บทที่ 85 โอสถคุ้มคลั่ง[รีไรท์]
ซูเหรินอี้จ้องมองหลิงยู่ชานโดยไม่พูดอะไรสักคำ
หลิงยู่ชานขมวดคิ้ว เขารู้สึกว่าซูเหรินอี้คนนี้สายตาที่จ้องเขาอยู่ ดูเหมือนจะไม่พอใจเขาเป็นอย่างมาก ซึ่งนี่มันค่อนข้างแปลกเพราะเขาไม่เคยรู้จักซูเหรินอี้ด้วยซ้ำ
“เจ้ารู้จักข้า?” หลิงยู่ชานถาม
“ตาย!” ซูเหรินอี้ตะโกนเสียงดังและพุ่งเข้าหาหลิงยู่ชานด้วยความดุร้าย
เมื่อสัมผัสได้ถึงความรุนแรงของพลังซูเหรินอี้ที่อยู่ในขอบเขตหลอมรวมลมปราณระดับ 7 หลิงยู่ชานจึงรีบถอยหลบออกมาจากการปะทะโดยตรงอย่างรวดเร็ว
ด้วยพลังของซูเหรินอี้ที่ปะทุออกมา แม้แต่หวงหลิงซานที่อยู่ด้านข้างก็เลิกคิ้ว พร้อมกับพึมพำกับตัวเอง “ผู้ชายคนนี้เพิ่งไปถึงระดับที่หก เมื่อไม่กี่วันก่อนไม่ใช่เหรอ ทำไมวันนี้เขาไปถึงจุดสูงสุดของระดับเจ็ดได้เร็วขนาดนี้?”
ทันใดนั้นนางก็นึกถึงความเป็นไปได้ “ไม่มีทาง…หรือว่าเขาจะ…” หวงหลิงซานพึมพำด้วยอาการตื่นตกใจ ทันใดนั้นนางก็คิดเรื่องที่พ่อของนางนำโอสถหลายเม็ดกลับมาให้นางเพื่อเพิ่มระดับการบ่มเพาะของนางและบอกให้นางไปกำจัดหลิงยู่ชาน
จากโอสถทั้งเจ็ดเม็ดนางกินไปเพียงเม็ดเดียว เมื่อรู้สึกว่าโอสถเม็ดนั้นสามารถเพิ่มระดับการบ่มเพาะของนางได้นางจึงหยุดกินมัน นางเข้าใจในเส้นทางการบ่มเพาะของนางดี นางไม่ต้องการที่จะใช้ตัวช่วยภายนอกเหล่านี้มายุ่งเกี่ยวกับการบ่มเพาะของนางและที่สำคัญนางต้องการที่จะเอาชนะหลิงยู่ชานได้ด้วยตัวเอง
สำหรับคำสั่งฆ่าหลิงยู่ชานนางไม่สนใจเลย แม้ว่านางกับหลิงยู่ชานจะมีความขัดแย้งกันแต่มันก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย มันไม่ใช่ความเกลียดชังที่รุนแรงมากมายถึงขนาดที่จะเอาชีวิตกัน
เมื่อได้เห็นอัตราการบ่มเพาะที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของซูเหรินอี้ นางจึงรู้สึกว่าเขาน่าจะกินมันไปแล้ว และไม่ใช่แค่เม็ดเดียวแบบที่นางทำแน่นอน
นางมองไปที่หลิงยู่ชานอย่างงุนงง นางอดสงสัยไม่ได้ว่าหลิงยู่ชานไปทำให้ใครขุ่นเคืองเข้า ถึงได้มีการวางแผนอันซับซ้อนมากมายในการกำจัดเขา
ในขณะนี้การต่อสู้ระหว่าง หวูปิงและหยุนเฟยหาวก็สิ้นสุดลงเช่นกัน ในท้ายที่สุดหยุนเฟยหาวเป็นฝ่ายชนะ
หยุนเฟยหาวเองก็กินโอสถเช่นเดียวกัน เมื่อเขาเห็นระดับการบ่มเพาะของซูเหรินอี้เขาเองก็ได้รับคำตอบเช่นเดียวกับหวงหลิงซานอย่างรวดเร็ว
เมื่อมองไปยังหวงหลิงซาน หยุนเฟยหาวสังเกตเห็นว่าหวงหลิงซานกำลังมองมาที่เขาเช่นกัน ทั้งสองคนเมื่อสบตากัน ก็ดูเหมือนจะเข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดตรงกัน
ในขณะนี้ หลินยู่สังเกตเห็นอาการที่แปลกประหลาดของซูเหรินอี้และกลิ่นอายสังหารของเด็กน้อยผู้นี้ที่เริ่มเพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุดเขาเริ่มตื่นตัวทันที เขากังวลว่าหลิงยู่ชานอาจมีอันตรายและคำสั่งของเจ้าเมืองที่ย้ำไว้นักหนาอาจมีความเสี่ยง
ทั้งสองที่กำลังต่อสู้กันไม่ได้ใส่ใจผู้คนที่อยู่กำลังเฝ้าดูอยู่
ในขณะนี้ระดับการบ่มเพาะของซูเหรินอี้ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมากจนระดับของเขาเพิ่มไปจนถึงจุดสูงสุดของระดับที่เจ็ดและเข้าสู่ระดับที่แปดของขอบเขตหลอมรวมลมปราณ
ความก้าวหน้าของซูเหรินอี้ทำให้เกิดความฮือฮาในหมู่ผู้เข้าชม
นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นบุคคลเช่นนี้ ผู้คนที่ดูการประลองอยู่ต่างกล่าวชมซูเหรินอี้ว่าเป็นอัจฉริยะจากสถาบันหงส์เพลิงอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้มีหลายคนที่รู้ได้ว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เฮ่อเจี้ยนปิงและหยิงหวูเจี้ยงและบรรดาผู้เชี่ยวชาญระดับสูงคนอื่น ๆ พวกเขาทั้งหมดจ้องมองการประลองคู่นี้อย่างเคร่งเครียดจริงจัง
ตอนนี้ระดับการบ่มเพาะของซูเหรินอี้ยังคงเพิ่มขึ้น รัศมีพลังที่วนอยู่รอบกายของเขาส่องสว่างขึ้นเรื่อย ๆ และในพริบตาเขาก็ใกล้จะทะลวงไปถึงระดับ 9
อย่างไรก็ตาม ซูเหรินอี้ตอนนี้สติของเขาเริ่มเรือนราง เขาเริ่มจะควบคุมสติตัวเองไม่อยู่ ในหัวสมองของเขาตอนนี้เหตุผลการตัดสินใจต่าง ๆ เริ่มถูกแทนด้วยคำว่า ฆ่า คำเดียว การโจมตีของเขาแต่ละครั้งเต็มไปด้วยเจตนาสังหาร ราวกับว่าเขากับหลิงยู่ชานนั้นเป็นศัตรูที่มีความแค้นฝังลึกกันมาเป็นร้อยปี
ด้วยระดับการบ่มเพาะของหลิงยู่ชานที่ต่ำกว่ามาก ซูเหรินอี้ที่บ้าคลั่งเช่นนี้จึงเป็นอันตรายอย่างยิ่ง
ตอนที่หลิงยู่ชานกำลังจะเข้าสู่รอบสุดท้าย ซูเหรินอี้ได้แอบกลืนเม็ดโอสถที่เหลืออีก 3 เม็ดเพื่อเพิ่มระดับบ่มเพาะของเขาอย่างเงียบ ๆ
เขาเคยใช้โอสถเหล่านี้มาก่อนแล้ว พวกมันเป็นโอสถที่ดีที่สุดที่เขาเคยใช้มาสำหรับการบ่มเพาะของเขา
ในตอนที่เขาได้รับโอสถเหล่านี้มา เขาตั้งใจไว้แล้วว่าจะใช้พวกมันจนหมด เพื่อที่จะสังหารหลิงยู่ชานได้อย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ และเมื่อเขาสังหารได้แล้ว เขาจะได้รับโอกาสที่เจิ้นป่าเจ่ามอบให้ เขาต้องการทำให้ตระกูลซูของเขามีอนาคตที่ดีกว่าปัจจุบัน เขาสามารถยอมแลกได้ทุกอย่างกับความสำเร็จของตระกูล เขาไม่แม้แต่จะสนใจว่าโอสถที่เจิ้นป่าเจ่าให้มามันจะเป็นยาพิษหรือไม่
