บทที่ 87 ถือโอกาสฆ่า[รีไรท์]
ในขณะที่ร่างของหลิงยู่ชานล้มลงใกล้จะถึงพื้น เงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็วประคองเขาไว้ก่อนที่จะถึงพื้น
คน ๆ นี้ไม่ใช่ใครอื่นใดนอกจากหลิงตู้ฉิง
หลิงตู้ฉิงที่ประคองรับตัวหลิงยู่ชานไว้ได้ทันแล้ว เขาจึงหันหลังกลับอุ้มหลิงยู่ชานพุ่งกลับไปที่ที่เขาเคยนั่งดูการประลอง
หลังจากที่หลิงตู้ฉิงพาหลิงยู่ชานออกไปจากลานประลอง ทุกคนที่อยู่บนลานประลองก็เริ่มสามารถขยับได้
คนที่อยู่บนลานประลองทั้ง 4 คน หลินยู่ หวงหลิงซาน หยุนเฟยหาว และหวูปิง ต่างตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมเมื่อกี้จู่ ๆ พวกเขาก็ไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้เลย
และมีอีกเรื่องที่ทำให้พวกเขาตะลึงยิ่งกว่า คือผลการต่อสู้ของหลิงยู่ชานและซูเหรินอี้
มันเป็นไปได้ยังไงที่คนที่อยู่ในขอบเขตหลอมรวมลมปราณระดับ 4 จะสามารถฆ่าอีกคนที่อยู่ในระดับ 10 ได้ แถมคนที่อยู่ในระดับ 10 ยังเป็นคนที่ใช้โอสถคลุ้มคลั่งอีกต่างหาก
ตัดกลับมาที่หลิงตู้ฉิง ในตอนนี้เขาอุ้มหลิงยู่ชานมายังจุดที่นั่งของพวกเขาเรียบร้อย
บรรดาเด็ก ๆ ที่เป็นห่วงพี่ชายต่างพากันมารุมล้อม พวกเขาต่างรุมกันถามหลิงตู้ฉิง “ท่านพ่อ พี่ใหญ่เขาจะเป็นอะไรไหม?”
หลิงตู้ฉิงยิ้มและตอบกลับ “พี่ของพวกเจ้าไม่เป็นอะไรหรอก เขาแค่ใช้พลังเกินตัวไปหน่อยน่ะ ให้เขาได้พักสักหน่อยก็หายเอง”
บรรดาเด็ก ๆ เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็โล่งใจ แต่หลิงว่านถิงยังคงแขวะพ่อของนาง “ก็มันไม่ใช่ความผิดของท่านหรือไง ท่านพ่อ หากท่านช่วยพี่ใหญ่ตั้งแต่แรก พี่ใหญ่ก็คงไม่สลบไปแบบนี้!”
หลิงตู้ฉิงตอบอย่างจนใจ “ก็ถ้าพ่อช่วยพี่ใหญ่ของเจ้า แล้วพี่ใหญ่ของเจ้าจะสำแดงพลังออกมาได้มากขนาดนี้งั้นเหรอ? ต้องให้พี่ของเจ้าเผชิญกับสถานการณ์เป็นตายเท่านั้น เขาถึงจะสามารถบรรลุพรสวรรค์ขั้นต่อไปได้”
หลิงตู้ฉิงยึดมั่นในแนวทางการเผชิญสถานการณ์เป็นตายอย่างมาก เนื่องจากในชีวิตที่แล้วของเขา เขาใช้แนวทางนี้ในการบรรลุขอบเขตอยู่หลายต่อหลายครั้ง จนกลายเป็นเซียนที่อยู่เหนือเซียนทั้งหมด
