ตอนที่ 502 ห้าตระกูลใหญ่
เมื่อท้องฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นสีดํา ผู้คนทั้งหมดที่ได้รับดาบและกระบี่
ขณะนี้เพิ่งออกมา!
บรรดาผู้ที่ออกมาทีหลัง ล้วนร่างกายโชกด้วยเลือดและบาดแผล
หลายคนถึงขั้นยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อให้ได้รับสิทธิ์!
กระนั้น ก็มีหลายคนที่ไม่อาจคว้าเอามาได้!
ทุกคนต่างมองไปยังนครโบราณซึ่งถูกทิ้งร้าง ซึ่งขณะนี้เต็มไปด้วย
กลิ่นเลือดคละคลุ้ง พร้อมถอนหายใจออกอย่างช่วยไม่ได้
กระทั่งว่าเป็นเพียงการเฟ้นหาผู้มีความเหมาะสม ก็ยังนับว่าเป็นการ
ทดสอบที่โหดเหี้ยม
บรรดาผู้ที่เข้าร่วมการทดสอบ ทั้งหมดล้วนอยู่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋า
ระดับที่เก้า อายุพวกเขาถูกจํากัดเอาไว้ว่าต้องน้อยกว่าสามสิบ
ผู้ฝึกตนวรยุทธ์เต๋าระดับเก้าอายุน้อยกว่าสามสิบ ถือว่าหาได้ยากยิ่ง
เรียกได้ว่าเป็นความหวังของสํานักหรือตระกูล
“ผู้ที่ได้รับดาบและกระบี่ จะต้องไปรวมตัวที่ทางเข้าหอขุนเขาดาบ
กระบี่ก่อนรุ่งสาง ไม่เช่นนั้นก็ถือว่าตกรอบ!”
เสียงดังของชายชราชุดดํา แทบสะท้านสะเทือนท้องฟ้ายามคํ่าคืน
คนกว่าสองร้อยคนที่ผ่านการคัดเลือกเมื่อครู่ ต่างออกจากนครโบราณ
ดาบกระบี่ช่วงฟ้ามืด คิดหาโรงเตี๊ยมเพื่อพักผ่อน
ในโรงเตี๊ยม ฉินหยุนมองยังกระบี่ยาวในมือ
กระบี่นี้เป็นอาวุธวิญญาณ ทว่ามันมีอักขระดวงดาวแกะสลักเอาไว้
ผลลัพธ์ที่ได้ ทําให้มันไม่อาจอยู่ในมิติเก็บของ
“กระบี่เล่มนี้ คือตั๋วสําหรับใช้ยืนยันตัวตนว่ามีคุณสมบัติเข้ารับการ
ทดสอบ!” ฉินหยุนคว้าจับด้ามกระบี่เอาไว้แน่นขณะนอนพัก
ขณะนี้ใกล้รุ่งสางแล้ว เขามาถึงทางเข้าหอขุนเขาดาบกระบี่ก่อนเวลา
กว่าสองร้อยคนที่ผ่านเข้ารอบมาได้ ล้วนถือดาบและกระบี่ในมือ รอ
คอยให้การทดสอบเริ่มขึ้น
ฉินหยุนถือกระบี่ยาวของตนเองไว้ รอคอยที่หน้าประตูอย่างใจเย็น
ที่ตรงหน้าประตู นอกจากสองร้อยคนที่เข้าร่วมการทดสอบ ยังมีอีก
หลายคนที่มาเพื่อรับชมเรื่องราว
ท่ามกลางฝูงชน มีหลายคนที่เป็นศิษย์ของหอขุนเขาดาบกระบี่ พวก
เขาขณะนี้ให้ความสนใจในตัวศิษย์ใหม่กันไม่น้อย
“ศิษย์ของห้าตระกูลใหญ่แห่งแดนวิญญาณอ้างว้างต่างอยู่ที่นี่ ตระกูล
หลง เย่ว์ หยาง เทียน และเจี้ยน… นี่ไม่ใช่ปรากฏการณ์พบพานได้
ยากหรือไร?”
“แคว้นมหาดวงดาวของพวกเรา ถือว่าอยู่ลําดับที่สามในแดนวิญญาณ
อ้างว้าง ย่อมมีสาขาของห้าตระกูลใหญ่อยู่ที่นี่!”
