บทที่ 360 นางเป็นคนที่น่าสงสารมากคนหนึ่ง

อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม

อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม บทที่ 360 นางเป็นคนที่น่าสงสารมากคนหนึ่ง
ก้นหลุมดำ ลมหมุนพัดพวกเขาเป็นระลอกจนหน้ามืดสมองโต โอนไปเอนมา สุดท้ายก็ตกสู้พื้นแรงๆ ดังตุบ

กู้ชูหน่วนเกือบกระแทกเป็นลม เคราะห์ดีที่ผิวพื้นนิ่ม มิเช่นนั้นนางต้องกระแทกตายแน่

ทันใดนั้นเอง นางก็รู้สึกถึงลางสังหรณ์ ครั้นลืมตาดู กลับพบว่าตัวเองมิได้ตกอยู่บนพื้นนิ่ม แต่ตกอยู่บนตัวชายหนุ่มชุดขาวผมขาว

กู้ชูหน่วนเจ็บแปลบในใจ รีบประคองเขาขึ้นมา “พี่เฉินเฟย ท่านฟื้นสิ…”

กู้ชูหน่วนยื่นมือ กลับคลำได้ของเหนียวๆ ครั้นตั้งใจมอง ไม่ใช่เลือดแล้วจะเป็นอะไร?

มุมปากอี้เฉินเฟยทะลักเลือด ตามตัวมีหลายจุดที่ถูกหินแหลมคมทำจนเป็นบาดแผลทั้งตัว ชุดสีขาวปานหิมะถูกเลือดเปื้อนสีแดง

ข้างใต้อันมืดมิด ใบหน้าของเขาขาวซีด ไม่มีสีเลือดสักนิด เพียงแต่ใบหน้าอ่อนโยนยังมีรอยยิ้มปลื้มใจหนึ่ง เอ่ยอย่างอ่อนแรง “เจ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว”

กรอบตากู้ชูหน่วนแดงโดยพลัน “ท่านช่างโง่นัก ทำไมถึงดีกับข้าเช่นนี้ ข้ามีอะไรคู่ควรให้ท่านช่วยด้วยชีวิตเช่นนี้?”

“เพราะ…เจ้าคือน้องสาวของข้า…”

“ท่านเจ็บสาหัสมาก อย่าเพิ่งพูด ข้าจะทำแผลให้ท่าน”

“ไม่…ไม่ต้องแล้ว”

ชีวิตเขาเหลือไม่มาก ไม่ว่าจะรักษาอย่างไรก็เปลืองแรงเปล่า ไม่จำเป็น

ในถ้ำมิได้ยะเยือกน่ากลัวอย่างที่พวกเขาคิดขนาดนั้น ที่นี่อบอุ่นดั่งวสันตฤดู ร้อยบุปผาบานสะพรั่ง ผีเสื้อร่ายรำ ต้นไม้ใบหญ้าเขียวขจี ประหนึ่งแดนสวรรค์นอกโลกา หากรอบทิศมิใช่หน้าผา ทั้งยังมีหินหลอมเหลวทะเลเดือนพลุ่งพล่าน พวกเขายังอยากปักหลักอยู่ที่นี่ระยะยาว

ที่แปลกก็คือ ที่นี่มีทะเลเดือด แต่ดอกไม้ใบหญ้าที่นี่กลับเบ่งบานสดใสขนาดนั้น

ที่นี่นอกจากพวกเขาสองคนแล้ว ก็ไม่มีผู้อื่น พวกเย่เฟิงก็ไม่รู้ว่าถูกลมหมุนพัดไปแห่งหนไหนแล้ว

กู้ชูหน่วนไม่สนใจถ้อยคำของอี้เฉินเฟย ดึงดันทำความสะอาดพันแผลให้เขา แล้วยังฝังเข็มให้เขาอีก ระงับบาดเจ็บภายใน

ด้วยการนี้ ความทรมานในร่างของอี้เฉินเฟยจึงดีขึ้นมาก แต่สีหน้ายังขาวซีดเหมือนเดิม

กู้ชูหน่วนประคองเขาให้นั่งที่ภูเขาปลอม ล้างสิ่งสกปรกให้เขาไม่สุ้มเสียง

ดวงหน้าอี้เฉินเฟยแขวนรอยยิ้มจางๆ มองนางอย่างตาไม่กะพริบ

“อาหน่วน ท่าทางเจ้าขมวดคิ้ว ดูแย่”

“ท่าทางท่านกระโดดหน้าผาแย่ยิ่งกว่า” กู้ชูหน่วนกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์

ความคิดของอี้เฉินเฟยล่องลอยออกไปไกลเล็กน้อย น้ำเสียงพร่า “เมื่อก่อน ก็มีคนบอกกับข้าเช่นนี้เหมือนกัน”

“อ้อ…ใคร? ผู้หญิง?”

