บทที่ 331 ได้เวลาคิดบัญชีแค้น

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

บทที่ 331 ได้เวลาคิดบัญชีแค้น

“เจ้าคิดดีแล้วหรือ?”

เมื่อได้ยินว่าหลินเป่ยเฉินตัดสินใจที่จะอยู่ต่อ เฒ่าทะเลก็เบิกตาโตด้วยความประหลาดใจและอดย้ำเตือนไม่ได้ว่า “ถึงอยู่ต่อเจ้าก็ทำอะไรไม่ได้ มีแต่ตายกับตายเท่านั้นเอง”

หลินเป่ยเฉินพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “แต่ถ้าข้าหนีไป ก็คงต้องละอายใจไปชั่วชีวิต”

เฒ่าทะเลระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความเหนื่อยใจ “ช่างเป็นคนหนุ่มที่มีจิตใจกล้าหาญอะไรเช่นนี้ ตกลงว่าเจ้ายินดีสละชีวิตของตัวเองแล้วอย่างนั้นหรือ? ไม่ว่าเจ้ากำลังวางแผนสิ่งใดอยู่ ข้าก็คงต้องขอเตือนว่าอัตราความสำเร็จมันเป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น ข้าจึงอยากจะถามเจ้าอีกครั้งว่าตัดสินใจเช่นนี้คิดดีแล้วหรือ?”

เชี่ย

เฒ่าทะเลรู้ได้อย่างไรว่าเขาวางแผนการไว้หมดแล้ว?

เด็กหนุ่มขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

แต่เขาก็พยักหน้ายืนยันคำตอบ “ข้าน้อยคิดดีแล้วขอรับ”

หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็หันมาพูดกับมี่หรู่หยานว่า “เจ้ารออยู่ที่นี่ก่อน เดี๋ยวข้าจะส่งข่าวกลับมาหา”

“คุณชายอยากให้ข้าไปช่วยอีกคนหรือไม่?”

มี่หรู่หยานเสนอตัวด้วยความกระตือรือร้น

หลินเป่ยเฉินตอบว่า “ไม่ต้อง อยู่ที่นี่เจ้าจะปลอดภัยมากที่สุด เพียงเท่านั้นก็ถือว่าเป็นการช่วยเหลือข้าได้มากมายแล้ว เพราะมันจะทำให้ข้าไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง และข้าขอยืนยันกับเจ้าเลยว่า ครอบครัวของเจ้าจะต้องปลอดภัยแน่นอน”

มี่หรู่หยานกัดริมฝีปากด้วยความกดดัน

นางรู้ดีว่าตนเองยังมีฝีมือต่ำต้อยมากเกินไป หากยืนกรานที่จะติดตามหลินเป่ยเฉินไปด้วย ก็มีแต่เป็นตัวถ่วงของเขาเท่านั้นเอง สุดท้ายแล้ว เด็กสาวก็พยักหน้า “รับทราบแล้วเจ้าค่ะ คุณชายหลินได้โปรดระมัดระวังตัวด้วย หากท่านเป็นอะไรไป ชีวิตนี้ข้าคงอยู่ไม่ได้อีกแล้ว”

หืม?

นี่มี่หรู่หยาน… เพิ่งจะสารภาพรักกับเขาใช่ไหม?

หลินเป่ยเฉินชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะทำเหมือนไม่ได้ยิน

เขายืดอกขึ้นด้วยความภาคภูมิใจและพูดว่า “เจ้าโปรดวางใจ ทุกคนที่มันใส่ร้ายเราในครั้งนี้ จะต้องชดใช้อย่างสาสม”

ณ สำนักมือปราบประจำเมือง

คุกใต้ดิน

“ข้าขอร้องท่าน คุณชายกวน ได้โปรดไว้ชีวิตเสว่หยินลูกสาวข้าด้วยเถิด นางไม่เคยรู้จักหลินเป่ยเฉินจริงๆ…”

หญิงสาววัยกลางคนแต่งกายภูมิฐานคนหนึ่งกำลังคุกเข่าขอร้องด้วยใบหน้าที่เนืองนองน้ำตา

นางคือมารดาของหลินเสว่หยิน เพื่อนร่วมห้อง 9 จากสถานศึกษากระบี่ที่สามของหลินเป่ยเฉิน

เดิมทีนางมีสถานะสูงส่งภายในเมืองหยุนเมิ่ง แต่เพื่อปกป้องชีวิตบุตรสาวของตนเอง หญิงวัยกลางคนผู้นี้ก็ยินดีคุกเข่าขอร้องกวนเฟยตู้ที่อายุน้อยกว่าตนเองหลายสิบปีได้อย่างไม่สนใจศักดิ์ศรี เสียงพูดของนางแผ่วเบา บ่งบอกถึงการยอมลดฐานะลงมาเป็นเบี้ยล่างเด็กหนุ่ม

