ก่อนจะแยกจาก หลางฉ่างกล่าวด้วยความซาบซึ้ง “คุณชายเซียงบาดเจ็บไม่เบา อย่างไรตามข้ากลับวัง ให้หมอหลวงรักษาท่านดีกว่า”
เซียงซืออวี่ส่ายหน้า เอ่ยพลางแย้มยิ้มเล็กน้อย “ความหวังดีขององค์รัชทายาท กระหม่อมขอรับไว้ด้วยใจ แผลถลอกเล็กน้อยแค่นี้ กลับไปโรยยาพักฟื้นไม่กี่วันก็หายแล้ว องค์รัชทายาทไม่ต้องห่วงพ่ะย่ะค่ะ”
หลางฉ่างถอนหายใจ แล้วกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะไม่บังคับท่าน สามวันให้หลัง ข้าจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับการมาเยือนของคุณชายเซียงและฮ่องเต้แคว้นเฉิงในวัง เพื่อเป็นการขอบคุณที่ทั้งสองท่านช่วยเหลือหลางฉ่างกับฉางเล่อ เมื่อถึงยามนั้นเรียนเชิญทั้งสองท่านให้เกียรติมาร่วมงานด้วย”
เซียงซืออวี่ชำเลืองมองซูหลี แล้วพยักหน้าเล็กน้อย ตงฟางเจ๋อกับซูหลีจับมือกันแน่น สบตากันอย่างลึกซึ้ง แล้วแย้มยิ้มเล็กน้อย สายตาของเซียงซืออวี่เลื่อนไปที่มือของพวกเขา เขาชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเบนสายตาออกไปด้วยใจที่ไม่เป็นสุขอีกครั้ง
ซูหลีกลับมาถึงตำหนักฉางเซิง หลังจากล้างหน้าสางผมเสร็จก็นั่งลงหน้ากระจกดอกบัว ครุ่นคิดถึงเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในสองวันที่ผ่านมา
เสียงอ่อนโยนของสตรีดังมาจากด้านนอก “องค์หญิงพักผ่อนแล้วหรือยัง? หากพักแล้ว อีกประเดี๋ยวข้าค่อยมาใหม่ก็ได้”
ซูหลีจำได้ว่านั่นเป็นเสียงของอวิ๋นฮุ่ย จึงรีบลุกขึ้นแล้วบอกว่า “อวิ๋นฮุ่ยมาแล้วหรือ? เข้ามาคุยกันก่อนเถิด”
นางกำนัลที่ยืนอย่างนอบน้อมอยู่หน้าประตูรีบเปิดม่านไข่มุกออกให้อวิ๋นฮุ่ยเดินเข้ามาข้างใน นัยน์ตากระจ่างชัดเต็มไปด้วยความห่วงใย ครั้นเห็นซูหลีปลอดภัย นางก็ถอนหายใจโล่งอก แล้วกล่าวว่า “ได้ยินว่าเจ้ากลับมาแล้ว ข้าจึงรีบมาดู หนึ่งวันสองคืนที่ผ่านมา ไร้ข่าวคราวจากเจ้า องค์รัชทายาทกลัวว่าฝ่าบาทจะทรงเป็นห่วง จึงบอกว่าเจ้าไปจัดการธุระที่เฉินเหมิน…พูดอยู่นานกว่าจะปกปิดสำเร็จ เจ้าบอกข้ามาเร็ว เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่?”
ซูหลีจูงมือนางมานั่งบนเก้าอี้ กันนางกำนัลออกไป แล้วจึงค่อยเอ่ยเสียงเบาว่า “วันก่อน มีคนลักพาตัวเสด็จพี่ที่งานชุมนุมไป่จี๋ แต่ไม่สำเร็จ จึงเปลี่ยนเป้าหมายมาที่ข้าแทน เดิมข้าหมายจะถือโอกาสหาตัวผู้อยู่เบื้องหลัง แต่กลับไม่ได้อะไรเลย”
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยกล่าวด้วยความตกใจ “ลักพาตัวองค์รัชทายาท?! คนพวกนั้นเป็นใครกัน เหตุใดจึงใจกล้าถึงเพียงนี้! ขนาดฝีมืออย่างเจ้าก็ยังไม่ค้นพบเบาะแสใด…ฉางเล่อ พักนี้เหตุการณ์ในเมืองหลวงแคว้นติ้งไม่ค่อยสงบนัก เจ้ากับองค์รัชทายาทจะต้องระวังตัวให้มาก”
ซูหลียิ้มแล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณอวิ๋นฮุ่ยที่เป็นห่วง ข้าจะระวังตัว”
นางกำนัลคนหนึ่งประคองกระบี่ดุจสายน้ำไว้ในมือ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงนอบน้อมจากนอกม่าน “องค์หญิง กระบี่ล้ำค่าเล่มนี้จะให้บ่าวนำไปเก็บไว้ในพลับพลาไป๋เป่าหรือไม่เพคะ?”