“อือ…ผู้หญิงคนหนึ่งที่สวยมาก จิตใจดีมาก แล้วก็โง่มากด้วย”

“รักแรกของท่าน?”

อี้เฉินเฟยไม่ได้บอกความสัมพันธ์กับนางชัดเจน เพียงแต่ขมวดคิ้วหมึกแน่น เอ่ยกว่าเจ็บปวดเล็กน้อย “นางเป็นคนที่น่าสงสารมากคนหนึ่ง เกิดมาก็แบกภาระหนักหนา ชีวิตนับพันนับหมื่นนับสิบรุ่นล้วนกดอยู่บนบ่านาง ข้าเห็นนางล้มครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วก็ลุกขึ้นยืนครั้งแล้วครั้งเล่า บ่าเล็กๆ แบกรับมากมายเหลือเกิน”

กู้ชูหน่วนพันแผลไปก็ฟังไป ถึงจะฟังไม่ค่อยเข้าใจก็ตาม

“วัยเด็กของนาง หากมิใช่ตรากตรำเรียนวิทยายุทธ์ฝึกฝนร่างกาย ก็ออกมาจากการฝึกคาวเลือดอย่างเหนือคน หรือไม่ก็เสาะหาของบางอย่างสุดหล้าฟ้าเขียว”

กู้ชูหน่วนสอดแทรกประโยคหนึ่ง “ออกมาจากการฝึกคาวเลือดอย่างเหนือคน? นี่หมายความว่าอย่างไร?”

“นางฐานะสูงส่ง และเพราะว่าสูงส่งเกินไป ฉะนั้นนางจึงเป็นที่คาดหวังของทุกคน เพื่อไม่ให้ผิดต่อความคาดหวัง และเพื่อสามารถแบกรับภาระ แต่เล็กนางถูกขังอยู่ในสถานที่มืดมิดไร้เดือนตะวัน ทุกวันต่อสู้เข่นฆ่ากับสัตว์อสูร หากยังรอดชีวิตออกมาได้ นางก็รักษาชีวิตได้ หากไม่ได้ นางก็จะเป็นวิญญาณใต้คมดาบ หรือเป็นเนื้อในปากของผู้อื่น”

กู้ชูหน่วนฟังจนงงงวย

ในเมื่อฐานะสูงส่ง แล้วทำไมถึงถูกทำเช่นนี้ด้วย

“เป็นภาระแบบไหนกัน?”

“หนักมาก หนักจนชวนให้หายใจไม่ออก”

“แล้วตอนนี้นางอยู่ที่ไหน?”

“ข้าก็ไม่รู้ว่านางไปไหนเสียแล้ว แต่ข้าเชื่อ อีกไม่นานนางต้องกลับมา แค่กๆ…”

ไม่รู้ว่ากล่าวมากไปหรืออย่างไร อี้เฉินเฟยไอ้เลือดสดออกมาอีกแล้ว พลังชีวิตในตัวหายไปอย่างรวดเร็ว

กู้ชูหน่วนร้อนรน ข้อฉงนใจที่มีอยู่เต็มอกไม่อาจถามอีก ได้แต่กล่าว “อย่าเพิ่งพูดเลย พักผ่อนก่อนเถอะ”

“อาหน่วน…หากวันหนึ่งข้าไม่อยู่แล้ว เจ้าต้องมีชีวิตต่อไปดีๆ นะ”

“ท่านพูดเพ้อเจ้ออะไร ดูสิ ข้าก็ได้มุกมังกรสีฟ้ามาแล้ว พวกท่านมิใช่หาพบสี่ลูกแล้วหรือ? บวกกับอันนี้ก็ห้าลูก ขอเพียงหาอีกสองลูก โรคของท่านก็รักษาได้แล้ว”

กู้ชูหน่วนหยิบมุกมังกรสีฟ้าขนาดเท่าไข่นกพิราบจากในมือ กะพริบตาโตที่ขาวดำตัดชัดแล้วยิ้มเอ่ย

