ฮ่องเต้แคว้นติ้งเพิ่งเสวยมื้อค่ำเสร็จ เห็นซูหลีก็แย้มยิ้มอย่างรักใคร่ทันที เขากวักมือเรียกนางเบาๆ “ฉางเล่อ มาหาพ่อ”
ซูหลีเดินไปนั่งข้างเขาอย่างเชื่อฟัง นางพิจารณาสีหน้าฮ่องเต้แคว้นติ้ง ใบหน้าของเขาเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้ม ดูไม่ได้แตกต่างไปจากยามปกติ นางลอบถอนหายใจ เสด็จพ่อคงเชื่อคำเสด็จพี่ นึกว่าหนึ่งวันสองคืนที่ผ่านมานางไปเฉินเหมินแล้วจริงๆ
นางกำนัลนำชามาถวาย ฮ่องเต้แคว้นติ้งจิบล้างคอหนึ่งคำ แล้วกล่าวอย่างเป็นห่วงเป็นใย “สำนักเฉินเหมินของเจ้าเกิดเรื่องใดขึ้นหรือเปล่า? ต้องการให้พ่อส่งคนไปช่วยแก้ไขหรือไม่?”
ซูหลีรีบกล่าว “ล้วนเป็นเรื่องเล็ก พวกเขาไม่สะดวกเข้าวัง หม่อมฉันจึงจำต้องไปดูสักหน่อยเพคะ”
ฮ่องเต้แคว้นติ้งกล่าวด้วยน้ำเสียงเมตตา “ไม่สะดวกอันใดกัน ผู้ใดอยู่ข้างนอก ไปนำป้ายประจำตัวของข้ามาสี่ป้าย!”
ขันทีรับคำสั่งแล้วออกไป ผ่านไปไม่นาน ก็น้อมส่งถาดใบหนึ่งมาตรงหน้าซูหลี บนถาดมีป้ายประจำตัวสีทองแวววาววางอยู่สี่ป้าย กลางป้ายมีอักษรคำว่า ‘ติ้ง’ สลักไว้ตัวใหญ่ๆ รอบด้านสลักอักษรตัวเล็กๆ คำว่า ‘ชิ่งอันกง’ ซึ่งเป็นชื่อตำหนักบรรทมของฮ่องเต้เอาไว้ แล้วยังมีลายดอกไม้ที่เป็นเอกลักษณ์ กลับเป็นป้ายประจำตัวขั้นสูงสุดในวัง
ฮ่องเต้แคว้นติ้งยิ้มแล้วกล่าวว่า “เอาไปมอบให้ลูกน้องของเจ้า หากพวกเขามีเรื่องใดก็ให้เข้าวังมาพบเจ้าได้ทุกเมื่อ เจ้าจะได้ไม่ต้องออกไปพบพวกเขาทุกครั้ง”
ซูหลีรับป้ายไป แล้วเอ่ยด้วยความดีใจ “ขอบพระทัยเสด็จพ่อเพคะ!” นางกำลังคิดจะเตรียมป้ายประจำตัวให้สี่ทูตพอดี นึกไม่ถึงเสด็จพ่อกลับช่วยนางแก้ปัญหาก่อนแล้ว เสด็จพ่อคิดถึงนางเสมอ ซูหลีตื้นตันใจ ยิ่งทำให้ไม่รู้จะพูดเรื่องบางเรื่องออกมาได้อย่างไร
ฮ่องเต้แคว้นติ้งตบมือนางอย่างรักใคร่ “เด็กโง่ ต่อไปไม่ว่ามีเรื่องใด ก็พูดกับพ่อตรงๆ ขอเพียงฉางเล่อต้องการ ไม่ว่าเรื่องใดพ่อย่อมอนุญาต”
ซูหลีกล่าวด้วยความซาบซึ้ง “เสด็จพ่อ! ฉางเล่อมีเรื่องหนึ่ง…จะทูลเสด็จพ่อเพคะ”
ฮ่องเต้แคว้นติ้งมองหน้านางด้วยรอยยิ้มเอ็นดู ซูหลีสูดหายใจลึกๆ จับแขนฮ่องเต้แคว้นติ้ง ในใจใคร่ครวญหาคำพูด ไม่นานนางก็แย้มยิ้มแล้วกล่าวว่า “สามวันให้หลัง เสด็จพี่จะจัดงานเลี้ยงในวัง และเชิญแขกมาสองคน หนึ่งในนั้น…เป็นคนในดวงใจของฉางเล่อ ครานี้เขาเดินทางมาด้วยตนเอง ก็เพราะ…”
“เจ้าหมายถึงตงฟางเจ๋อหรือ!” ยังพูดไม่ทันจบ ฮ่องเต้แคว้นติ้งก็ตัดบทนาง รอยยิ้มพลันจางหาย เรื่องที่ตงฟางเจ๋อเดินทางมาที่เมืองหลวงแคว้นติ้ง องค์รัชทายาทได้รายงานเขาแล้ว คนผู้นี้ทำร้ายธิดาอันเป็นที่รักของเขา แต่กลับยังมีหน้ามาเยือนถึงเมืองหลวงแคว้นติ้ง!