“ไม่ต้อง!” ซูหลีกล่าวเสียงดัง “นำเข้ามาให้ข้า”
“เพคะ” นางกำนัลน้อมส่งกระบี่ดุจสายน้ำในมือมาให้ซูหลีอย่างระมัดระวัง ก่อนจะค้อมกายถอยออกไป
ครั้นมองเห็นกระบี่สั้นในมือซูหลี ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยก็ร้องด้วยความตกใจ นางยกมือปิดปาก “กระบี่เล่มนี้…”
ซูหลีชะงักเล็กน้อย นางก้มหน้ามองกระบี่ดุจสายน้ำ แล้วถามด้วยความสงสัย “อวิ๋นอุ่ยรู้จักกระบี่เล่มนี้หรือ?”
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยกล่าวด้วยใบหน้าตกตะลึง “งานชุมนุมไป่จี๋ไม่กี่วันก่อน คุณชายชุดดำผู้หนึ่งเอากระบี่เล่มนี้ไปแล้ว เหตุใดจึงมาอยู่กับฉางเล่อได้เล่า?”
ซูหลีไม่ตอบกลับย้อนถาม “เขาเอาไปอย่างไรหรือ?” คืนก่อนที่นางพบกับตงฟางเจ๋อ เขาไม่ได้อธิบายมากนักว่าได้กระบี่ดุจสายน้ำมาได้อย่างไร นึกไม่ถึงว่าอวิ๋นฮุ่ยกลับบังเอิญเห็นเหตุการณ์นั้นด้วย
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยย้อนนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันก่อน แล้วกล่าวอย่างแช่มช้าว่า “วันนั้นเจ้าเพิ่งไป ก็มีคุณชายชุดดำผู้หนึ่งเดินเข้ามา เขามองกระบี่เล่มนี้แวบหนึ่ง ก็บอกให้เจ้าของร้านเสนอราคา นึกไม่ถึงเจ้าของร้านกลับปฏิเสธคุณชายท่านนั้นทันที เจ้าของร้านผู้นั้นทำการค้าขายมีน้ำใจและดูแลลูกค้าอย่างดี มีเพียงคุณชายผู้นั้นที่เขาทำตัวไร้มารยาทด้วย น่าแปลกยิ่งนัก ที่น่าแปลกยิ่งกว่าก็คือ คุณชายท่านนั้นเองก็ไม่โกรธ หมายมั่นจะซื้อกระบี่เล่มนี้ให้ได้ ไม่ว่ามีเงื่อนไขใด ก็ขอให้เจ้าของร้านบอกมาได้เลย”
ซูหลีลอบถอนหายใจ “เจ้าของร้านว่าอย่างไรบ้าง?”
“เขาไม่พูดอะไร เพียงถมึงตาจ้องหน้าคุณชายท่านนั้น เหมือนศัตรูคู่แค้นก็ไม่ปาน ท่าทีของเจ้าของร้านก่อนหน้านั้น ก็ดูไม่เหมือนคนไร้เหตุผล ฉะนั้นข้าจึงถามคุณชายท่านนั้น เหตุใดจึงต้องการกระบี่เล่มนี้? คุณชายท่านนั้นบอกว่าเขาอยากซื้อกลับไปให้คนในดวงใจ เพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนใจ” นัยน์ตาของซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยไหวระริก ย้อนนึกถึงสถานการณ์ในตอนนั้น ยังคงรู้สึกว่าน่าเหลือเชื่อ นางแย้มยิ้ม แล้วกล่าวว่า “ข้าสงสัยนัก สตรีมักชมชอบเครื่องประดับแก้วแหวนเงินทอง ไม่เคยได้ยินใครมอบกระบี่เพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนใจสักครั้ง คนในดวงใจของคุณชายท่านนั้นเป็นวรยุทธ์ จะต้องไม่ใช่สตรีธรรมดาแน่นอน แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ คุณชายท่านนั้นบอกว่าคนในดวงใจของเขาเป็นวรยุทธ์ ฉลาดปราดเปรื่อง เป็นสตรีที่ไม่มีใครเทียบได้ น่าเสียดายที่ไม่มีอาวุธที่เหมาะสม วันนี้มีวาสนามาพบกระบี่เล่มนี้ มีเพียงมันเท่านั้นที่คู่ควรกับนาง!”