“ทั่วทั้งแดนวิญญาณอ้างว้าง ตระกูลหลงและตระกูลหยาง ถือว่าอยู่
ชั้นแนวหน้า ตามมาด้วยตระกูลเจี้ยน เย่ว์ และเทียน!”
“ห้าตระกูลใหญ่ ถือได้ว่าเป็นตระกูลชั้นแนวหน้าในแดนวิญญาณ
อ้างว้าง แต่ละตระกูลมีสาขาหลายสิบ กระจายอยู่ทั่วทุกแห่งหนของ
แดนวิญญาณอ้างว้าง!”
“ตระกูลชั้นรองอย่าง ตระกูลจี ตระกูลหลู่ ตระกูลหยิง ตระกูลเยี่ย
ตระกูลเซียว ตระกูลซุน ตระกูลเฟิ ง ตระกูลเซี่ย และตระกูลตงฟาง!
พวกเขาต่างก็ส่งศิษย์มาเข้าร่วมการทดสอบเช่นเดียวกัน!”
“ท้ายที่สุดแล้ว ศิษย์ที่สามารถเข้าร่วมหอขุนเขาดาบกระบี่ จะมีเพียง
สิบห้าคนเท่านั้น คิดว่าตระกูลใหญ่จะกวาดเรียบหรือไม่?”
“ตระกูลใหญ่ทั้งสิบห้า ถือได้ว่าเป็นตัวตนแข็งแกร่งตั้งแต่ครั้งโบราณ
ในแดนวิญญาณอ้างว้าง พวกเขาขณะนี้ต่างเข้าร่วมการทดสอบของ
หอขุนเขาดาบกระบี่! เช่นนี้แล้ว หอขุนเขาดาบกระบี่ของพวกเราจะ
ยิ่งก้าวทะยานใช่หรือไม่?”
“หากพวกเราดูดกลืนศิษย์เหนือลํ้าของตระกูลชนชั้นสูงมาได้ พวก
เราย่อมมีกําลังทัดเทียมได้กับห้าสํานักดวงดาว!”
“ข้าคิดอยากเห็นวันนั้นมาถึงยิ่งนัก!”
“การทดสอบครั้งนี้ย่อมต้องโหดร้ายกว่าครั้งใด ด้วยสิบห้าตระกูล
เข้าร่วม ทั้งยังส่งมากันตระกูลละสองคนเป็นอย่างน้อย! รวมแล้ว
กว่าสี่สิบถึงห้าสิบคน ท้ายที่สุดจะถูกเฟ้นหาเหลือเพียงแค่สิบห้าคน
ที่สามารถผ่านเข้ามาได้!”
ผู้เข้าสมัครทั้งสองร้อยคน ซึ่งกําลังตระเตรียมรับการทดสอบ ฉับพลัน
บังเกิดความกดดันมากล้นโถมเข้าใส่!
โดยเฉพาะบรรดาผู้มาจากตระกูลเล็ก แรงกดดันของพวกเขายิ่งมากมาย
เป็นพิเศษ
ก่อนหน้านี้ ฉินหยุนพบว่ามีหลายคนที่เป็นยอดฝีมือสายเลือด
พวกเขาเหล่านั้นล้วนมาจากตระกูลใหญ่
“กระทั่งว่ามีพื้นเพยิ่งใหญ่ แต่กระนั้นก็ยังไม่อาจเข้าร่วมห้าสํานัก
ดวงดาว!” คนหนึ่งส่งเสียงดังขึ้น
“สาเหตุว่าทําไมห้าสํานักดวงดาวของแคว้นมหาดวงดาวของพวกเรา
สามารถยืนหยัดอยู่มานานหลายปี ในแดนวิญญาณอ้างว้าง ก็เพราะ
พวกเขาไม่เคยรับผู้ฝึกตนชั้นสวะ!”