โม่หยูถังที่อยู่ข้าง ๆ เมื่อตรวจสอบอาการของหลิงยู่ชานเรียบร้อยและเห็นว่าไม่เป็นอะไร เขาจึงหันไปถามกับหลิงตู้ฉิงด้วยสีหน้าจริงจัง “นายท่าน เมื่อกี้นายน้อยได้เข้าสู่สภาวะหยั่งรู้ เจตจำนงแห่งหมัดงั้นหรือ?”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าหนึ่งครั้งและตอบ “เมื่อครู่ยู่ชานได้หยั่งรู้ เจตจำนงแห่งหมัดได้ราว ๆ หนึ่งในหมื่นส่วน แต่ว่าเจตจำนงที่ยู่ชานเพิ่งหยั่งรู้นั้นไม่ใช่เจตจำนงหมัดของเขาเอง แต่เป็นเจตจำนงที่มาจากหมัดของข้า แต่ยังไงซะการที่เขาหยั่งรู้ในตอนนี้นับเป็นเรื่องที่ดี เพราะมันจะช่วยให้ในอนาคตเขาจะสามารถหยั่งรู้เจตจำนงของหมัดตนเองได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม”
“ลูกของท่านปลอดภัยไหม!” เฮ่อเจี้ยนปิงและหยิงหวูเจี้ยงได้รีบวิ่งเข้ามาถามหลิงตู้ฉิง
เหตุผลที่ทั้งคู่รีบวิ่งเข้ามาถามอาการหลิงยู่ชานกับหลิงตู้ฉิง เนื่องจากพวกเขากลัวว่าถ้าหลิงยู่ชานนั้นเป็นอะไรไปขึ้นมา และหากหลิงตู้ฉิงได้ทราบถึงแผนการที่พวกเขาวางแผนให้หลิงยู่ชานเข้าร่วมการประลอง พวกเขาย่อมตกเป็นเป้าหมายแรก ๆ ที่หลิงตู้ฉิงจะคิดบัญชี
“เขาไม่เป็นอะไร” หลิงตู้ฉิงพยักหน้าให้กับเฮ่อเจี้ยนปิงและหยิงหวูเจี้ยง
“อ่า ดีแล้ว ดีแล้วที่ไม่เป็นอะไร” หยิงหวูเจี้ยงเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็โล่งอก จากนั้นเขาจึงเริ่มยกยอหลิงตู้ฉิง “ท่านหลิง ลูกชายของท่านนั้นน่าเลื่อมใสนัก มีอายุเพียงไม่ถึง 10 ปีแต่กลับมีความสามารถเอาชนะผู้ที่มีระดับบ่มเพาะเหนือกว่าถึง 6 ระดับ ข้าขอนับถือ ๆ ”
เฮ่อเจี้ยนปิงเองก็ไม่ยอมน้อยหน้าศิษย์น้องของเขา เขาเองก็ได้เข้ามาร่วมเยินยอด้วยเช่นกัน
อันที่จริงทั้งหยิงหวูเจี้ยงและเฮ่อเจี้ยนปิงนั้นตกตะลึงเป็นอย่างมาก แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าหลิงตู้ฉิงนั้นมีความพิศดารที่ไม่เหมือนคนอื่น แต่เมื่อพวกเขาได้มาเห็นกับตาตัวเองนั้นมันทำให้พวกเขายิ่งตกตะลึงหนักเข้าไปใหญ่
พ่อแบบไหนกันที่สามารถสอนลูกให้เอาชนะคนที่อยู่เหนือกว่าตัวเอง 6 ระดับได้?
“ท่านหลิง สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขอให้ท่านวางใจ ข้าจะให้คนของข้าสืบให้รู้แน่ชัดว่าใครเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลัง ข้าให้สัญญาว่าข้าจะให้คำอธิบายที่เหมาะสมกับท่านได้แน่นอน” หยิงหวูเจี้ยงประสานมือและมองไปยังหลิงตู้ฉิงอย่างจริงจัง
ในขณะเดียวกัน ได้มีเสียงร้องไห้คร่ำครวญเสียงหนึ่งดังมาจากทางด้านที่นั่งของผู้ปกครองของเด็กที่เข้าร่วมการแข่งขัน “เจิ้นป่าเจ่า! เจ้าเอาชีวิตลูกของข้าคืนมา!”