หัวใจของซูหลีสั่นไหว ก้มมองกระบี่สั้นบนตักอีกครั้งอย่างไม่รู้ตัว นิ้วมือลูบไล้ตัวกระบี่ด้วยความรักใคร่ นางรู้ ถึงแม้ว่านั่นเป็นเพียงข้ออ้างที่ตงฟางเจ๋อใช้เพื่อหยั่งเชิงเซี่ยอวิ๋นเซวียน แต่หัวใจที่สื่อถึงกันของเขากับนาง ก็ไม่อาจมีใครเทียบได้
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยถอนหายใจ แล้วกล่าวว่า “คุณชายท่านนั้นบุคลิกไม่ธรรมดา แต่เพื่อไขว่คว้ากระบี่เล่มนี้ไปให้คนในดวงใจ กลับไม่ใส่ใจวาจากำเริบเสิบสานของเจ้าของร้านแม้แต่น้อย ยังคงแย้มยิ้มอย่างอ่อนโยน และแสดงเจตจำนงอย่างชัดเจนว่าอีกฝ่ายสามารถเสนอราคาได้ตามใจ เขาจะทำตามนั้นอย่างแน่นอน บุรุษใต้ฟ้าที่ยอมลดศักดิ์ศรีเพื่อสตรี เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดเทียบเขาได้แล้วกระมัง!”
ความรักอันอ่อนโยนและลึกซึ้งสะท้อนชัดในดวงตาของซูหลี
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยสังเกตเห็น ในใจก็กระจ่าง นางกล่าวต่อ “ข้าเห็นคุณชายท่านนี้มีความจริงใจ จึงเกลี้ยกล่อมให้เจ้าของร้านเปลี่ยนใจยอมขายกระบี่ให้เขา ส่งเสริมความปรารถนาของผู้อื่น ก็ถือเป็นเรื่องดีอย่างหนึ่ง นึกไม่ถึง เจ้าของร้านกลับพูดกับคุณชายท่านนั้นว่า ‘ข้าไม่มีวันขายกระบี่เล่มนี้ให้กับคนเลือดเย็นเช่นเจ้า!’”
ประโยคนี้ของเซี่ยอวิ๋นเซวียนเห็นชัดว่าเป็นการเปิดเผยตัวตนโดยไม่ต้องบีบบังคับ ซูหลีถอนหายใจกล่าวว่า “คุณชายท่านนั้นจะต้องถามว่า เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าเป็นคนเลือดเย็น?”
“ถูกต้องแล้ว!” ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยจ้องหน้านาง เอ่ยพลางแย้มยิ้มเล็กน้อย “คุณชายท่านนั้นพูดเหมือนที่ฉางเล่อพูดทุกอย่าง เจ้าของร้านเห็นคุณชายท่านนั้นหมายมั่นจะซื้อกระบี่เล่มนี้ให้ได้ จู่ๆ ก็หมดความอดทน เข้ามาแย่งกระบี่จากมือ องครักษ์ของคุณชายสู้กับเขา ยามนั้นบนถนนมีคนพลุกพล่าน ข้ายืนอยู่ใกล้ ไม่มีที่ให้หลบ เกือบโดนลูกหลงจากเจ้าของร้าน โชคดีที่คุณชายยื่นมือช่วยทันเวลา ข้าจึงปลอดภัย”
ซูหลีกล่าวด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย “วรยุทธ์ของเจ้าของร้านเป็นอย่างไรบ้าง?”