แดนวิญญาณอ้างว้าง มีแคว้นมหาดวงดาว แคว้นมังกรทะยานฟ้า
แคว้นวิหคอมตะ แคว้นจันทราคราม และแคว้นสวรรค์ดวงตะวัน
พื้นที่ซึ่งฉินหยุนอยู่ในขณะนี้ คือแคว้นมหาดวงดาว มันถือว่ากว้าง
ใหญ่อย่างยิ่ง
“หากไปยังแคว้นอื่น ก็จําเป็นต้องโดยสารเรือบินกว่าสองเดือน”
และการเดินทางก็ยังเต็มไปด้วยอันตราย
รุ่งสาง ฟ้าสว่าง ประตูทั้งสองของหอขุนเขาดาบกระบี่เปิ ดออก
ในที่สุด ชายชราชุดดําค่อยก้าวเดินออกมา
“ขณะนี้พวกเจ้าจะต้องไปยังเขตแดนอ้างว้างปี ศาจแดง ทําการออก
ล่าหมาป่ าเขาปี ศาจที่อยู่ภายใน พวกเจ้าสามารถจับกลุ่มกันได้มาก
สุดสิบห้าคน และกลุ่มคนที่ได้รับหมาป่ าเขาปี ศาจจํานวนมากที่สุด
จึงสามารถได้เป็นศิษย์ของหอขุนเขาดาบกระบี่ของข้า!”
“พวกเราจะออกเดินทางตอนบ่าย ขณะนี้ให้พวกเจ้าจัดตั้งกลุ่มกัน
ได้!”
เสียงของชายชราชุดดํา ยังคงชวนสะท้านสะเทือน เปรียบดั่งเสียงฟ้า
คํารามก็ไม่ปาน
ฉินหยุนตื่นตระหนก เขาไม่คิดว่าหอขุนเขาดาบกระบี่จะถึงขั้นมีเขต
แดนอ้างว้างในมือ!
เขตแดนอ้างว้างดังกล่าว มีหมาป่ าเขาปี ศาจ ชัดเจนว่าต้องเป็นเขต
แดนอ้างว้างของแดนอสูรอ้างว้าง
ฟังจากเสียงร้องครํ่าครวญของฝูงชน ฉินหยุนจึงได้ทราบว่าหมาป่ า
เขาปี ศาจ เป็นสัตว์อสูรระดับลึกลํ้า มันแข็งแกร่งทัดเทียมผู้ฝึกตน
ขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณ!
“จดจําเอาไว้ อย่าได้ทําดาบและกระบี่ในมือพวกเจ้าพัง! ไม่เช่นนั้น
ไม่ว่าจะได้รับหมาป่ าเขาปี ศาจมากมายเพียงใด ทั้งหมดล้วนไร้ค่า!”
ชายชราชุดดํากล่าวยํ้าอีกครั้งหนึ่ง
ถึงตรงนี้ หลายคนเริ่มจัดตั้งกลุ่มขึ้นมากันได้แล้ว
“ข้าหลงอู่เฉิน! คิดจัดตั้งกลุ่มแปดคนขึ้น ผู้ใดต้องการร่วมกลุ่มกับข้า
ก็ต้องผ่านการทดสอบของข้าก่อน!” ชายร่างผอมบางตะโกนขึ้น
ชายผู้นี้สวมใส่ชุดสีทอง และคลุมทับเอาไว้ด้วยเกราะอ่อนงดงาม
ใบหน้าผอมบางของอีกฝ่ าย เปี่ ยมล้นด้วยความหยิ่งผยอง นํ้าเสียงที่
เผยออกมา ล้วนทําให้ผู้อื่นเกิดความรู้สึกถูกกดข่ม
ฉินหยุนไม่ทราบว่าควรเข้าร่วมกลุ่มใด นั่นก็เพราะนอกจากตัวเขา
แล้ว ผู้อื่นล้วนมีพื้นเพ และยังรู้จักกันบ้างไม่มากก็น้อย
“เจ้าไม่ใช่บุตรหลานตระกูลชนชั้นสูง แต่แล้วกลับสามารถได้รับ
กระบี่อย่างรวดเร็ว สมควรแข็งแกร่งระดับหนึ่งแล้ว!”
ชายร่างเตี้ยคนหนึ่งเข้ามาอย่างกะทันหัน พร้อมดึงฉินหยุนเข้าหา
หลงอู่เฉิน
หลงอู่เฉิน สายตาจับจ้องฉินหยุนพร้อมกล่าวเสียงเย็น “เจ้าถึงกับ
ผ่านรอบมาได้โดยไร้ซึ่งบาดแผล นับได้ว่ามีฝีมือดีเยี่ยม เมื่อผ่านการ
ทดสอบข้าแล้ว เจ้าก็สามารถเข้าร่วมกลุ่มกับข้าได้!”