“หึหึ แต่เมื่อก่อนลูกสาวท่านสนิทกับหลินเป่ยเฉินจะตายไป”

กวนเฟยตู้พูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

“พวกเขาเพียงแต่เรียนห้องเดียวกันเท่านั้น…”

มารดาของหลินเสว่หยินถูมือไปมาด้วยท่าทีขอร้องอ้อนวอน

กวนเฟยตู้หัวเราะเยาะ

เมื่อบิดาของหลินเสว่หยินเห็นว่าภรรยาของตนเองถูกเหยียดหยามเกินไปแล้ว เขาก็พูดออกมาอย่างทนไม่ไหว “กวนเฟยตู้ พวกเราก็เป็นชาวเมืองหยุนเมิ่งด้วยกันทั้งนั้น ข้ากับบิดาของเจ้ายังต้องทำมาค้าขายกันอยู่ ทำไมถึงต้องทำรุนแรงเช่นนี้ด้วย?”

“เฮอะ” กวนเฟยตู้ลุกขึ้นยืน แสยะยิ้ม “นี่ท่านกำลังขู่ข้างั้นหรือ? พวกเราจับตัวตาแก่คนนี้ไปทรมาน ถ้าลูกสาวของเขายังไม่บอกที่ซ่อนตัวของหลินเป่ยเฉิน อย่าได้หยุดมือเด็ดขาด”

บิดาของหลินเสว่หยินยังไม่ทันได้โต้แย้งคำใด เขาก็ถูกเจ้าหน้าที่มือปราบกลุ่มหนึ่งลากตัวไปรุมกระทืบอยู่ที่มุมห้อง เพียงไม่นานหลังจากนั้น ใบหน้าของชายวัยกลางคนก็เต็มไปด้วยเลือดสีแดงสด มีสภาพน่าอเนจอนาถใจ

“ไม่นะ คุณชายกวน ไม่…”

มารดาของหลินเสว่หยินร้องไห้ด้วยความตื่นกลัว

แต่กวนเฟยตู้จะสนใจก็หาไม่ มิหนำซ้ำ เขายังสั่งให้เจ้าหน้าที่ลากตัวหญิงวัยกลางคนไปทรมานด้วยเช่นกัน

ในไม่ช้า เสียงร้องโหยหวนของนางก็ดังก้องกังวานคุกใต้ดิน

กวนเฟยตู้ยิ้มแย้มอย่างมีความสุข

วันนี้คือวันแห่งความสุข

กวนเฟยตู้รู้สึกได้ถึงการมีอำนาจที่แท้จริง

เขาสามารถกำหนดความเป็นความตายของผู้อื่นได้ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ

มีคนมากมายพร้อมที่จะมาคุกเข่าอ้อนวอนอยู่ตรงหน้าเขา

นี่คือความรู้สึกที่แสนวิเศษและชวนให้เสพติดโดยไม่รู้ตัว

น่าเสียดายก็ตรงที่มู่ซินเยว่ถูกกันตัวไว้เป็นพยานและได้รับการคุ้มครองโดยกลุ่มเจ้าหน้าที่มือปราบ มิฉะนั้นแล้ว กวนเฟยตู้จะล้างแค้นนางจิ้งจอกนั่นให้สาสมกับสิ่งที่เคยทำไว้กับเขาหลายเท่าทีเดียว

คำนวณดูจากเวลาแล้ว บัดนี้น่าจะถึงเวลารับประทานอาหารค่ำ

กวนเฟยตู้ชะงักไปเล็กน้อย การที่ต้องทนอุดอู้อยู่ในคุกใต้ดินเป็นเรื่องที่น่าเบื่อไม่ใช่เล่น ได้เวลาที่เขาจะออกไปสูดอากาศข้างนอกสักหน่อยแล้ว เด็กหนุ่มนำเจ้าหน้าที่มือปราบมาทำหน้าที่เป็นองครักษ์พิทักษ์เขาสองคน ในระหว่างที่เดินออกมาหาอาหารรับประทานนอกเรือนจำ

ท้องถนนว่างเปล่าราวกับทะเลทราย

ไม่มีผู้คนสัญจรไปมา

ขณะนี้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด ประชาชนในเมืองหยุนเมิ่งทุกคนตกอยู่ในอันตราย

กวนเฟยตู้เดินตระเวนหาโรงเตี๊ยมอยู่หลายแห่ง แต่ก็พบว่าทุกแห่งปิดกิจการหมดสิ้น ไม่มีอาหารให้เขาได้รับประทาน

