บทที่ 86 สั่นคลอนสวรรค์[รีไรท์]
จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นบนเวทีคนที่มีความสุขที่สุดกับภาพที่เกิดขึ้นขณะนี้คือเจิ้นป่าเจ่าและซูจางเหลียนผู้เป็นพ่อของซูเหรินอี้
พวกเขาหวังว่าซูเหรินอี้จะสามารถสังหารหลิงยู่ชานให้ได้ในทันที
นี่เป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่งสำหรับซูจางเหลียน ผู้ซึ่งมองไปที่เจิ้นป่าเจ่าเป็นครั้งคราวด้วยความภาคภูมิใจเมื่อเขาเห็นลูกชายของเขาทำได้ดีมาก
เขาคิดว่าหากลูกของเขาสังหารหลิงยู่ชานได้สำเร็จ เจิ้นป่าเจ่าก็ควรที่จะทำตามสัญญาที่ให้ไว้ด้วยจริงไหม?
อย่างไรก็ตาม เจิ้นป่าเจ่าไม่สนใจสายตาของซูจางเหลียนแม้แต่น้อย เจิ้นป่าเจ่าพยายามที่จะทำตัวราวกับว่าเขาไม่รู้จักกับซูจางเหลียน เขาทำเช่นนี้เพื่อเผื่อไว้ในกรณีที่มีการสืบสวนเกี่ยวกับเรื่องโอสถคลุ้มคลั่งในภายหลัง เขาจะได้แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เกี่ยวกับความเกี่ยวข้องทั้งหมดของเขากับพวกตระกูลซูรวมไปถึงโอสถที่เขาเป็นผู้มอบให้
แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่เจิ้นป่าเจ่ารู้สึกแปลกใจคืออีกสองคนที่ได้รับโอสถจากเขาไปทำไมพวกเขาถึงไม่บ้าคลั่งเหมือนกับซูเหรินอี้ ถ้าหากพวกเขาทั้งสามคนบ้าคลั่งและโจมตีไปยังหลิงยู่ชานพร้อมกัน ชีวิตของหลิงยู่ชานมันคงจะจบลงไปนานแล้ว
ก่อนหน้านี้เมื่อเขาได้ยินว่า หยิงหวูเจี้ยงและคนอื่น ๆ จำโอสถคลุ้มคลั่งได้และกำลังจะเข้ามาแทรกแซงช่วงเวลานั้นเขารู้สึกประหม่าเล็กน้อย
แต่หลังจากที่เหมือนจะเริ่มมีการแทรกแซงการประลอง จากนั้นก็ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรต่อ
เมื่อเห็นว่าไม่มีการแทรกแซงใด ๆ อีก เจิ้นป่าเจ่าจึงโล่งอก เพราะตราบใดที่เขาบรรลุเป้าหมายได้ทุกอย่างก็ไม่ต้องสนใจ และหากไม่มีใครมีหลักฐานว่าเขาเป็นผู้เกี่ยวข้อง ย่อมไม่มีใครทำอันตรายอะไรกับเขาได้
ในเวลานี้บรรดาผู้เชี่ยวชาญที่รู้จักโอสถคลุ้มคลั่งเริ่มเอ่ยถึงชื่อมันออกมาแล้ว
“โอสถคลุ้มคลั่ง! ข้าได้ยินมาว่ามันเป็นโอสถที่อันตรายมาก หลังจากกลืนมันไปแล้วจะเผาผลาญศักยภาพพรสวรรค์และและลดอายุขัยของผู้ใช้ลงอย่างมาก ฤทธิ์ของมันใช้เพื่อเพิ่มระดับการบ่มเพาะให้สูงขึ้นอย่างฉับพลันภายในระยะเวลาสั้น ๆ” ใครบางคนในฝูงชนอธิบาย
เรื่องนี้ค่อย ๆ แพร่กระจายอย่างช้า ๆ และไม่นานก็ไปถึงหูของหวงตู้กู่ หยุนซ่งเจียง และซูจางเหลียน
เมื่อได้ยินข่าวนี้ทั้งสามก็หน้าซีดทันที พวกเขามองไปที่เจิ้นป่าเจ่าด้วยความตกใจและโกรธเคือง
ตัวพวกเขาเองนั้นเป็นเพียงแค่คนธรรมดาไม่สามารถบ่มเพาะได้ ดังนั้นพวกเขาจึงฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่ลูกของตนเอง
แม้ว่าพวกเขาต้องการบรรลุความฝันผ่านทางลูก แต่ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของพ่อแม่ก็ยังคงอยู่
ตอนนี้พวกเขาได้ยินมาว่าศักยภาพและอายุขัยของลูกจะถูกผลาญไปมาก พวกเขาจะไม่โกรธได้อย่างไร? นอกจากนี้ถ้าลูก ๆ ของพวกเขาตายไป ความหวังทั้งหมดของพวกเขาก็คงต้องพังทลายลงไปด้วย