“คิดทดสอบอย่างไรกัน?” ฉินหยุนเอ่ยถาม
หลงอู่เฉินนําเอาบอลผลึกแก้วออกมา วางมันตรงหน้าฉินหยุน เขา
กล่าว “วางมือเจ้าลง”
ฉินหยุนถือเป็นผู้ทดสอบคนแรก ดังนั้นจึงดึงดูดความสนใจของ
หลายผู้คน
เขาวางมือบนบอลผลึกแก้ว และไม่ช้า มันจึงปรากฏแสงขึ้นมาหนึ่ง
สี!
“หนึ่งชีพจรวิญญาณ?” หลงอู่เฉินขมวดคิ้ว นํ้าเสียงเผยความเดียดฉันท์
“ช่างเป็นขยะอย่างแท้จริง ไสหัวไปที่ใดจงไป!”
ฉินหยุนกําหมัดแน่น กล่าวออกด้วยนํ้าเสียงเย็นเยือก “ข้ามีหนึ่งชีพจร
วิญญาณแล้วอย่างไร? ข้าเองก็อยู่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋าระดับที่เก้า และ
พลังเต๋าของข้าก็หาได้อ่อนด้อยไม่!”
“เรื่องของเจ้าเป็นอย่างไรข้าล้วนไม่สน ในสายตาข้า หนึ่งชีพจร
วิญญาณคือขยะชั้นดี!” หลงอู่เฉินแค่นเสียง “สวรรค์ไม่ยินยอมให้
เจ้าได้ฝึกฝน แต่แล้วเจ้ายังกล้าฝืนเจตนาแห่งสวรรค์ ชีวิตเจ้าคงอยู่ได้
ไม่ยาวนานนัก!”
ฉินหยุนกลายเป็นมีโทสะ ในเมื่อเขาเข้ามาถึงการทดสอบที่ตรงนี้ เขา
ย่อมไม่คิดก่อเรื่อง ดังนั้นจึงได้แต่ต้องระงับโทสะเอาไว้ภายในใจ!
ภายหน้า เมื่อใดได้เข้าร่วมหอขุนเขาดาบกระบี่ เขาจะต้องหาโอกาส
สั่งสอนหลงอู่เฉินสักบทเรียนหนึ่ง!
“เร่งรีบไสหัวไปได้แล้ว! สวะเช่นเจ้า มีแต่จะทําให้ข้าเสียเวลา!”
“ใช่! ออกไปให้พ้นได้แล้ว!”
“พวกเราอย่าได้เข้าใกล้มันแล้ว สายเลือดของมันไม่ทราบประสบ
ชะตาใด แต่ผู้ที่กล้าต่อต้านสวรรค์ ย่อมมีจุดจบไม่ดีนัก!”
“ชีวิตนั้นแสนสั้น ข้าสงสัยนักว่ามันก้าวสู่ขอบเขตวรยุทธ์เต๋าระดับที่
เก้ามาได้อย่างไร!”
ผู้เยาว์ของตระกูลชนชั้นสูงขณะนี้ต่างเย้ยหยันฉินหยุนเสียงดัง ที่ทํา
เช่นนี้ก็เพื่อสร้างความประทับใจแก่หลงอู่เฉิน
เด็กหนุ่มหล่อเหลาชุดแดงคนหนึ่งจากตระกูลหยาง ขณะนี้ตะโกน
ร้องบอกฉินหยุน “มาทางนี้ ให้ข้าดูว่าเจ้ามีหนึ่งชีพจรวิญญาณจริง
หรือไม่! ข้าอาจให้เจ้าได้เข้าร่วมกลุ่ม!”