เสียงคร่ำครวญของคน ๆ นั้นไม่ใช่ใครอื่นใดนอกเสียจากซูจางเหลียนผู้ที่ต้องเผชิญกับการเสียลูกชายที่เป็นความหวังของตระกูล
ซูจางเหลียนผู้น่าสงสารนอกจากที่ลูกชายของเขาจะตายแล้ว เขายังต้องทนเห็นภาพอันน่าอนาถของลูกชายที่ก่อนจะตายต้องกลายเป็นเด็กชราที่มีผมหงอกพร้อมกับผิวพรรณที่กลายเป็นเหี่ยวย่นมีริ้วรอยแตกระแหงไปทั่ว เนื่องจากผลข้างเคียงของโอสถคลุ้มคลั่งที่เจิ้นป่าเจ่าเป็นผู้มอบให้ เขาที่เป็นพ่อตอนนี้มีความรู้สึกที่อยากจะตายตามลูกชายเขาให้รู้แล้วรู้รอดไป
ตอนนี้ในเมื่อเขาเสียลูกชายที่เป็นดั่งความหวังสุดท้ายไปแล้ว ก็เหมือนกับว่าในตอนนี้ชีวิตเขาไม่มีอะไรจะเสียอีก เขาจึงกล่าวหาเจิ้นป่าเจ่าอย่างไม่เกรงกลัวความตาย
“ถ้าไม่ใช่เจ้าที่เป็นคนให้โอสถนั้นกับลูกข้า และสั่งให้ลูกข้ามาสังหารหลิงยู่ชาน ลูกข้าก็คงจะไม่ตายในวันนี้!!” ซูจางเหลียนโห่ร้องด้วยความเจ็บปวด
เจิ้นป่าเจ่าตอบกลับอย่างเย็นชา “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพูดถึงเรื่องอะไรอยู่ ข้าไม่เคยเห็นหน้าเจ้าด้วยซ้ำไป แล้วเจ้าจะมาโทษข้าว่าลูกชายของเจ้าตายเพราะข้าได้ยังไง?”
เมื่อได้เห็นเหตุการณ์นี้ หยิงหวูเจี้ยงและเฮ่อเจี้ยนปิงต่างมองหน้ากัน พวกเขารู้ได้ทันทีว่าผู้อยู่เบื้องหลังของเหตุการณ์นี้คือเจิ้นป่าเจ่าอย่างแน่นอน แต่ปัญหาสำคัญคือ พวกเขาไม่มีหลักฐาน…
เนื่องด้วยเจิ้นป่าเจ่านั้นไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป เขามีฐานะเป็นลูกของเจิ้นฟูเห่าที่เป็นผู้บัญชาการกองทัพทมิฬแห่งเมืองหลวง หากไร้ซึ่งหลักฐานแล้วพวกเขาไม่มีวันทำอะไรได้แน่นอน
หยิงหวูเจี้ยงจ้องไปยังซูจางเหลียน และพูดด้วยน้ำเสียงตักเตือน “หากเจ้าจะกล่าวหาใครเจ้าควรจะมีหลักฐานเสียก่อน หากเจ้าไม่มีเจ้าควรจะต้องระวังผลที่ตามมาในการกล่าวหาผู้อื่นส่งเดช!”