เมื่อได้ยินเสียงพูดถึงเกี่ยวกับโอสถคลุ้มคลั่ง ใบหน้าของเจิ้นป่าเจ่าเต็มไปด้วยความรังเกียจ เขาแสร้งทำเป็นว่าเขาไม่เห็นการจ้องมองของทั้งสามและมองไปที่เวทีด้วยความสนใจ
เจิ้นป่าเจ่าไม่เชื่อว่าพวกเขาทั้งสามจะกล้าหาเรื่องกับเขาเว้นแต่ทั้งสามครอบครัวจะเบื่อหน่ายกับการมีชีวิตอยู่
ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าทั้งสามจะออกมาเป็นพยานชี้ตัวเขาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องโอสถคลุ้มคลั่ง เขาก็ไม่กลัว เพราะไม่มีหลักฐานเอาผิดใด ๆ หลงเหลือไว้ให้สืบสาวถึงเขาได้
บนเวทีใบหน้าของหวงหลิงซานและหยุนเฟยหาวก็ซีดลงเช่นกัน พวกเขาไม่เคยคิดว่าโอสถที่ใช้ในการเพิ่มระดับการบ่มเพาะของพวกเขาคือโอสถคลุ้มคลั่ง ตอนนี้ทั้งศักยภาพและอายุขัยถูกผลาญไปโดยที่พวกเขาไม่ทราบเลยว่าพวกมันถูกเผาผลาญไปมากแค่ไหนและไม่รู้ว่าต่อจากนี้อนาคตด้านการบ่มเพาะของตนเองจะเป็นเช่นไร
เด็กทั้งสองหน้าซีดและมองหน้ากันอย่างเศร้า ๆ
เมื่อพวกเขาเหลือบมองไปยังท่าทีของพ่อพวกเขา พวกเขาจึงเริ่มรู้แล้วว่าตัวเองถูกเจิ้นป่าเจ่าหลอกใช้
แต่ด้วยอำนาจและอิทธิพลของตระกูลเจิ้น พวกเขาจะทำอะไรได้?
หยุนเฟยหาวก้มศีรษะลง หลังจากคิดสักพักเขาก็กระซิบกับหวงหลิงซานว่า “เจ้ากินไปกี่เม็ด?”
“หนึ่ง!” หวงหลิงซานตอบ “แล้วเจ้าล่ะ?”
“สาม!” หยุนเฟยหาวกล่าวด้วยความรู้สึกหดหู่
พวกเขาอยู่ในชั้นเรียนเดียวกันและทั้งสองฝ่ายคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี จึงไม่จำเป็นที่จะปกปิดกัน แม้ว่าพวกเขาจะเต็มไปด้วยความเศร้าโศกและขุ่นเคือง แต่พวกเขาก็ดีใจที่ไม่ได้กินโอสถคลุ้มคลั่งทั้งหมด มิฉะนั้นจุดจบของพวกเขาก็คงไม่ต่างจากซูเหรินอี้
ในขณะนี้ระดับการบ่มเพาะของซูเหรินอี้ได้มาถึงจุดสูงสุดของระดับที่เก้าแล้ว ซึ่งทำให้กลิ่นอายพลังที่เขาปล่อยออกมาได้กดดันหลิงยู่ชานเป็นอย่างมาก
ในทางกลับกัน หลิงยู่ชานก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนเรือที่โดดเดี่ยวในมหาสมุทรที่กำลังถูกสายฝนและคลื่นลมแรงของซูเหรินอี้ซัดสาดเข้าใส่ ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยบาดแผลและคราบเลือด
อย่างไรก็ตาม สายตาของหลิงยู่ชานยังคงมุ่งมั่น แม้ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บและล้มลงกับพื้น เขาก็จะลุกขึ้นทันทีและพยายามทำทุกอย่างเพื่อเอาชนะซูเหรินอี้
“ท่านพ่อ นี่ยังไม่พออีกเหรอ?” หลิงว่านถิงและหลิงฟ่างหัวใกล้จะน้ำตาไหล
สำหรับหลิงไช่หยุน นางเอื้อมมือไปจับมือของหลิงตู้ฉิงแล้วเขย่า เห็นได้ชัดว่านางต้องการให้หลิงตู้ฉิงทำอะไรสักอย่าง
ลูกชายคนอื่น ๆ ก็มองไปที่หลิงตู้ฉิงตลอดเวลา พวกเขาทุกคนเชื่อว่ามีเพียงหลิงตู้ฉิงที่สามารถหยุดความทรมานนี้ของพี่ใหญ่พวกเขาได้
“นายท่าน วันนี้พอก่อนดีไหม?” ในที่สุดกงหยูก็พูดออกมา
หลิงตู้ฉิงยังคงไม่ไหวติงและพูดอย่างเรียบเฉย “ไม่ต้องพูดมาก ดูให้ดี ๆ!”