แต่เด็กหนุ่มก็ไม่สนใจ เขาพาเจ้าหน้าที่มือปราบทั้งสองคนนั้นเดินต่อไปเรื่อยๆ หัวใจพองโตด้วยความรู้สึกของผู้แข็งแกร่ง บัดนี้ไม่มีใครกล้ามาขวางทางเขาอีกแล้ว

แต่ในทันใดนั้นเอง เสียงของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านหลังว่า…

“ว่าไง สหาย”

คำทักทายเพียงเท่านี้ กลับทำให้หัวใจของกวนเฟยตู้กระตุกวูบ

ความหวาดกลัวครอบคลุมสติสัมปชัญญะ ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกร่างกายเย็นเฉียบ เหมือนตกลงไปในถังน้ำแข็ง

แบบนี้มันไม่ถูกต้อง

เขาไม่ควรหวาดกลัวอีกแล้ว

กวนเฟยตู้หมุนตัวกลับไปมองหน้าผู้ทักทายและพูดเสียงแข็งกระด้าง “หลินเป่ยเฉิน เจ้ากล้าดีอย่างไร…”

“อย่าเพิ่งพูดอะไรเลยน่า… มองหน้าข้าแล้วยิ้มหวานหน่อยซิ”

หลินเป่ยเฉินปรากฏตัวยืนอยู่ห่างจากกวนเฟยตู้เพียงไม่กี่วา แล้วในทันใดนั้น แอปเมจิก คาเมร่าก็จัดการถ่ายรูปผู้คนอย่างรวดเร็ว

บัดนี้ เจ้าหน้าที่มือปราบซึ่งเป็นองครักษ์พิทักษ์กวนเฟยตู้ทั้งสองนายนั้น ได้ชักกระบี่พุ่งตรงเข้ามาหาหลินเป่ยเฉินแล้ว

แต่ยังไม่ทันถึงตัวเด็กหนุ่ม เจ้าหน้าที่มือปราบก็แขนขาอ่อนแรง ดวงตาเหลือกลาน ก่อนที่ร่างกายจะล้มฟุบลงไปกับพื้นถนน

“ยาพิษ”

“พวกเราถูกยาพิษ”

ใบหน้าของเจ้าหน้าที่มือปราบซึ่งมีพลังอยู่ในขั้นปรมาจารย์ระดับ 2 กำลังบิดเบี้ยวด้วยความตกตะลึง

หลินเป่ยเฉินเคลื่อนไหวเพียงวูบเดียวก็มาปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าพวกเขาแล้ว เด็กหนุ่มชักกระบี่ออกมาตัดศีรษะเจ้าหน้าที่มือปราบทั้งสอง ก่อนจะคว้านหัวใจเป็นอันเสร็จพิธี

การสังหารจบลง

หลังจากนั้น กวนเฟยตู้รู้ตัวอีกที หลินเป่ยเฉินก็มายืนอยู่ตรงหน้าเรียบร้อยแล้ว

คราวนี้ กวนเฟยตู้เตรียมตัวล่วงหน้าเป็นอย่างดี

กระบี่ไฟเปล่งแสงสว่างไสวลุกโชนสูงขึ้นไปในอากาศ สามารถมองเห็นได้จากระยะไกลด้วยตาเปล่า

ผลั่ก!

ได้ยินเสียงฝ่ามือกระแทกกับร่างกายผู้คนดังขึ้น

กวนเฟยตู้กระอักเลือดออกมาจากปาก ตัวคนลอยกระเด็นออกไป

“หึหึ เวลาของเจ้าหมดลงแล้ว…”

กวนเฟยตู้ล้มกระแทกพื้นดิน กระอักเลือดออกมาจากปากอีกคำใหญ่พร้อมด้วยฟันอีกหลายซี่ที่หลุดออกมา แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังสามารถยิ้มแย้มออกมาอย่างมีความสุข “อีกไม่นานหน่วยมือปราบจะมาปิดล้อมที่นี่ ต่อให้เจ้าอยากหนี ก็หนีไม่รอดแล้ว…”

กวนเฟยตู้เชื่อว่าถ้าหลินเป่ยเฉินฉลาดมากพอ ก็จะต้องรีบหนีไปแน่นอน

แต่สิ่งที่คิดไม่ถึงก็คือหลินเป่ยเฉินกลับหัวเราะเยาะและเดินตรงเข้ามาหาเขาด้วยความใจเย็น

กวนเฟยตู้สีหน้าเปลี่ยนแปลงไปแล้ว “คนแซ่หลิน ทำไมเจ้ายังไม่หนีไปอีก? เจ้าเสียสติไปแล้วหรือไร…”

หลินเป่ยเฉินเดินเข้ามาเตะเสยปลายคางคู่อริเก่าหนึ่งที แล้วพูดว่า “ถ้าข้าจะหนี ข้าจะมาหาเจ้าทำไม?”

