บทที่ 154 อย่าพูดคำอัปมงคลได้ไหม

ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง

เวลาที่โรงเรียนอนุบาลเลิกเรียนคือสิบสองโมง ยับไม่ถึงสิบสองโมง เธอก็ยืนรออยู่ใต้ร่มต้นไม้ตรงหน้าโรงเรียนแล้ว ก้มหน้ามองดูเวลาตลอดเวลา

สิบสองโมงตรง ประตูใหญ่ของโรงเรียนจึงจะเปิดออก น้ำเสียงที่ชัดเจน อ่อนโยน และมีความร่างเริงดังผ่านมาจากระยะไกล “หม่ามี๊!”

หลังจากนั้น เจ้าตัวเล็กที่ร่าเริงมีความสุขก็พุ่งเข้ามาในอ้อมกอดของเชอร์รีน กอดและอ้อนอยู่ตรงคอของเธอ จูบอย่าโจ่งแจ้งไปยังใบหน้าหนึ่งที

อุ้มเจ้าตัวเล็กเข้ามาในอ้อมกอด เชอร์รีนยิ้ม หัวใจของเธอถูกเรียกจนใจอ่อนแล้ว “ซาราง บอกลากับคุณครู”

ซารางโบกมือน้อยๆ อย่างเชื่อฟัง น้ำเสียงแจ่มแจ้ง “ลาก่อนค่ะคุณครู”

จูงมือน้อยๆ ที่อ่อนนุ่ม แม่ลูกทั้งสองเดินไปทางข้างหน้าซารางทั้งร่าเริงและดื้อรั้น กะพริบตา “หม่ามี๊ ตอนนี้พวกเราจะไปไหนคะ?”

“กลับบ้านคุณยาย” ระหว่างที่พูด เชอร์รีนมองไปทางเวลาอีกครั้ง รถไฟฟ้าความเร็วสูงตอนสามโมง เธอสามารถพาซารางไปทานข้าวก่อนได้ จากนั้นก็ไปที่สถานีรถไฟฟ้าความเร็วสูง “ซารางอยากกินอะไร?”

ทันใดนั้น ดวงตาที่กลมๆ เปล่งประกาย ซารางรีบแย่งตอบ “คุณปู่ หนูจะกินคุณปู่ค่ะ!”

พอได้ยินแล้ว เชอร์รีนก็อดหัวเราะไม่ไหว จริงๆ แล้ว คุณปู่ที่พูดออกมาจากปากน้อยๆ ของเธอก็คือเคเอฟซี

ครั้งแรกที่ได้ยินเธอพูดว่าจะกินคุณปู่ เธอยังมีความตะลึงงันเล็กน้อย ไม่เข้าใจ ยิ่งไม่รู้ว่าคุณปู่ที่เจ้าเด็กนี่พูดถึงคือใคร

เธอกลับเบ้ปากน้อยๆ ของเธอ สีหน้ารังเกียจ “หม่ามี๊บื้อจริงๆ เลย คุณปู่ก็คือคุณปู่ไงคะ ผมขาวๆ สวมแว่นตา แล้วก็มีหนวดสีขาวยาวๆ”

ร้านเคเอฟซีที่อยู่ตรงหน้า เชอร์รีนสั่งเฟรนช์ฟรายส์มาชุดหนึ่ง ปีกไก่คู่หนึ่ง น้ำผลไม้ และแฮมเบอร์เกอร์

ซารางชอบสั่งเฟรนช์ฟรายส์จิ้มซอสมะเขือเทศที่สุดแล้ว ทุกครั้งที่มาถึงเคเอฟซี สามารถทานเฟรนช์ฟรายส์ได้สองถุงเลย อย่างอื่นไม่กินเลย

ฉีกซองซอสมะเขือเทศ ยื่นให้ซาราง เห็นเธอกินอย่างมีความสุขมากๆ ซอสมะเขือเทศถึงขั้นกินไปถึงใบหน้าแล้ว ตลกและน่ารักมาก

กินแฮมเบอร์เกอร์ไปด้วย เธอพลางหยิบกระดาษเช็ดซอสมะเขือเทศบนใบหน้าน้อยๆ ของซารางไปด้วย

ขึ้นรถไฟฟ้าความเร็วสูง รถเริ่มขยับ เชอร์รีนจึงหลับไปอย่ามึนๆ งงๆ เมื่อคืนเธอเอาแต่ยุ่งตรวจข้อสอบอยู่ทั้งคืน ตีหนึ่งครึ่งจึงจะได้นอน ตอนนี้มีความง่วงเล็กน้อยจริงๆ

ทว่า ซารางที่นั่งอยู่ตรงกลางกลับไม่ง่วง ร่างกายตัวน้อยๆ มองไปทั่วสี่ทิศ จากนั้นก็เรียกขึ้น “หม่ามี๊! หม่ามี๊!”