“ท่านพ่อยังจะให้ดูอะไรอยู่อีก พี่ใหญ่ของเรากำลังจะตายอยู่แล้ว!” หลิงว่านถิงตะโกนอย่างโกรธเคือง
หยิงหวูเจี้ยงและเฮ่อเจี้ยนปิงต่างก็ขมวดคิ้วขณะที่พวกเขามองไปยังหลิงตู้ฉิง
พวกเขาไม่รู้ว่าหลิงตู้ฉิงตั้งใจจะทำอะไร
“ข้าควรส่งคนไปแยกพวกเขาไหม?” หยิงหวูเจี้ยงกล่าวกับเฮ่อเจี้ยนปิง
แม้ว่ากงหยูจะพยายามเกลี้ยกล่อมหลิงตู้ฉิง แต่เมื่อเขาเห็นว่าหลิงตู้ฉิงยังคงยืนยันจะไม่ทำอะไร เขาจึงทำได้แต่รอคำสั่ง “รับทราบแล้ว นายท่าน หากท่านต้องการให้ข้าทำอะไรโปรดบอกข้าได้ทันที!”
เมื่อกงหยูพูดจบ ทันใดนั้นรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลิงตู้ฉิง เขาพูดว่า “ดีมาก ยู่ชานพัฒนาขึ้นอีกแล้ว”
ทุกคนรีบมองไปที่เวทีประลอง
ขณะนี้บนเวที รัศมีสีเลือดที่มองเห็นได้กำลังแพร่ออกมาจากร่างของหลิงยู่ชาน อย่างไรก็ตามเมื่อรัศมีสีเลือดนี้รวมกับรูปลักษณ์ที่บาดเจ็บเปื้อนเลือดของเขา มันทำให้ร่างกายเขาเหมือนถูกอาบไปด้วยเลือด
เมื่อรัศมีสีเลือดปรากฏขึ้น พลังในร่างของหลิงยู่ชานจึงเริ่มผันผวนราวกับว่าความแข็งแกร่งและพลังวิญญาณของเขาเพิ่มขึ้นกว่าสิบเท่า
ในขณะนี้ในสายตาของหลิงยู่ชานการเคลื่อนไหวทั้งหมดของซูเหรินอี้เริ่มช้าลง ไม่มีแม้แต่ครั้งเดียวที่หมัดของซูเหรินอี้จะสามารถสัมผัสร่างกายของเขาได้
แต่นั่นไม่เพียงพอที่เขาจะเอาชนะคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งตรงหน้าได้?
ตอนนี้เขาทำได้แค่หลบ ไม่มีทางที่จะทำร้ายฝั่งตรงข้ามได้
ความแตกต่างในระดับการบ่มเพาะนั้นมากเกินไป เขาจะเอาชนะได้อย่างไร?
ในขณะที่เขากำลังคิดหาคำตอบ จู่ ๆ หมัดที่พร่ามัวของซูเหรินอี้ปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา เขารู้ว่าหมัดนี้เขาไม่สามารถทำลายหรือหลบมันได้
ดังนั้นเขาจึงหลับตาและหลีกเลี่ยงการโจมตีของซูเหรินอี้โดยสัญชาตญาณและใช้สติทั้งหมดของเขาเพื่อหลบหมัดนี้
“เขาหลับตาลงจริง ๆ เด็กคนนั้นยอมตายแต่ไม่ยอมประกาศยอมแพ้งั้นเหรอ?”
“นี่เขาจะหัวแข็งเกินไปแล้ว ถึงแม้ว่ามันจะดูมีศักดิ์ศรีที่ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ถ้าหากต้องตายลงไปแบบนี้ศักดิ์ศรีมันจะมีค่าอะไรกัน!”
“ไอ้บ้าเอ้ย ถ้าเจ้าอยากนอนก็กลับบ้านไปซะ! เจ้าอยากตายนักหรือไง?”
