“เจ้า… รักเยี่ยโยวเหยามากหรือ? ”
จู่ๆ จงเหมยจวงก็ถามคำถามนี้กับซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีชะงัก นางไม่เข้าใจความหมายของจงเหมยจวง จึงไม่ได้ตอบอันใด
“หากวันหนึ่งเจ้าค้นพบว่าเขาไม่ได้ดีอย่างที่เจ้าคิด หรือเขาหลอกลวงเจ้า ความรักของเจ้ายังจะคงอยู่หรือไม่? ”
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วมุ่น ยิ่งรู้สึกสงสัยมากขึ้น “ท่านหมายความว่าอย่างไรกันแน่? ”
จงเหมยจวงยกยิ้มมุมปากอย่างสงบ
“ไม่มีอันใด ข้าเพียงถามเปรียบเทียบเท่านั้น”
ใบหน้าของซูจิ่นซียังปรากฏความสงสัย
“จิ่นซี ความจริงเจ้าไม่ต้องเรียกข้าว่าฮองเฮาแล้ว เจ้าสามารถเรียกข้าว่าท่านอา หรือเรียกท่านอาเหมยจวงก็ได้”
แววตาของซูจิ่นซีเต็มไปด้วยคำถาม นางไม่ได้พูดอันใด รอให้จงเหมยจวงพูดต่อ
“มารดาของเจ้าคือจงซีจือ นางเป็นศิษย์ลำดับที่สามของสำนักแพทย์สกุลจง ข้ามาจากสำนักปรุงยาของสกุลจง แม้พวกเราจะอยู่คนละสำนัก แต่ก็เป็นคนของสกุลจงเหมือนกัน สายเลือดในร่างล้วนมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน ตอนที่มารดาเจ้ายังมีชีวิตอยู่ พวกเราเคยเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันยิ่งนัก”
คนหนึ่งคือจงซีจือ คนหนึ่งคือจงเหมยจวง พวกนางล้วนเป็นคนของสกุลจง
จากคำตอบนี้ ซูจิ่นซีไม่ได้แปลกใจหรือประหลาดใจกับสถานะทั่วไปของจงเหมยจวงและมารดาตนเอง ซูจิ่นซีเดาได้ตั้งแต่แรกแล้ว นางไม่รู้เพียงสถานะที่แท้จริงของตนเท่านั้น
“พวกท่านเป็นชาวแคว้นหนานหลี เหตุใดตอนนั้นจึงมายังแคว้นจงหนิง? เหตุใดท่านจึงอภิเษกสมรสเข้ามายังวังหลวงแคว้นจงหนิง และเหตุใดมารดาข้าจึงแต่งงานเข้าสกุลซู? ก่อนซูจ้งจะเสียชีวิต เขาบอกว่าข้าไม่ใช่บุตรสาวแท้ๆ ของเขา เช่นนั้นบิดาของข้าคือผู้ใด? ตอนนั้นที่เมืองเจียงหลิงเกิดเหตุอันใดขึ้นกันแน่? มารดาของข้าเสียชีวิตด้วยเหตุใด? ”
คำถามเหล่านี้ ซูจิ่นซีต้องการถามจงเหมยจวงนานแล้ว เพียงอึดใจเดียวนางก็ถามออกมาทั้งหมด
จงเหมยจวงดูราวกับไม่แปลกใจ นางขมวดคิ้วด้วยความเศร้าโศกเล็กน้อย
“เด็กน้อย นี่เป็นบุญคุณความแค้นของคนรุ่นก่อน เจ้าจะดื้อดึงไปเพื่ออันใด? ”
ความจริงซูจิ่นซีไม่ได้ต้องการดื้อดึง นางมาจากโลกอนาคต ทว่าความคิดของร่างกายนี้ไม่ใช่ของนางเพียงผู้เดียว มันเป็นความคิดของคนทั้งสอง บางครั้งมีเรื่องมากมายที่นางไม่สามารถควบคุมได้
จงเหมยจวงเห็นความมุ่งมั่นและแน่วแน่จากแววตาของซูจิ่นซี
“หากความจริงโหดร้ายยิ่งกว่าสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้ เจ้า… ยังต้องการรู้อีกหรือไม่? ”
“แม้จะโหดร้ายยิ่งกว่านี้ อย่างน้อย… ข้าก็ควรได้รับรู้และเข้าใจ” ท่าทางของซูจิ่นซียังคงหนักแน่น
คำตอบของซูจิ่นซีอยู่เหนือความคาดหมายของจงเหมยจวง นางมองเยี่ยโยวเหยาที่นอนอยู่บนเตียง ครู่หนึ่งจึงเอ่ยปากพูดกับซูจิ่นซี
“หากความจริงทำให้เจ้ากับเยี่ยโยวเหยาต้องแยกจากกันตลอดไปเล่า เจ้ายังอยากรู้อีกหรือไม่? ”
ทำให้นางกับเยี่ยโยวเหยาต้องแยกจากกัน?
คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร?
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ ทว่านางกลับครุ่นคิดคำพูดทั้งหมดของจงเหมยจวงอย่างตั้งใจ
“หากเป็นอย่างที่ท่านพูด ความจริงอาจเกี่ยวข้องกับข้าและเยี่ยโยวเหยา อย่างน้อยก็ควรให้พวกเรารู้ว่าเป็นเรื่องใด และให้พวกเราเลือกเองไม่ใช่หรือ? ”
จงเหมยจวงรู้สึกแปลกใจกับคำตอบของซูจิ่นซี ผ่านไปครู่ใหญ่นางจึงยกยิ้มมุมปาก
“เจ้าช่างเหมือนมารดาของเจ้าจริงๆ ”
ซูจิ่นซีไม่ได้สนใจว่าตนเองเหมือนกับจงซีจือเพียงใด
“เช่นนั้น ตอนนี้ท่านตอบคำถามของข้าได้แล้วใช่หรือไม่? ท่านอาเหมยจวง? ”
คำว่า ‘ท่านอาเหมยจวง’ ที่ซูจิ่นซีเรียกนั้นมีความหมายลึกซึ้ง ทว่านางไม่ได้พูดจากใจ หรือความรู้สึกอันดีเมื่อได้พบหน้าญาติมิตร
จงเหมยจวงมองซูจิ่นซี พลางถอนหายใจลึก
“ตอนนั้นพวกเราได้รับคำสั่งจากคนผู้หนึ่ง ให้เดินทางไกลมายังแคว้นจงหนิงเพื่อตามหาของบางอย่าง เนื่องจากข้าและอวิ๋นเกอถูกวางยาพิษ ทั้งยังถูกผนึกวรยุทธ์ จึงต้องฟังคำสั่งของคนผู้นั้น มารดาของเจ้าก็เช่นกัน เป็นเพราะบิดาของเจ้า”
คำพูดของจงเหมยจวงคลุมเครือ ซูจิ่นซีฟังไม่ค่อยเข้าใจนัก
“คนผู้นั้นคือผู้ใด? ”
จงเหมยจวงจุ่มนิ้วลงไปในถ้วยน้ำชา ก่อนจะเขียนชื่อของคนผู้หนึ่งลงบนโต๊ะ
ซูจิ่นซีมองไปที่ตัวอักษรนั้นด้วยแววตาสงบ
“บิดาของข้าคือผู้ใด? ”
จงเหมยจวงส่ายศีรษะ “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“ในเมื่อเจ้ากับมารดาของข้ามีความสัมพันธ์อันดี เหตุใดถึงไม่รู้สถานะของบิดาข้า? ”
“ข้าไม่รู้จริงๆ ไม่เพียงแต่ข้าเท่านั้น เกรงว่าผู้ที่เคยพบเห็นใบหน้าและรู้สถานะที่แท้จริงของบิดาเจ้า คงมีเพียงมารดาเจ้าเพียงผู้เดียว ครั้งหนึ่งข้าเคยเห็นหน้าเขาจากระยะไกล ตอนนั้นมารดาเจ้ามีเจ้าก่อนแต่งงาน เมื่อคนสกุลจงพบเข้า นางจึงถูกลงโทษโดยการขังไว้ที่ศาลบรรพชน คนของศาลบรรพชนรู้ว่ามารดาเจ้าทำเรื่องเสื่อมเสีย ไม่รักษาพรหมจรรย์ จึงต้องการเผามารดาเจ้าทั้งเป็น วันนั้นในค่ำคืนที่มืดมิด เขาสวมหน้ากากและปรากฏตัวขึ้นมาเพื่อช่วยมารดาเจ้า”
สิ่งที่จงเหมยจวงพูดดูไม่เหมือนเรื่องโกหก ซูจิ่นซีจึงไม่ได้สงสัย
“ส่งมือท่านมาให้ข้า! ”
จงเหมยจวงรู้สึกสับสนกับคำพูดที่กะทันหันของซูจิ่นซี นางไม่รู้ว่าซูจิ่นซีต้องการทำอันใด
“เอามือมาให้ข้า ข้าจะช่วยตรวจพิษในร่างกายท่าน”
จงเหมยจวงยื่นแขนให้ซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีจับชีพจรให้จงเหมยจวง ท่าทีของนางเหมือนกำลังตรวจชีพจร ทว่านางกลับรวบรวมสมาธิและใช้ระบบถอนพิษตรวจสอบสารพิษในร่างกายของจงเหมยจวงแทน