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยถอนหายใจ แล้วเอ่ยว่า “ข้ารู้เรื่องพวกนี้เสียที่ไหน หลังจากสู้กันพักหนึ่ง ไม่รู้ทำไมจู่ๆ เจ้าของร้านก็หลบหนีไป แม้แต่กระบี่ก็ไม่เอาแล้ว! คุณชายชุดดำจึงได้กระบี่มาครอง ข้ารู้สึกว่าทำเช่นนั้นไม่ค่อยเหมาะสมนัก เขาคล้ายอ่านความคิดข้าออก จึงแสดงความบริสุทธิ์ต่อหน้าธารกำนัลว่าเขาไม่ได้แย่งชิงของผู้ใด เจ้าของร้านสามารถไปตามหาเขาได้ที่ทะเลสาบจิ้งพัวซึ่งอยู่ห่างจากเมืองห้าลี้ เขาจะจ่ายค่าตอบแทนให้อย่างเหมาะสมแน่นอน”
ซูหลีครุ่นคิด “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง…เพียงแต่…”
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยเห็นก็กล่าวว่า “ฉางเล่อกลัวว่าพวกเขาทั้งสองจะผิดใจกันอีกหรือ?”
ซูหลีถอนหายใจ บอกว่า “อวิ๋นฮุ่ย คุณชายชุดดำที่เจ้าพูดถึง…ก็คือตงฟางเจ๋อฮ่องแต้แห่งแคว้นเฉิง และเจ้าของร้านผู้นั้น…”
คำถามที่วนเวียนอยู่ในใจมานานกระจ่างในที่สุด ใบหน้าของซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่กลับเบือนหน้าออกไป เพื่อปิดซ่อนความผิดหวังรางๆ นางยิ้มบางแล้วกล่าวว่า “ฐานะของเจ้าของร้านผู้นั้นจะต้องไม่ธรรมดาแน่นอน มิเช่นนั้นด้วยฐานะอันสูงส่งของฮ่องเต้แคว้นเฉิง เหตุใดต้องใส่ใจพ่อค้าตัวเล็กๆ ถึงเพียงนั้น?”
ซูหลีถอนหายใจยาวๆ “ถูกต้องแล้ว เพียงแต่เรื่องนี้ซับซ้อนนัก ฉางเล่อไม่อยากดึงอวิ๋นฮุ่ยเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย”
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงกังวล “ข้าเป็นเพียงสตรีอ่อนแอนางหนึ่งจะมีอะไรให้ต้องห่วงกัน แต่ฉางเล่อติดอยู่ตรงกลาง จากนี้ไปเกรงว่าจะกลืนก็ไม่เข้าคายก็ไม่ออก…”
ซูหลีถอนหายใจ ก่อนจะกล่าวว่า “อวิ๋นฮุ่ยรู้ใจข้า หากเสด็จพี่เองก็เข้าใจความลำบากใจของข้าเช่นกัน ภายหน้าเรื่องอาจไม่ได้ยากอย่างที่คิดก็ได้”
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยดึงมือซูหลีไปกุม ยิ้มพลางเอ่ยว่า “องค์รัชทายาทหวงแหนเจ้ามาก จะต้องไม่ทำให้เจ้าลำบากใจแน่นอน หากฉางเล่อจะเป็นทูตสันติภาพ ก็มิใช่จะเป็นไปไม่ได้ แม้คำพูดข้าไร้น้ำหนัก แต่ก็สามารถช่วยเจ้าได้อีกแรง!”
สองสาวมองหน้ากันแล้วแย้มยิ้ม ลึกๆ ในใจเต็มไปด้วยความรักความเข้าใจที่สื่อถึงกันได้
หลังจากที่ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยกลับไป ซูหลีก็เดินออกไปนอกตำหนัก แล้วโบกมือส่งสัญญาณ เสียงนกร้องแหลมใสดังทะลุชั้นเมฆ ไม่นาน ก็มีเสียงที่คล้ายกันสี่เสียงตอบรับกลับมาพร้อมกัน
ครั้นนึกถึงงานเลี้ยงในอีกสามวันข้างหน้า ใบหน้าของซูหลีก็ขรึมลง ทางเสด็จพ่อ นางก็จำต้องไปพบหน้าเขาสักครั้ง ครั้นตัดสินใจได้ นางก็พานางกำนัลคนหนึ่งมุ่งหน้าไปยังตำหนักบรรทมของฮ่องเต้ทันที
………………