ซูหลีเห็นสีหน้าฮ่องเต้แคว้นติ้งไม่ดีนัก ก็รีบกล่าวว่า “ฉางเล่อรู้ ในอดีตมีเรื่องราวที่ทำให้เสด็จพ่อและเสด็จพี่ไม่พอใจเขา แต่เรื่องเหล่านั้นล้วนผ่านไปแล้ว เขา…เพื่อลูกแล้ว เขาก็ทุ่มเทไปมากมาย ก่อนมาแคว้นติ้ง พวกเรากลับไปคืนดีกันแล้ว ครั้งนี้ที่เขามา ก็เพราะต้องการหมั้นหมายตกลงเรื่องงานแต่ง หวังว่าเสด็จพ่อจะเห็นแก่ลูก เมื่อถึงยามนั้นจะไม่ตำหนิเขารุนแรงเกินไป”
แววรักทะนุถนอมและหวงแหนเอ่อล้นในดวงตาฮ่องเต้แคว้นติ้ง เขาถอนหายใจพลางลูบเรือนผมธิดาอันเป็นที่รักของตน แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงปวดใจ “ฉางเล่อ! เจ้าเพิ่งจะได้อยู่กับพ่อไม่นาน ก็จะจากพ่อไปแล้วหรือ?”
ซูหลีใจอ่อน แต่กลับจำต้องพูดเสียงเบา “ฉางเล่อเดินทางมาครั้งนี้ เดิมทีไม่ได้คิดจะกลับมาอยู่กับเสด็จพ่อ หนึ่งเดือนที่ใช้ชีวิตในวัง เสด็จพ่อรักและทะนุถนอมลูกยิ่งนัก ฉางเล่อซาบซึ้งและจะไม่มีวันลืมเลยเพคะ! พ่อลูกสายเลือดเดียวกัน เสด็จพ่อไม่อยากแยกจากกับฉางเล่อ ฉางเล่อก็ไม่อยากแยกจากกับเสด็จพ่อเช่นกัน แต่หม่อมฉันกับตงฟางเจ๋อสัญญากันแล้ว เขารับปากแล้วว่าเดินทางมาครั้งนี้แค่หมั้นหมายอย่างเดียว รอให้เสด็จพ่อสุขภาพแข็งแรง หม่อมฉันค่อยแต่งงานกับเขาก็ยังไม่สาย”
ธิดาอันเป็นที่รักพูดด้วยความจริงใจ สายตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นไม่หวั่นไหว ฮ่องเต้แคว้นติ้งอดถอนหายใจไม่ได้ กล่าวด้วยความเป็นห่วง “ฉางเล่อ มิใช่ว่าพ่อจะขัดขวางเจ้าไม่ให้แต่งงาน เพียงแต่…คนผู้นี้จิตใจยากแท้หยั่งถึง เกรงว่าจะไม่คู่ควรกับเจ้า!”
ซูหลีกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เพื่อลูก เขายอมเสี่ยงตายหลายครั้งหลายหน มีแต่ความจริงใจ ไร้ข้อกังขา” ย้อนนึกถึงอดีต เพื่อนางแล้ว เขากระทำเรื่องใจกล้าและเสี่ยงอันตรายนับครั้งไม่ถ้วน รอยยิ้มจนใจก็ผุดพรายขึ้นมาบนกลีบปากงาม สายตาพลันแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความหวานละมุน
ฮ่องเต้แคว้นติ้งสังเกตเห็นเช่นนั้น ในใจก็ยิ่งรู้สึกเศร้าโศก คนในดวงใจของธิดาอันเป็นที่รัก เขาเองก็ไม่ได้อยากสงสัย แต่ตงฟางเจ๋อผู้นี้…เขาไม่วางใจจริงๆ แต่เขาก็ไม่อยากขัดขวางความต้องการของธิดาอันเป็นที่รัก เขาครุ่นคิดครู่หนึ่ง ทำได้เพียงกล่าวว่า “การแต่งงานของเจ้า เป็นเรื่องใหญ่สำหรับข้า ไม่อาจสะเพร่าได้เด็ดขาด! เรื่องนี้ รอให้ถึงงานเลี้ยงในอีกสามวันข้างหน้า พ่อพบหน้าเขาด้วยตนเองก่อนค่อยว่ากัน”
ท่าทีของเสด็จพ่อ ไม่ได้ดูต่อต้านมากเท่าที่นางคาดการณ์ไว้ ซูหลีพลันผ่อนลมหายใจ นางแย้มยิ้ม ลุกขึ้นค้อมกายอย่างงดงาม “ขอบพระทัยเสด็จพ่อเพคะ! เช่นนั้นฉางเล่อทูลลาก่อนแล้ว”
เงาร่างของนางหายลับไปนอกประตูตำหนักบรรทม ฮ่องเต้แคว้นติ้งค่อยๆ ยกมือขึ้นลูบแหวนหยกขาวสีขาวไร้รอยด่างพร้อยบนนิ้วมืออย่างเหม่อลอย ใบหน้าเศร้าโศก เขาพึมพำเสียงเบา “ซีซี…ยามนี้ลูกสาวของเราเติบใหญ่แล้ว นางมีคนในดวงใจ แต่คนผู้นี้ ข้าไม่วางใจที่จะมอบฉางเล่อให้เขา…หากเป็นเจ้า เจ้าจะตัดสินใจเช่นไร?”
ในห้องไร้เสียงคนตอบรับ เงียบงันเนิ่นนาน มีเพียงเสียงสายลมที่พัดผ่านใต้ชายคาเป็นระยะ ฟังคล้ายเสียงกระซิบกระซาบของใครคนหนึ่ง
เวลาสามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
แขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมงานในคืนนี้มีเพียงตงฟางเจ๋อกับเซียงซืออวี่เพียงสองคนเท่านั้น หลางฉ่างสั่งให้จัดงานเลี้ยงที่ศาลาอวิ๋นไหล ศาลาอวิ๋นไหลมีเนื้อที่ไม่กว้าง เป็นศาลาที่มีสามชั้น สร้างได้อย่างประณีตงดงาม ใช้สำหรับต้อนรับแขกคนสำคัญโดยเฉพาะ
ใบหน้าของหลางฉ่างนิ่งเฉยดั่งผิวน้ำ เขายืนเอามือไพล่หลังอยู่บนชั้นสามของศาลา หากทอดมองออกไปจากตรงนี้ ก็จะมองเห็นทิวทัศน์วังหลวงได้อย่างทั่วถึง ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำไปทางทิศตะวันตกช้าๆ ก้อนเมฆสีเรืองรองงดงามรูปต่างๆ ปรากฏสู่ครรลองสายตาของเขา แววหนักใจก่อตัวขึ้นรางๆ
ขันทีผู้หนึ่งเดินเข้ามารายงาน “ทูลองค์รัชทายาท นายน้อยเซียงซืออวี่จากเกาะตงหมิงมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ใบหน้าหลางฉ่างพลันแปรเปลี่ยนเป็นชื่นมื่น เขารีบสาวเท้าเดินลงบันไดเร็วๆ
ณ ชั้นหนึ่งของศาลาอวิ๋นไหลในยามนี้สว่างไสวไปด้วยแสงจากโคมไฟ ประตูทั้งสามทิศล้วนเปิดกว้าง
เซียงซืออวี่ยืนอยู่ด้านล่างบันไดของศาลาอวิ๋นไหล เขาเงยหน้าช้าๆ จ้องมองห้องโถงอันหรูหราใหญ่โตที่อยู่กลางศาลาอวิ๋นไหล ความรู้สึกนับร้อยประดังประเดเข้ามาในใจ
ยังไม่ทันได้คิดมาก ก็เห็นเงาร่างสีขาวของหลางฉ่างปรากฏตัวในห้องโถง เขาแย้มยิ้มเบาๆ เร่งฝีเท้าเดินเข้าไปแล้วค้อมกายถวายบังคม “เซียงซืออวี่ถวายบังคมองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ!”
