลีกระแอมเบาๆ นางใคร่ครวญก่อนจะกล่าวว่า “เดิมทีพวกหม่อมฉันหมายจะร่วมมือกันเพื่อจับตัวผู้อยู่เบื้องหลัง นึกไม่ถึงชายชุดเทาปิดหน้าผู้นั้นครั้นเห็นว่าไร้ทางหนี ก็จุดไฟเผาเรือ ทำให้ดินประสิวในกล่องสินค้าระเบิด คนที่กระโดดออกมาจากเรือ…มีแค่หม่อมฉันกับคุณชายเซียง เป็นคุณชายเซียงที่ช่วยชีวิตหม่อมฉันไว้เพคะ”

เซียงซืออวี่หลุบตาเล็กน้อย แล้วกล่าวเชิงเสียดสี “น่าเสียดายที่ความหวังดีของกระหม่อม กลับถูกคนมองว่าเป็นเจตนาร้าย”

ตงฟางเจ๋อเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “จู่ๆ ก็มาปรากฏกายอยู่บนเรืออย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ซ้ำยังไม่มีคำอธิบายอันสมเหตุสมผล ไม่สงสัยเจ้าแล้วจะให้สงสัยผู้ใด? เห็นได้ชัดว่าเจ้าไร้ทางหนี จึงแสร้งช่วยชีวิตคนเพื่อหนีความผิด!”

เซียงซืออวี่แค่นเสียงเย็นชา “ตอนนี้พยานก็ตายไปแล้ว เจ้ามั่นใจว่าข้าเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง เช่นนั้นข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดเช่นกัน”

หลางฉ่างรีบกล่าว “คุณชายเซียงอย่าเพิ่งร้อนใจไป ค่อยๆ คุยกันเถิด เหตุใดเมื่อครู่ท่านจึงบังเอิญไปอยู่บนเรือได้เล่า?”

เซียงซืออวี่ถอนหายใจ แล้วกล่าวว่า “เดิมทีกระหม่อมอยู่บนสะพานท่าเรือ รอชมทิวทัศน์ยามอาทิตย์ขึ้นของคลองติ้งชวน นึกไม่ถึงกลับบังเอิญเห็นผู้ร้ายสามคนลักพาตัวองค์หญิง จากนั้นกระหม่อมก็ได้ยินเสียงขององค์รัชทายาท เห็นพระองค์ถูกอีกฝ่ายข่มขู่ จึงคิดจะช่วยด้วยกำลังอันน้อยนิดที่มี ถึงแม้กระหม่อมจะมีวรยุทธ์ต่ำต้อย แต่เติบโตมาบนเกาะกลางทะเล คุ้นเคยกับสถานการณ์บนเรือเป็นอย่างดี ฉะนั้นจึงแอบซ่อนตัวอยู่บนเรือเงียบๆ หมายจะหาโอกาสตอนผู้ร้ายไม่ทันระวัง คิดว่าคงช่วยอะไรได้บ้าง โชคดี…ที่ไม่ได้ทำให้เรื่องแย่ลง” ขณะพูด เขาหันไปมองหน้าซูหลีด้วยสายตาอ่อนโยน

หลางฉ่างกล่าว “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง นี่เป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิด ความปราดเปรื่องของคุณชายเซียง ข้าเคยเห็นมากับตาแล้ว หากวันนั้นไม่ได้ท่าน หลางฉ่างคงไม่ได้มายืนคุยกับทุกท่านอยู่ตรงนี้แล้ว”

“องค์รัชทายาททรงชมเกินไปแล้ว” เซียงซืออวี่หันไปทางตงฟางเจ๋อ แล้วเอ่ยวาจาเหน็บแนม “เรียนถามคุณชายท่านนี้ ยังมีคำถามใดอีกหรือไม่?”

ตงฟางเจ๋อแค่นเสียงเย็นชา ดวงตาคมปลาบที่ยังคงจ้องหน้าเซียงซืออวี่เต็มไปด้วยแววตาสงสัยและเสาะหา

ซูหลีรู้ดีว่าจังหวะที่เซียงซืออวี่ปรากฏตัวเป็นช่วงเวลาที่น่าสงสัยจริงๆ แต่ยามนี้ไม่มีหลักฐานใดที่พิสูจน์ได้ว่าเขาคือผู้อยู่เบื้องหลัง และคำอธิบายเมื่อครู่ของเขา ถึงแม้จะดูเป็นเรื่องบังเอิญเกินไปหน่อย แต่ก็ถือว่าสมเหตุสมผล นางลอบส่งสายตาให้ตงฟางเจ๋อเงียบๆ เป็นเชิงบอกเขาว่าอย่าพูดอะไรมากไปกว่านี้อีก

เพื่อผ่อนคลายบรรยากาศอันตึงเครียด นางจึงแย้มยิ้ม แล้วกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิด ยามนี้เข้าใจกันก็ดีแล้ว เมื่อครู่หากข้าเสียมารยาทไป ก็ขอคุณชายโปรดอภัยด้วย!”

ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกันอยู่ เรือก็ได้ลอยเข้าไปจอดเทียบท่าเรือแล้ว

ตอนขึ้นฝั่ง ขั้นบันไดเปียกน้ำ หลางฉ่างประคองแขนซูหลีอย่างระมัดระวัง

ซูหลีพลันสูดหายใจทันที อาการปวดแสบปวดร้อนแล่นผ่านตรงข้อศอก เจ็บแปลบไปถึงใจ

สายตาของหลางฉ่างพลันแปรเปลี่ยน เขารีบเปิดแขนเสื้อนาง เห็นเพียงบนผิวเนียนขาวมีรอยถลอกหลายรอย เลือดซึมเล็กน้อย กอปรกับเปียกน้ำ ยามนี้บาดแผลจึงพุพองอย่างหนัก เขาร้องตกใจ “เจ้าบาดเจ็บหรือ!!”

ตงฟางเจ๋อสาวเท้าเข้าไปอย่างรวดเร็ว เขากุมแขนนางเบาๆ มองดูบาดแผลพุพอง ใบหน้าเขาเคร่งขรึมลงทันที ลอบตำหนิตนเองในใจ อยู่บนเรือตั้งนาน กลับไม่รู้ว่านางได้รับบาดเจ็บ! เขารีบหยิบขวดยาที่เหน็บเอวไว้ เทยาออกมาสองสามเม็ดแล้วบดให้ละเอียดอย่างชำนาญ จากนั้นก็โรยลงบนแผลบางๆ

ซูหลีเจ็บจนอดสูดหายใจแรงๆ ไม่ได้

มือของตงฟางเจ๋อชะงักทันที เขาถามด้วยความกังวล “ข้าทำเจ้าเจ็บหรือ?”

ซูหลีเงยหน้า เห็นเขาขมวดคิ้ว สายตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง นางพลันชะงักงัน ยิ้มแล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าไม่เป็นไร แค่แผลถลอกเล็กน้อย ท่านไม่ต้องเป็นห่วง!”

ตงฟางเจ๋อไม่พูดอะไรอีก เขาฉีกเสื้อตัวใน แล้วพันแผลให้นาง

เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและมั่นคง แต่กลับนุ่มนวลเป็นพิเศษ ระมัดระวังไม่ให้นิ้วมือโดนบาดแผลนางอีก

หลังพันแผลเสร็จ ใบหน้าตงฟางเจ๋อก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นตึงเครียด เขาหันไปออกคำสั่ง “เซิ่งฉิน! รีบส่งคนไปงมศพผู้ร้ายสามคนนั้นขึ้นมา แล้วตรวจสอบอย่างละเอียด มีเบาะแสใดให้รีบมาแจ้งทันที!”

เซิ่งฉินรับคำ จากนั้นก็รีบไปทำตามคำสั่ง

หลางฉ่างจ้องมองตงฟางเจ๋อเงียบๆ ทุกการกระทำของเขา ทุกการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้า ล้วนอยู่ในสายตาของหลางฉ่าง ก่อนหน้านี้ฉางเล่อหายตัวไป ตงฟางเจ๋อสุขุมเยือกเย็นผิดปกติ เขายังคิดว่าตงฟางเจ๋อไม่จริงใจต่อฉางเล่อ ยามนี้ฉางเล่อบาดเจ็บ เขาทั้งเป็นห่วงและโกรธแค้นไม่ได้น้อยไปกว่าตนเองเลย ดูท่าคนผู้นี้ อาจไม่ได้เลือดเย็นไร้ความรู้สึกอย่างที่เขาคิดก็เป็นได้

หลางฉ่างหันไปออกคำสั่ง “หลิงอวิ๋น ส่งคนไปช่วยงมศพด้วย แม้จะเป็นเศษซากศพ ก็ต้องงมกลับมาให้ครบ!”