หยิงหวูเจี้ยงกล่าวเช่นนี้เพื่อตักเตือนซูจางเหลียนแบบอ้อม ๆ ให้หุบปากไปก่อนหากไม่อยากให้ตระกูลซูของตัวเองต้องซวยไปด้วยเพราะเจิ้นป่าเจ่า
ซูจางเหลียนเมื่อได้ยินคำตักเตือนเขาก็ก้มหน้ายืนร้องไห้ เขายืนครุ่นคิดทบทวนในช่วงเวลาที่เขาไปเจอกับเจิ้นป่าเจ่าทั้งน้ำตา ซึ่งหลังจากการคิดทบทวน เขาก็นึกได้ว่าเขาไม่มีหลักฐานใดเลยในการมัดตัวเจิ้นป่าเจ่าผู้นี้
หากพูดถึงพยานแล้วล่ะก็ คนที่เห็นว่าเขาได้พูดคุยกับเจิ้นป่าเจ่านั้น ล้วนเป็นคนของเจิ้นป่าเจ่าทั้งหมด
หยิงหวูเจี้ยงและเฮ่อเจี้ยนปิงต่างมองหน้ากันอีกครั้งด้วยสายตาหมดหวัง
ในระหว่างที่กำลังไร้ทางหาหลักฐาน หลิงตู้ฉิงได้เดินขึ้นไปยังบนเวทีลานประลอง เขาได้มองไปที่ใบหน้าของหวงหลิงซานและหยุนเฟยหาว หลิงตู้ฉิงพูดขึ้น “พวกเจ้าได้กลืนโอสถคลุ้มคลั่งลงไปด้วยรึเปล่า? และพวกเจ้าเองก็ได้รับคำสั่งมาให้สังหารลูกชายข้าด้วยใช่ไหม?”
เด็กทั้งสองเมื่อได้ยินคำถามเช่นนี้ก็อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ไม่กล้าตอบอะไร
“อันที่จริง ข้าสามารถล้างผลข้างเคียงของโอสถคลุ้มคลั่งให้พวกเจ้าได้ แต่ข้าต้องการฟังความจริงจากปากของพวกเจ้า!” หลิงตู้ฉิงเริ่มโน้มน้าวพวกเขาช้า ๆ
หวงหลิงซานนางได้ก้มหน้าลงและสารภาพด้วยน้ำเสียงอู้อี้ “ขะ ข้า ได้รับคำสั่งมาให้สังหารลูกของท่านจริง แต่ข้าไม่ได้ตั้งใจมาสังหารเขานะ ข้าแค่ไม่ชอบขี้หน้าเขาเฉย ๆ แค่นั้นเอง”
“ข้าเข้าใจเจ้า” หลิงตู้ฉิงถามต่อ “เรื่องแบบนี้ข้าคิดว่าต้องไม่ใช่เจ้าแน่นอนที่เป็นผู้รับคำสั่งมาโดยตรง นี่จะต้องเป็นความคิดของพ่อแม่เจ้าแน่ ๆ ไหนบอกข้าสิ พ่อของเจ้าอยู่ตรงไหน?”
หวงตู้กู่เมื่อได้ยินเช่นนั้น ตัวของเขารีบกระเด้งขึ้นมาจากเก้าอี้ที่นั่งทันทีพร้อมกับกล่าวขอความเห็นใจ “ท่านหลิง ดะ ได้ โปรดอภัยให้ความโง่เขลาของข้าด้วย…ข้าผิดไปแล้ว ได้โปรดอย่าได้โทษลูกของข้าเลย เรื่องทั้งหมดนี้มันเป็นเพราะข้าคนเดียวที่ปล่อยให้ความโลภมันบังตา ลูกของข้านางยังเด็กนัก ได้โปรดท่านหลิง โปรดละเว้นนางด้วย หากท่านจะฆ่าก็ขอให้มาฆ่าข้าแทน แต่เรื่องราวทั้งหมดนี้ผู้ที่สั่งการคือเจิ้นป่าเจ่า!”
เจิ้นป่าเจ่าเมื่อได้ยินคำกล่าวพาดพิงถึงเขาจากหวงตู้กู่จึงได้ตะโกนขึ้น “เจ้าก็มากล่าวหาข้าอีกคนงั้นเหรอ ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่รู้เรื่อง หากเจ้าไม่มีหลักฐานอะไรเจ้าจะมาปรักปรำข้าแบบนี้ไม่ได้!”