หลงอู่เฉินคือคนของตระกูลหลง เป็นหนึ่งในห้าตระกูลใหญ่ แม้เขา
อหังการอวดดี แต่เขาก็มีดีให้อวดของจริง
ตระกูลหยางเองก็เป็นหนึ่งในห้าตระกูลใหญ่ ย่อมเป็นธรรมดาที่จะ
หาคนมีศักยภาพเข้าร่วมกลุ่ม
ฉินหยุนมองทางหยางมู่เทียนจากตระกูลหยาง อีกฝ่ ายเดินเข้ามา
พร้อมรอยยิ้ม
หยางมู่เทียนนําบอลผลึกแก้วออกมา พร้อมจับมือฉินหยุนวางลง
ผู้คนขณะนี้ล้วนเข้ามารับชม
แสงขณะนี้ปรากฏในบอลแสง!
“มีแค่หนึ่งจริงด้วย! ฮ่าฮ่าฮ่า ผู้ฝึกตนในตํานานเช่นนี้หาได้ยากยิ่งนัก!”
หยางมู่เทียนหัวเราะ “เอาละ ข้าทราบแล้วว่าเจ้ามีหนึ่งชีพจรวิญญาณ
จริง คราวนี้เจ้าไสหัวไปได้แล้ว!”
กล้ามเนื้อใบหน้าฉินหยุนกระตุกวูบ สีหน้าขณะนี้แปรเปลี่ยนเป็น
เย็นเยือก
“ว่าอะไร? เจ้าคิดจริงหรือว่าข้าจะให้สวะเช่นเจ้าเข้าร่วมกลุ่ม? ช่าง
ใสซื่อนัก ข้าจะรับคนเช่นเจ้าได้อย่างไรกัน?”
หยางมู่เทียนหัวเราะเย้ยหยันเสียงดังต่อเนื่อง “ข้าเพียงต้องการใช้
โอกาสนี้หยามเจ้าก็เท่านั้นเอง ฮ่าฮ่าฮ่า!”
“พี่ใหญ่หยางเป็นศิษย์ตระกูลหยาง ย่อมมีดีให้หยามเหยียดชายคน
นั้น!”
“ถูกต้องแล้ว! เจ้าก็แค่เด็กน้อยไร้พื้นเพ แต่แล้วกลับคิดอวดดีต่อหน้า
พี่ใหญ่หยางอย่างนั้นหรือ?”
“เจ้าช่างใสซื่อเกินไปนัก ถึงขั้นคิดว่าพี่ใหญ่หยางจะให้เข้าร่วมกลุ่ม
หรือ? น่าขัน ฮ่าฮ่าฮ่า!”
หยางมู่เทียนและลิ่วล้อ ใช้โอกาสนี้หาความสําราญบนความกราด
เกรี้ยวของฉินหยุน
สีหน้าฉินหยุนเย็นเยือก เขาหันกายกลับออกพ้นจากบริเวณที่หยางมู่
เทียนอยู่
เขาได้แต่กํากระบี่ยาวในมือตนเองแน่น โทสะภายในหัวใจขณะนี้ก็
กําลังสุมแน่น!
เขาย่อมทราบพละกําลังตนเองดี เป็นเขามั่นใจ ว่าตนเองไม่มีทาง
อ่อนด้อยกว่าบรรดาบุตรหลานตระกูลใหญ่เหล่านี้!
พละกําลัง คือสิ่งที่ต้องแสดงออกผ่านการต่อสู้!
ด้วยเพราะขณะนี้ไม่อาจต่อสู้ เขาจึงไม่อาจสําแดงกําลังตนเองออกมา
ได้!
“ตระกูลหลง ตระกูลหยาง อย่าได้ปรามาสต่อผู้อื่นไป! การที่เขาซึ่งมี
หนึ่งชีพจรวิญญาณ และก้าวขึ้นมาถึงขอบเขตวรยุทธ์เต๋าระดับที่เก้า
หาได้ใช่เรื่องง่ายดาย!”