หลางฉ่างรีบประคองเขา แล้วกล่าวว่า “คุณชายเซียงไม่ต้องมากพิธี ระหว่างท่านกับข้า ไม่จำเป็นต้องเกรงอกเกรงใจกันเช่นนี้!” เอ่ยจบ ก็ถามด้วยความเป็นห่วงอีกว่า “บาดแผลบนแผ่นหลังของคุณชายเซียง หายดีแล้วหรือยัง? ต้องการให้หลางฉ่างเรียกหมอหลวงมาดูอาการให้ท่านอีกหรือไม่?”
สายตาเป็นห่วงเป็นใยของเขา ทำให้เซียงซืออวี่อึ้งเล็กน้อย ได้ยินมานานว่าองค์รัชทายาทแห่งแคว้นติ้งเป็นคนมีน้ำใจกว้างขวาง เป็นห่วงแว่นแคว้นและราษฎร ไม่เคยเมินเฉยต่อชาวบ้านทั่วไปเลยสักครั้ง ก่อนหน้านี้เขายังไม่เชื่อ วันนี้กลับรู้สึกว่าคนผู้นี้เป็นปราชญ์ที่อ่อนน้อมถ่อมตนยิ่งนัก ถึงแม้เป็นเพียงการทักทายกันธรรมดา ก็ทำให้อดรู้สึกอบอุ่นหัวใจไม่ได้ และความเป็นห่วงที่เกิดจากความจริงใจเช่นนี้ เขาไม่ได้สัมผัสมานานมากแล้ว
เซียงซืออวี่ส่ายหน้า พลางเอ่ยว่า “ไม่เป็นไรแล้วพ่ะย่ะค่ะ ขอบพระทัยองค์รัชทายาทที่ทรงเป็นห่วง” เขามองซ้ายมองขวา แล้วแสร้งถามคล้ายไม่ใส่ใจนัก “เหตุใดจึงไม่เห็นองค์หญิงเลยเล่าพ่ะย่ะค่ะ?”
หลางฉ่างยิ้มแล้วตอบว่า “นางอยู่เป็นเพื่อนเสด็จพ่อที่ห้องหนังสือ อีกประเดี๋ยวก็ตามมา”
เซียงซืออวี่ร้อง “อ้อ” เบาๆ สีหน้าคล้ายกังวลเล็กน้อย ทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดไป
หลางฉ่างสังเกตเห็นเช่นนั้น จึงถามว่า “สหายเซียงตามหาฉางเล่อมีธุระงั้นหรือ?”
เซียงซืออวี่ลังเลเล็กน้อย เขาล้วงขวดกระเบื้องเล็กๆ ลวดลายประณีตขวดหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ แล้วกล่าวเสียงเบาว่า “วันนั้นองค์หญิงมีรอยแผลถลอกที่แขน กระหม่อมมียาที่ช่วยลบรอยแผลเป็นโดยเฉพาะ รบกวนองค์รัชทายาทมอบให้องค์หญิงด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
หลางฉ่างหลุดหัวเราะ “อีกประเดี๋ยวนางมา ท่านมอบให้นางเองก็ได้แล้วนี่?”
เซียงซืออวี่เอ่ยพลางยิ้มบางๆ “ชายหญิงต่างกัน กระหม่อมมอบให้องค์หญิงต่อหน้าธารกำนัลเกรงจะไม่เหมาะสม” พูดไป ก็ยัดขวดยาใส่มือหลางฉ่างอย่างไม่เปิดโอกาสให้ปฏิเสธ “กระหม่อมรู้ว่าแคว้นติ้งอุดมสมบูรณ์และมั่งคั่ง ในวังคงไม่ขาดยาดี แต่นี่เป็นน้ำใจเล็กน้อยของกระหม่อม ขอพระองค์ช่วยมอบให้องค์หญิงแทนกระหม่อมด้วยเถิด”
หลางฉ่างจ้องหน้าเขา ในสายตาที่คล้ายสงบนิ่ง คล้ายมีความสนิทสนมที่บรรยายไม่ถูกแฝงอยู่ เขายิ้มเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “เช่นนั้น ข้าก็ขอบใจท่านแทนฉางเล่อด้วย”
“ฝ่าบาทเสด็จ!”
“องค์หญิงฉางเล่อเสด็จ!”
……………………