เลือดเป็นสายพุ่งออกมาจากปากของกวนเฟยตู้ เขาถึงกับงงงันไปทีเดียวเมื่อได้ยินคำพูดประโยคนั้น…

ความรู้สึกไม่เป็นมงคลปรากฏขึ้นในจิตใจ

จริงด้วยสิ

เพราะเหตุใดหลินเป่ยเฉินถึงกล้าปรากฏตัวออกมาเช่นนี้?

กร๊อบ

ได้ยินเสียงกระดูกแตกหัก

ปรากฏว่าหลินเป่ยเฉินกระทืบขาของกวนเฟยตู้จนกระดูกแตกละเอียด

“อ๊าก…อ๊าก…”

กวนเฟยตู้ร้องโหยหวน เจ็บปวดจนวิญญาณแทบหลุดลอยออกจากร่าง

หลินเป่ยเฉินเหยียบเท้าลงไปบนหน้าอกของกวนเฟยตู้และพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “ก่อนหน้านี้ข้าอุตส่าห์ปล่อยเจ้าไป แต่เจ้ากลับยังทำผิดซ้ำซาก คิดร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ผู้ชั่วร้ายทรมานเพื่อนร่วมสถาบันของตนเอง นี่คือความผิดที่ให้อภัยไม่ได้เด็ดขาด วันนี้แหละข้าจะส่งเจ้าลงนรก ไว้เจอกันใหม่ชาติหน้าก็แล้วกัน”

กร๊อบ กร๊อบ กร๊อบ

เสียงกระดูกหน้าอกของกวนเฟยตู้แตกหักดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

เลือดสีแดงสดไหลทะลักออกปาก ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว “หลินเป่ยเฉิน ได้โปรดอย่าทำอะไรข้าเลยนะ ถึงอย่างไรพวกเราก็เคยศึกษาสถาบันเดียวกัน พวกเราเปรียบเสมือนพี่น้องร่วมสถาบัน…”

“นี่มันคำพูดของคนที่ถูกเจ้าทรมานไม่ใช่หรือ?” หลินเป่ยเฉินจำได้ดีเพราะเขาดูถ่ายทอดสดการทรมานในคุกใต้ดินตลอดเวลา จิตสังหารของเขารุนแรงขึ้น น้ำหนักเท้าที่กดทับอยู่บนหน้าอกอีกฝ่ายก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน

กร๊อบ

กระดูกหน้าอกของกวนเฟยตู้ยุบลงไปเกินครึ่งแล้ว

“อ๊าก…”

เด็กหนุ่มร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดทรมาน

ในจังหวะที่รู้ตัวว่าอย่างไรก็ต้องตายแน่ แต่กวนเฟยตู้กลับมองเห็นเจ้าหน้าที่มือปราบอีกกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวขึ้นจากระยะไกล

“เจ้า…เจ้า…เจ้าหนีไม่รอดอีกแล้ว จงลงนรกมาพร้อมกับข้าเสียเถิด…” กวนเฟยตู้แสยะยิ้มด้วยความอาฆาตแค้น

“จริงหรือ?” หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอและกระซิบว่า “แต่เกรงว่าเจ้าคงผิดหวังแล้วสิ”

วินาทีนั้น สิ่งที่เหลือเชื่อปรากฏขึ้น

กวนเฟยตู้เห็นแสงสว่างวูบวาบปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลินเป่ยเฉิน แล้วทันใดนั้น ไม่ว่าจะเป็นโครงหน้า ขนคิ้ว ทรงผม หรือแม้แต่ดวงตาของหลินเป่ยเฉิน ก็กลับกลายเป็นใบหน้าของเขาแล้ว…

“ข้าจับตัวหลินเป่ยเฉินได้แล้ว… เขาอยู่ตรงนี้”

กวนเฟยตู้ได้ยินเสียงหลินเป่ยเฉินตะโกน

บัดนี้ กวนเฟยตู้ใกล้หมดสติเต็มที เขารวบรวมเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายหันหน้ามองไปที่หลินเป่ยเฉินอีกครั้ง และพบว่าหลินเป่ยเฉินกำลังสวมใส่เสื้อผ้าเช่นเดียวกับเขาทุกประการ

กวนเฟยตู้อ้าปากออกกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง

ฉับ!

คมกระบี่เป็นประกายแวววาว

หัวคนหลุดกระเด็น

หากบนถนนมีกระจกตั้งอยู่สักบาน กวนเฟยตู้ก็คงจะต้องประหลาดใจว่าหัวของเขาที่หลุดกระเด็นออกมานั้น มีใบหน้าที่กลายเป็นของหลินเป่ยเฉินไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้เลย !