ลอบทำร้ายสมาชิกในราชวงศ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผู้อยู่เบื้องหลังคนนี้มีโทษใหญ่หลวงจนไม่อาจให้อภัย แม้ต้องขุดพลิกแผ่นดิน เขาก็จะต้องหาตัวคนคนนี้ให้เจอ!

หลิงอวิ๋นรับคำ “พ่ะย่ะค่ะ” จากนั้นก็นำกำลังคนออกไปอย่างรวดเร็ว

ตงฟางเจ๋อกุมมือซูหลีแน่น พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงตึงเครียด “หาตัวผู้อยู่เบื้องหลังเจอเมื่อใด ข้าจะต้องให้เขาชดใช้คืนเป็นร้อยพันเท่า!” เอ่ยจบก็ชำเลืองมองไปทางเซียงซืออวี่ที่เดินขึ้นฝั่งไปแล้วด้วยสายตาราบเรียบ

เซียงซืออวี่ใบหน้าบึ้งตึง เขาจ้องแขนที่ได้รับบาดเจ็บของซูหลี เงียบงันไม่พูดอะไร

ซูหลีกลัวว่าจะเกิดเรื่องผิดใจกันอีก นางดึงแขนตงฟางเจ๋อไว้ พลางกล่าวเสียงเบาว่า “ลำบากมานานถึงเพียงนี้ ทุกคนคงเหนื่อยกันแล้ว กลับไปพักผ่อนก่อนเถิด”

ตงฟางเจ๋อพยักหน้าเล็กน้อย โอบเอวนางแล้วประคองเดินขึ้นฝั่ง

ซูหลีมองเซียงซืออวี่ที่เดินอยู่ข้างหน้า บาดแผลบนแผ่นหลังของเขาน่ากลัวมาก หากเป็นกลเจ็บกายจริงๆ คนผู้นี้ก็ถือว่าโหดเหี้ยมกับตนเองมาก แต่หากไม่ใช่ การที่เขาเอาชีวิตเข้ามาเสี่ยงเพื่อช่วยสตรีที่ไม่รู้จัก มีจุดประสงค์ใดกันเล่า? เพราะเป็นคนจิตใจดีจริงๆ น่ะหรือ?

แต่สัญชาตญาณของซูหลีบอกนางว่า ผู้ชายคนนี้ไม่ได้คิดร้ายต่อนาง

ตงฟางเจ๋อสังเกตเห็นสายตาของนาง จึงโน้มตัวกระซิบบอกนาง “คนผู้นี้ไม่ได้ธรรมดาเช่นที่เขาบอกอย่างแน่นอน” มานั่งชมทิวทัศน์ที่คลองขนส่งสินค้ากลางดึก เสี่ยงชีวิตช่วยคนด้วยความบังเอิญ วาจาเหลวไหลเช่นนี้ ถึงแม้หลางฉ่างเชื่อ แต่เขาตงฟางเจ๋อไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด!

เซียงซืออวี่พลันชะงักฝีเท้า หันกลับไปมองคลองติ้งชวนที่มีคลื่นลมแรง

ดวงอาทิตย์สีแดงเพลิงในยามเช้าตรู่โผล่พ้นเหนือเส้นขอบฟ้า ทุกสรรพสิ่งบนผืนดินถูกปกคลุมภายใต้แสงอาทิตย์สีแดงเจิดจ้า ค่ำคืนสุดระทึกได้ผ่านพ้นไป แสงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณอาบไล้ผืนฟ้า วันใหม่มาเยือนแล้ว

นี่เป็นครั้งแรกที่ซูหลีมองดูดวงอาทิตย์ขึ้นที่เมืองหลวงติ้งอย่างตั้งใจ ทิวทัศน์อันงดงามตระการตาเบื้องหน้า ทำให้นางประทับใจจนลืมตัวก้าวเท้าไปที่ริมท่าเรือ พลางอุทานด้วยความประหลาดใจ “ทิวทัศน์ยามอาทิตย์ขึ้นที่คลองติ้งชวน งดงามสมคำร่ำลือจริงๆ!”

เซียงซืออวี่เดินมายืนข้างกายนาง บนใบหน้าซีดขาวมีรอยยิ้มบางๆ ผุดพรายขึ้นมา เขากล่าวเสียงเบา “ใช่เหมือน…เปลวเพลิงหรือไม่?”

ซูหลีหันไป ครั้นเห็นสายตาที่มองมาด้วยความอ่อนโยน ลึกๆ ในใจพลันบังเกิดความรู้สึกประหลาดบางอย่างขึ้นมา

…………………..