เด็กสาวจากตระกูลเย่ว์ของห้าตระกูลใหญ่ เย่ว์อู่หลัน ขณะนี้กล่าวคํา
โต้เถียงพร้อมรอยยิ้มอ่อนจาง
เย่ว์อู่หลันสวมใส่ชุดกระโปรงยาวสีเหลืองสว่าง ผิวของนางขาวนวล
ให้ความนึกคิดว่าหากสัมผัสคงนุ่มนิ่ม ใบหน้างดงามของนางเผย
รอยยิ้มทรงเสน่ห์ ขณะนี้กําลังทดสอบความสามารถผู้ฝึกตนอื่นเพื่อ
คัดเลือกสหายร่วมกลุ่ม
“เย่ว์อู่หลัน ในเมื่อเจ้าคิดว่าเขาไม่เลว เช่นนั้นให้เขาเข้าร่วมกลุ่มกับ
เจ้า!” หยางมู่เทียนยิ้มกว้าง “เจ้าพูดจาฟังดูดี แต่เจ้าก็ไม่ได้ลงมือทํา
อะไรใช่หรือไม่เล่า?”
“ข้าไม่ได้ให้เขาเข้าร่วมกลุ่ม แต่ข้าก็หาได้หยามเหยียดต่อเขา! ข้า
ไม่ใช่คนเช่นพวกเจ้า!” เย่ว์อู่หลันหัวเราะเบา
“เย่ว์อู่หลัน จงหยุดเสแสร้งเป็นคนดีได้แล้ว ‘ใต้แสงจันทร์โลหิตสาด
กระเซ็นดังคลื่นซัด’ นี่จึงเป็นคําอธิบายต่อตัวเจ้า! ผู้คนมากมายล้วน
ถูกเจ้าสังหาร!” หลงอู่เฉินแค่นเสียงดัง
บรรดาศิษย์ของห้าตระกูลใหญ่ ต่างมากันตระกูลละสองถึงสามคน
ทว่าพวกเขาไม่ได้เลือกอยู่กลุ่มเดียวกัน
หลายกลุ่มเริ่มเกิดขึ้นเป็นรูปร่าง พวกเขาแต่ละคนต่างคัดเลือกคน
ของตัวเองกันเข้ามา!
บรรดาศิษย์ของห้าตระกูลใหญ่ ย่อมต้องเป็นหัวหน้ากลุ่ม
พวกเขากลืนกินบุตรหลานของสิบตระกูลชั้นรองเข้าร่วมกลุ่มกัน
แทบหมดสิ้น
“เทียนรั่วเหลิง กลุ่มเจ้ามีเพียงสามคนเองหรือ!” เย่ว์อู่หลันหัวเราะดัง
“เหตุใดเจ้าไม่เข้าร่วมกลุ่มข้ากันเล่า!”
เทียนรั่วเหลิงเป็นศิษย์ตระกูลเทียน นางเป็นหญิงสาวผู้หนึ่ง!
ด้วยร่างสูงโปร่งงดงาม นางยังมีความกํายํากว่าสตรีใดเผยให้เห็น
นางไว้ผมสั้นประบ่า กําลังวังชาที่เผยออกผ่านท่าที รวมถึงผิวสีนํ้าตาล
ของนาง เมื่อผนวกเข้ากับชุดสีเขียวเข้มรัดรูป ยิ่งเป็นการขับเน้นส่วน
โค้งเว้าของนางออกมา
ฉินหยุนเคยได้เห็นหญิงเช่นนี้มาก่อน นี่เป็นตัวตนคล้ายหลันเฟิ งจิน!
กระนั้น หลันเฟิ งจินหาได้ดิบเถื่อนและทรงเสน่ห์ แต่นางมีความ
อ่อนโยนซุกซ่อนอยู่ด้วย!
ทว่าทางด้านเทียนรั่วเหลิง ร่างกายของนางเปี่ ยมด้วยออร่าสะกดข่ม
ผู้คน จิตสังหารเย็นเยือกปลดปล่อยออกอย่างไม่ปิ ดบัง
ดวงตาของนางที่แต่เดิมงดงาม ขณะนี้กลายเป็นโหดเหี้ยม สายตานี้
เปรียบดังคมดาบพร้อมจ้วงแทงผู้คนผ่านจิตสังหาร ทําเอาผู้คน
โดยรอบถึงกับรู้สึกหนาวเย็นถึงสันหลัง
“รับฝ่ ามือข้า หากเท้าเจ้าไม่ขยับจากตําแหน่งเดิม เช่นนั้นเจ้าก็เข้า
ร่วมกลุ่มข้าได้!” เทียนรั่วเหลิงเผยสีหน้าเย็นชาพร้อมกล่าวต่อฉิน
หยุน