ในดวงตาอี้เฉินเฟยกำลังยิ้ม ทว่าหัวใจกลับขื่นขมยิ่งนัก

มุกมังกรเม็ดเดียว ต้องผลาญความเพียรของคนหลายชั่วอายุถึงหาเบาะแสได้เล็กน้อย ไหนเลยจะหาได้ง่ายขนาดนั้น

มุกมังกรเม็ดต่อไป พวกเขายังไม่มีข่าวเลยสักนิด

แต่ร่างกายของเขา ทนอยู่ไม่ไหวจนนางสะสมครบมุกมังกรทั้งเจ็ดเม็ดแล้ว

อี้เฉินเฟยเอ่ย “ข้าเชื่อ ข้าเชื่อว่าเจ้าต้องรวบรวมมุกมังกรเจ็ดเม็ดได้แน่ แค่กๆ…”

“ข้างๆ มีผลไม้ป่าจำนวนหนึ่ง ข้าจะไปเก็บมาให้ท่านกินสักหน่อย แล้วไปหาเย่เฟิงกับน่าหลันหลิงลั่ว”

“อาหน่วน…” จู่ๆ อี้เฉินเฟยก็ดึงชายกระโปรงกู้ชูหน่วนหยุดไว้

“มีอะไรหรือ?”

“ข้ามักรู้สึกว่าแววตาของเย่เฟิงต่างจากแต่ก่อนมาก เขาในตอนนี้ ข้าดูไม่ออกเลยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ คนผู้นี้เติบโตในสถานที่มืดมนขนาดนั้นแต่เล็ก ทั้งยังได้รับการลบหลู่เหยียดหยามมากมาย ยามใดที่เขากระตุ้นกลับเป็นดำขึ้นมา เช่นนั้นก็จะพลังพินาศไปอย่างง่ายดาย เกิดขึ้นแล้วก็มิอาจหยุดยั้ง”

รอยยิ้มบนใบหน้ากู้ชูหน่วนเจื่อนไปอีกบางส่วน ไม่นานก็ยิ้มพรายขึ้นอีก “ถึงเย่เฟิงจะกลับเป็นดำอย่างไร เขาก็ไม่ทำร้ายข้าหรอก ความเชื่อมั่นเท่านี้ข้ายังมี อีกอย่าง เขาไม่ควรอ่อนแอเช่นนั้นจริงๆ โลกนี้ปลาใหญ่กินปลาเล็ก อ่อนแอเกินไปก็รังแต่ถูกคนอื่นรังแก”

มุมปากของอี้เฉินเฟยขยับ ยังอยากกล่าวบางเรื่อง แต่เห็นแววตาทั้งคู่ที่แสดงให้เขาวางใจของกู้ชูหน่วน อี้เฉินเฟยก็กลืนถ้อยคำในใจกลับลงท้อง

หวังว่าสัมผัสที่หกของเขาจะผิด

หวังว่าเย่เฟิงจะไม่ทำอะไรกู้ชูหน่วน

ไม่รู้เพราะเหตุใด อี้เฉินเฟยยังไม่สงบ

เพราะก่อนที่จะรีบมา ขณะที่เขาเพิ่งฟื้นจากการหมดสติด้วยบาดเจ็บสาหัส เห็นความแค้นและจิตสังหารแวบหนึ่งจากดวงตาเย่เฟิงแล้วหายวับไป แววตานั้นไม่เหมือนความเคียดแค้นคนหนึ่งธรรมดา

กลับคล้ายวางแผนมานานนม ต้องการทำลายบางคนให้ได้

อีกทั้งบังเอิญหรืออย่างไร ขณะที่กู้ชูหน่วนวางกับดักสังหารคนของเผ่าปีศาจก็กระโจนเข้ามากะทันหัน

ผิวเผินเขาต้องการฆ่าหัวหน้ากองธงกล้วยไม้ แต่ในความเป็นจริงกลับบีบให้กู้ชูหน่วนจำต้องช่วยเขา สุดท้ายก็ถูกดึงลงหลุมใหญ่

แม้กังวล แต่อี้เฉินเฟยคิดสาเหตุที่เย่เฟิงต้องการเอาชีวิตกู้ชูหน่วนไม่ได้

“หวังว่าเป็นเช่นนั้นเถอะ” เขากล่าวอย่างแผ่วเบา กำลังในตัวแทบผลาญไปจนสิ้น ได้แต่พิงโขดหินหลับตาพักผ่อน ปรับลมหายใจ