ก่อนหน้านี้ซูจิ่นซีเคยเข้าใกล้จงเหมยจวงนับครั้งไม่ถ้วน ทว่าสาเหตุที่นางไม่พบสารพิษในร่างกายของจงเหมยจวง เป็นเพราะระบบถอนพิษยังอยู่ในระดับต่ำ อีกทั้งสารพิษที่ใช้ผนึกวรยุทธ์ในร่างของจงเหมยจวงนั้นมีฤทธิ์สูง นางจึงตรวจไม่พบ
ผ่านไปไม่นาน ซูจิ่นซีก็ตรวจสอบส่วนประกอบสารพิษออกมาได้
จากระดับของระบบถอนพิษในตอนนี้ ซูจิ่นซีไม่ต้องเสียเวลาและพลังในการวิเคราะห์สารพิษทั่วไปให้วุ่นวาย เพียงนางเข้าไปใกล้ ระบบถอนพิษก็จะวิเคราะห์สารพิษให้เรียบร้อย
เห็นได้ว่าสารพิษในร่างของจงเหมยจวงนั้นซับซ้อนยิ่งนัก
ซูจิ่นซีปล่อยแขนของจงเหมยจวง “พิษชนิดนี้ใช้เพื่อควบคุมท่าน ผู้ที่วางยาพิษพวกท่าน คงส่งยาถอนพิษให้พวกท่านเป็นประจำตามเวลาที่กำหนด”
“เป็นจริงดั่งเจ้าพูด พิษที่อยู่ในตัวข้ามีชื่อว่าพิษเสวี่ยเจอ นอกจากจะผนึกวรยุทธ์ในตัวข้าแล้ว ทุกปียังมีอาการกำเริบถึงสี่ครั้ง หากไม่ทานยาถอนพิษตามเวลาก็จะรู้สึกเหมือนมีมดนับหมื่นตัวกัดกิน เจ็บปวดทรมานจนไม่อยากมีชีวิตอยู่”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้างกายพวกท่านอาจมีคนของเขาอยู่ด้วย หากตอนนี้พวกท่านทั้งสองออกจากแคว้นจงหนิง ต่อไปยาถอนพิษคงไม่ถูกส่งมาแล้ว”
นี่คือเรื่องจริงและโหดร้ายอย่างมาก หลังจากนี้ จงเหมยจวงและมู่หรงอวิ๋นเกอไม่เพียงต้องทนทรมานกับพิษเสวี่ยเจอ ทว่าพวกเขาอาจเสียชีวิตด้วยสาเหตุนี้ ชีวิตของพวกเขาเหลือไม่มากแล้ว
อย่างไรก็ตาม จงเหมยจวงที่ได้ฟังซูจิ่นซีวิเคราะห์เรื่องราวความเป็นจริง กลับมีใบหน้าสงบนิ่ง
นางยืนทอดสายตาออกไปไกล “เกียรติยศสวรรค์กำหนด มนุษย์ล้วนมีชะตากรรมของตนเอง น่าเสียดาย ตอนนี้ข้ากับอวิ๋นเกอเพิ่งเข้าใจว่าต้องการสิ่งใด ยึดติดอยู่กับสิ่งใด ทว่ายังไม่สายเกินไปเสียทีเดียว อย่างน้อยชีวิตนี้พวกเราก็เคยเลอะเลือน เคยดิ้นรนมาก่อน เคยมุ่งมั่นฟันฝ่ามาก่อน และแล้ว… ในที่สุดก็ตาสว่าง”
แม้จะเป็นเช่นนี้ ซูจิ่นซีก็ยังฟังออกว่าคำพูดของจงเหมยจวงแฝงไว้ด้วยความเศร้าโศกเล็กน้อย
“เดิมทีพวกท่านมายังแคว้นจงหนิงเพื่อตามหาสิ่งใดกันแน่? ” ซูจิ่นซีถาม
ในเมื่อพูดมามายมายถึงเพียงนี้แล้ว จงเหมยจวงก็ไม่คิดปกปิดซูจิ่นซีอีกต่อไป
“เป็นพิษร้ายแรงชนิดหนึ่ง”
“พิษรุนแรง? ”
ซูจิ่นซีไม่เข้าใจ ในเมื่อเป็นพิษรุนแรงก็ควรไปตามหาที่แคว้นไหวเจียงไม่ใช่หรือ? เหตุใดจึงมาที่แคว้นจงหนิง? อีกทั้งตามหามาหลายปีก็ยังหาไม่เจอ?
“ถูกต้อง” แววตาของจงเหมยจวงแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา “ในตำนานได้ไขปริศนาของมันไว้ หากสามารถหาที่อยู่ของสุสานจิ่นอีโฮ่วแห่งราชวงศ์โจวตะวันตกและเปิดสุสานได้ จะพบความลับของการรวบรวมแผ่นดิน”
ซูจิ่นซีพยายามปกปิดสายตาประหลาดใจ “อั้นหรานเซียวหุนใช่หรือไม่? ”