ฝูงชนด้านล่างตะโกนเสียงดังพยายามกระตุ้นหลิงยู่ชานให้ลืมตา
อย่างไรก็ตามไม่มีเสียงใดที่มาจากด้านล่างเวทีสามารถเล็ดลอดเข้ามาได้ ขณะนี้รอบเวทีได้ถูกหลิงตู้ฉิงสร้างม่านปิดกั้นเสียงไว้ทั้งหมด
ทันใดนั้นฝูงชนก็ส่งเสียงร้องด้วยความตกตะลึงอีกครั้ง เพราะซูเหรินอี้ที่บ้าคลั่งไปแล้วได้ทะลวงไปยังระดับ 10
ผมของซูเหรินอี้ได้เริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาวและร่างกายของเขาเริ่มเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นและมีรอยแตกตามใบหน้าของเขา และความบ้าคลั่งของเขานั้นดูเหมือนจะเพิ่มพูนขึ้นมากกว่าเดิม ตอนนี้ในหัวของเขามีแต่คำว่าฆ่าหลิงยู่ชานเพียงคำเดียว
ซูเหรินอี้ที่ตอนนี้พลังทะลวงไปถึงระดับ 10 เป็นเรียบร้อย เขาได้ปล่อยหมัดที่อัดแน่นไปด้วยพลังวิญญาณระดับ 10 ไปยังศีรษะของหลิงยู่ชาน
หากหมัดนี้เข้าเป้าของมัน หัวของหลิงยู่ชานคงจะระเบิดเละไม่เหลือซากแน่นอน
หลิงยู่ชานเมื่อเผชิญกับความเร็วหมัดของผู้บ่มเพาะระดับ 10 ขนาดนี้ เขาไม่สามารถรับมือกับมันได้ด้วยสัญชาตญาณของเขาได้อีกต่อไปแล้ว
เจิ้นป่าเจ่าเมื่อเห็นภาพแบบนี้ เขายิ้มด้วยความพึงพอใจ
แม้แต่หลิงตู้ฉิงตอนนี้ก็เริ่มขมวดคิ้ว เขาขยับมือและพร้อมที่จะใช้พลังของหลิงจู้ทันทีหากสถานการณ์อยู่เหนือการคำนวนของเขา
แต่เมื่อหลิงตู้ฉิงสัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างที่ไหลออกมาจากหลิงยู่ชาน เขาก็ผ่อนคลายลงลงทันทีในขณะที่มองไปที่หลิงยู่ชานด้วยรอยยิ้มที่พึงพอใจ
ในขณะนี้ร่างของหลิงยู่ชานบนเวทีได้หยุดยืนนิ่งไม่ไหวติง
เมื่อหลับตาหลิงยู่ชานเริ่มทบทวนความรู้สึกที่เขาออกหมัดไปทั้งหมดตั้งแต่ที่หลิงตู้ฉิงบอกให้เขาฝึกตั้งแต่วันแรก เขารู้สึกราวกับว่าเงาของหมัดทั้งหมดที่เขาได้เคยฝึกออกไปทั้งหมดค่อย ๆ หายไปเหลือเพียงหมัดเดียว
หมัดเดียวที่เขาเห็นอยู่นี้เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ และเรื่อย ๆ จนเขาได้บรรลุว่านี้คือหมัดที่พ่อของเขาเคยสอน นี่เป็นกระบวนท่าแรกของหมัดพ่อเขา ‘สั่นคลอนสวรรค์!’
“ข้าเข้าใจแล้ว!” หลิงยู่ชานพึมพำกับตัวเอง เขาทำตามท่าทางการออกกระบวนท่านี้ที่พ่อของเขาเคยสอนและต่อยออกไปข้างหน้า
หมัดนี้ดูเหมือนช้า แต่มันพุ่งเข้าหาหมัดของซูเหรินอี้ที่ปล่อยออกมาก่อนหน้าอย่างแม่นยำ
เมื่อหมัดทั้งสองปะทะกัน เสียงดังสนั่นและฝุ่นผงที่อยู่บนลานได้ฟุ้งกระจายไปตามแรงปะทะทันที
ในวินาทีที่หมัดปะทะกัน หมัดที่เหี่ยวย่นของซูเหรินอี้ก็เริ่มแหลกสลายกระจายเป็นหมอกเลือดไปตามทิศทางหมัดของหลิงยู่ชาน
ไล่จากหมัดลามไปยังศอก แขน ลำตัว และขาจนร่างของซูเหรินอี้สลายกลายเป็นหมอกเลือดสีแดงที่ยังลอยอยู่บนลานประลอง
ซูเหรินอี้ผู้บ้าคลั่งตอนนี้เหลือแค่เพียงแต่ชื่อเท่านั้น!
ในขณะดียวกันหลังจากปล่อยหมัดนี้จบ ร่างกายของหลิงยู่ชานก็ค่อย ๆ ร่วงพับลงไปบนพื้นลานประลอง….