แต่เมื่อหลังจากกินโอสถทั้งสามเม็ดเข้าไป เขารู้สึกได้ถึงพลังวิญญาณในร่างกายของเขาที่เพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่งจนไม่สามารถควบคุมได้ และแม้แต่สติของเขาก็เริ่มจางหายไปด้วย เหลือแต่ความคิดเดียวในใจคือต้องฆ่าหลิงยู่ชานให้ได้
ในไม่ช้าฝูงชนก็พากันลุกฮือเพราะ ซูเหรินอี้ได้เลื่อนระดับเข้าไปถึงระดับที่เก้าของขอบเขตหลอมรวมลมปราณ
ตอนนี้เอง เฮ่อเจี้ยนปิงและหยิงหวูเจี้ยงนึกถึงโอสถชนิดหนึ่งและแสดงสีหน้าตกใจทันที “แยกพวกเขาออกจากกัน!” หยิงหวูเจี้ยงตะโกนบอกหลินยู่ทางคริสตัลสื่อสาร “หลินยู่ ไอ้เจ้าเด็กนั่นใช้โอสถคุ้มคลั่ง!”
หลินยู่เต็มไปด้วยความตื่นตกใจ เขารีบโคจรพลังเตรียมพุ่งไปข้างหน้าเพื่อแยกซูเหรินอี้และ หลิงยู่ชานออกจากกัน แต่แล้วในขณะที่เขากำลังจะได้ก้าวขาออกตัว ในช่วงวินาทีนั้นร่างกายของเขากลับแข็งค้างขยับไม่ได้
“เจ้าไปบอกกับพวกเขาว่าอย่าเข้าไปยุ่ง!” หลิงตู้ฉิงจ้องมองไปที่เวทีและพูดกับกงหยูโดยไม่หันศีรษะกลับ
“รับทราบ นายท่าน!” กงหยูตอบกลับ จากนั้นเขาจึงรีบพุ่งตัวหายไปยังทิศทางของหยิงหวูเจี้ยงและเฮ่อเจี้ยนปิง
เมื่อกงหยูได้พุ่งตัวเข้าไปถึงเขตที่นั่งของประธานงาน เขาได้ใช้พลังกดดันผู้คุ้มกันที่อยู่รอบ ๆ ให้ขยับตัวไม่ได้และเดินเข้าไปหาหยิงหวูเจี้ยงและเฮ่อเจี้ยนปิง “นายท่านของข้าสั่งให้พวกเจ้าไม่ต้องทำอะไร และอย่าแทรกแซงการประลอง!”
“ทำไม?” เฮ่อเจี้ยนปิงถามอย่างงุนงงง “ท่านไม่เห็นเหรอว่าหลิงยู่ซานกำลังตกอยู่ในอันตราย”
กงหยูตอบกลับว่า “พวกเจ้าไม่ต้องกังวลอะไร นายท่านได้คอยดูลูกของเขาเป็นอย่างดีอยู่แล้ว อย่าทำอะไรทั้งสิ้นแค่คอยดูอย่างเงียบ ๆ ก็พอ”
หยิงหวูเจี้ยงและเฮ่อเจี้ยนปิงมองหน้ากันและมองไปที่หลิงตู้ฉิง พร้อมกับพยายามคาดเดาว่าหลิงตู้ฉิงต้องการที่จะทำอะไรกันแน่
หลังจากกงหยูเตือนทั้งสองคนแล้ว กงหยูจึงพุ่งกลับไปยืนอยู่ข้าง ๆ หลิงตู้ฉิงและมองไปที่เวทีด้วยความตื่นตัว
ตอนนี้หลิงยู่ชานซึ่งอยู่บนเวทีเริ่มได้รับบาดเจ็บแล้ว ขอบเขตหลอมรวมลมปราณระดับ 4 เผชิญหน้ากับระดับ 9 ระดับนี้มันต่างกันแทบราวฟ้ากับเหว ที่สำคัญตอนนี้เขากำลังเผชิญหน้ากับระดับ 9 ที่กำลังคลุ้มคลั่งและไม่กลัวความตาย
“ท่านพ่อ พี่ใหญ่ถูกไอ้บ้าคลั่งนั่นระดมทุบตีขนาดนี้ ท่านพ่อจะไม่หยุดพวกเขาจริง ๆ เหรอ?” หลิงว่านถิงถามอย่างเป็นห่วง