หลังจากหลิงตู้ฉิงฟังที่หวงตู้กู่สารภาพและดูจากอาการคร่ำครวญของซูจางเหลียน เขาจึงมองไปที่เจิ้นป่าเจ่าที่เอาแต่อ้างคำเดิม ๆ เกี่ยวกับหลักฐานด้วยสีหน้าดูถูก อันที่จริงหลิงตู้ฉิงนั้นก็รู้อยู่ตั้งแต่แรกแล้วว่าเรื่องทั้งหมดนี้มันเป็นฝีมือของเจิ้นป่าเจ่า แต่ที่เขาต้องให้คนที่เกี่ยวข้องออกมาพูดให้ทุกคนได้ยินนั่นก็เพราะ
เวลาที่เขาฆ่าเจิ้นป่าเจ่าจะได้ไม่มีใครสามารถ ครหาเขาได้ว่าเป็นพวกไร้หัวใจไม่มีเหตุผล!
หลิงตู้ฉิงสะบัดหลิงจู้หนึ่งครั้งส่งกระแสพลังวิญญาณออกไปจับตัวเจิ้นป่าเจ่าที่อยู่ด้านล่างลานประลองไว้และดึงเขาขึ้นมายังบนลานประลอง
“หลิงตู้ฉิง แกรู้ตัวไหมว่าแกกำลังทำอะไรอยู่! แกจะไปเชื่อไอ้คนพวกนี้มันปรักปรำข้าไม่ได้ และถ้าหากแกฆ่าข้าทั้งที่ไม่มีหลักฐาน พ่อของข้าจะต้องไม่ปล่อยแกกับลูก ๆ ของแกไว้แน่นอน!”
“อันที่จริง ข้าไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานอะไรเพื่อใช้เป็นเหตุผลในการฆ่าเจ้า ตอนนี้ข้าก็แค่เบื่อที่จะให้สวะอย่างเจ้ามาสร้างความรำคาญให้ข้าอย่างไม่หยุดหย่อน และในเมื่อตอนนี้เจ้าก็อยู่ที่นี่พอดี ข้าขอถือโอกาสนี้ฆ่าเจ้าเพื่อตัดความรำคาญออกไปเลยซะจะดีกว่า” หลิงตู้ฉิงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“เจ้ากล้าเหรอ!? พ่อของข้าเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดารานะ เจ้ากล้าเหรอ?” เจิ้นป่าเจ่าในตอนนี้เขาเริ่มหวาดกลัวหลิงตู้ฉิงขึ้นมาจริง ๆ เขาจึงพยายามยกพ่อเขาขึ้นมาอ้าง
หลิงตู้ฉิงได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะในลำคอ และง้างมือเตรียมจะซัดฝ่ามือฆ่าเจิ้นป่าเจ่าให้ตายลงเสียตรงนี้
แต่ก่อนที่ซัดฝ่ามือลงไปหลิงตู้ฉิงได้เหลือบมองไปยังท้องฟ้าที่จู่ ๆ ได้มีพลังวิญญาณสายหนึ่งพุ่งลอยขึ้นไป
“ขอบเขตรวมแสงดารา? ใครกันที่ทะลวงขอบเขตรวมแสงดาราได้ในเวลานี้?” เหล่าฝูงชนต่างตะโกนสงสัยกันอย่างชุลมุน
ตอนนี้ปรากฎการณ์การทะลวงขอบเขตรวมแสงดาราได้กลบเรื่องประเด็นของเจิ้นป่าเจ่าไปเรียบร้อย
เจิ้นป่าเจ่าที่มองเห็นว่าลำแสงที่พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้านั้นเป็นทิศทางเดียวกับที่ตั้งของคฤหาสน์ตระกูลเขา เจิ้นป่าเจ่าจึงรีบหยิบคริสตัลสื่อสารออกมาและตะโกนออกมาดังลั่น “จี้ชิงหยวน ผู้อาวุโสหวูทะลวงขอบเขตสำเร็จแล้วใช่ไหม หากเขาทะลวงขอบเขตสำเร็จแล้วเจ้าจงรีบไปบอกเขาเดี๋ยวนี้ให้รีบมาช่วยข้าที่จัตตุรัสเมืองด่วน!”