หลิงตู้ฉิงจ้องมองไปที่เวทีโดยไม่กระพริบตาและพูดว่า “ว่านถิง การประลองมันก็ต้องมีการบาดเจ็บกันบ้างนิด ๆ หน่อย ๆ เป็นเรื่องปกติ และยิ่งโดยเฉพาะพี่ชายของเจ้า เขาต้องได้รับการฝึกแบบนี้เขาถึงจะก้าวหน้าขึ้น”
หลิงตู้ฉิงต้องการให้หลิงยู่ชานได้รับประสบการณ์การต่อสู้เป็นตายอย่างแท้จริง เขาต้องใช้ประสบการณ์การต่อสู้แบบนี้เพื่อรีดเค้นศักยภาพของหลิงยู่ชานออกมา ซึ่งตอนนี้นับว่าเป็นโอกาสที่ดีที่สุด
หลิงยู่ชานที่อยู่บนเวทีตอนนี้ ถูกซูเหรินอี้ชกเข้าที่หน้าอกและกลิ้งถอยไปกระอักเลือดออกมาหลายกอง
หลิงยู่ชานอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองกลับไปที่หลิงตู้ฉิงและน้อง ๆ ของเขา เขาพบว่าทุกคนลุกขึ้นยืนในขณะที่พ่อของเขายังมีสีหน้าที่เรียบเฉยไม่มีเจตนาที่จะเข้ามาแทรกแซง แม้แต่กรรมการที่อยู่ใกล้ ๆ ก็แทบไม่มีปฎิกิริยาใด ๆ เมื่อเห็นแบบนี้หลิงยู่ชานจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากถอนสายตากลับมาและเพ่งสมาธิไปที่คู่ต่อสู้ของเขาที่กำลังคลุ้มคลั่ง
แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าทำไมท่านพ่อผู้แข็งแกร่งของเขาถึงไม่มีท่าทีอะไรเลย แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาจะต้องพึ่งพาตัวเองได้เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม คนบ้าคลั่งที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้น่ากลัวจนเกินไป เขาไม่รู้วิธีที่จะเอาชนะได้อย่างไร!
หรือว่าเขาจะต้องขอยอมแพ้?
แต่ถ้าเขายอมรับความพ่ายแพ้ เขาคงจะอับอายจนถึงที่สุด
และไม่ใช่แค่จะมีเขาคนเดียวที่ต้องอับอาย แต่ผู้ที่อับอายจะต้องเป็นพ่อและน้อง ๆ รวมถึงทุกคนในเรือนหลิงด้วย!
เขาจะต้องไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ เขาจะยอมแพ้ไม่ได้ เขาต้องชนะ!
เขาบอกตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าในใจ
ว่าแต่มีอะไรให้เขาใช้ต่อสู้ได้บ้าง?
หลิงยู่ชานเริ่มจดจำสิ่งที่หลิงตู้ฉิงได้สอนให้เขา พ่อของเขาเคยกล่าวไว้ หากคิดว่าปํญหาที่เผชิญอยู่ไม่มีทางแก้ มันก็จะไม่มีทางแก้ไขได้ ขอเพียงแค่เชื่อว่าตัวเองสามารถแก้ปัญหาได้ เขาก็สามารถหาทางแก้ปัญหาได้
และอีกอย่าง พ่อของเขาบอกว่าเขามีสายเลือดแห่งทรราชย์สวรรค์ ซึ่งเป็นสายเลือดที่ทรงพลังมาก เขาจะไม่สามารถเอาชนะคนธรรมดาคนนี้ได้อย่างไร?
มันต้องมีวิธี!
หลิงยู่ชานครุ่นคิดในขณะที่เขาต่อสู้