ความง่วงกระจายหายไป เชอร์รีนมองไปด้วยความแปลกใจ “เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”

“หม่ามี๊ หม่ามี๊ว่ารถไฟวิ่งเร็วกว่า หรือว่าซุนหงอคงวิ่งเร็วกว่าคะ?” น้ำเสียงของเธออ่อนนุ่ม กลับถามอย่างจริงจังมาก

ส่วนเชอร์รีนนั้นถูกถามคำถามแบบนี้กะทันหัน เธอไม่รู้จริงๆ ว่าจะตอบคำถามที่แปลกประหลาดนี้ยังไง ได้แต่ยิ้ม “ลูกคิดว่ายังไงล่ะ?”

“แน่นอนว่าซุนหงอคงอยู๋แล้วซิคะ! คุณครูบอกแล้วว่า ซุนหงอคงกลิ้งหนึ่งทีกลิ้งไปถึงพันไมล์ ไปได้ไกลมากๆ เลยค่ะ!” ซารางสีหน้าเกรี้ยวกราด

ดังนั้น เธอจึงพูดต่อว่า “อื้ม งั้นก็ซุนหงอคงวิ่งเร็วกว่า”

พลังงานของเด็กน้อยมีมากมาย จึงรู้สึกสงสัยกับทุกๆ เรื่องไปหมด เอียงหัวเล็กน้อย เธอถามต่อว่า “แต่ว่าหม่ามี๊คะ พันไมล์ไกลขนาดไหนหรอคะ จากบ้านของเราไปถึงบ้านคุณยาย หรือว่าสามารถไปถึงสวนสนุกเลยคะ?”

ไอด้วยเสียงเบาไปหนึ่งที เชอร์รีนเริ่มรู้สึกรับไม่ไหวกับคำถามว่าทำไมแสนทำไมของเจ้าเด็กน้อย ตอบกลับลวกๆ ว่า “ไกลมาก คือสถานที่ไกลกว่าบ้านของคุณยาย”

“สถานที่ไกลกว่าบ้านของคุณยายคือที่ไหนคะ?”

“หม่ามี๊ก็ไม่เคยไป”

“อ่อ” ไม่ได้รับคำตอบ เจ้าเด็กน้อยดูผิดหวังเล็กน้อย

ถอนหายใจเบาๆ เชอร์รีนหยิบโทรศัพท์ออกมา จากนั้นก็เปิดBoonie Bearsที่โหลดไว้เมื่อคืนออกมา ยื่นให้เจ้าเด็กน้อย

ความสนใจเปลี่ยนทันที ซารางถือโทรศัพท์ ร่างกายตัวน้อยๆ พิงไปยังบนเก้าอี้ จากนั้นก็ยิ้มแฉ่งขึ้นมา

หญิงวัยกลางคนที่นั่งข้างๆ ยิ้ม มองไปทางเชอร์รีน “ลูกสาวของคุณเหรอคะ?”

“ใช่ค่ะ มีความดื้อเล็กน้อย” เชอร์รีนนำส้มที่อยู่ในถุงยื่นให้กับหญิงวัยกลางคนไม่กี่ลูก

“ดื้อตรงไหน ทั้งสวยทั้งน่ารัก จริงๆ แล้วเด็กๆ ก็เป็นแบบนี้แหละค่ะ ชอบถามนุ้นถามนี่ น่าสนุกมากเลย!”

พาเด็กขึ้นรถไฟฟ้าความเร็วสูง เชอร์รีนก็ไม่ได้คิดอยากจะพักผ่อนอยู่แล้ว พูดคุยกับหญิงวัยกลางคน และดูแลเจ้าเด็กน้อย

จากเมืองทะเลหทัยไปถึงเมืองS นั่งรถไฟฟ้าความเร็วสูงนั้นใช้เวลาการเดินทางสี่ชั่วโมง พอมาถึงเมืองs เป็นเวลาเจ็ดโมงกลางคืนแล้ว

แต่แค่ว่า กลางคืนในฤดูร้อนท้องฟ้ายังสว่างอยู่ ยื่นมือเรียกรถแท็กซี่ไว้คันหนึ่ง เชอร์รีนพาซารางเข้าไปนั่ง

รู้ตั้งแต่เช้าแล้วว่าเชอร์รีนกับหลานสาวจะกลับมา กนกอรให้จักรกฤษไปตลาดเป็นเพื่อนเธอ ซื้อพักและผลไม้เยอะหน่อย

รอให้เชอร์รีนพาซารางเปิดประตูห้องออก กนกอรและจักรฤษรออยู่ที่ห้องรับแขกตั้งนานแล้ว

พอเห็นซาราง กนกอรเดินขึ้นไปข้างหน้า อุ้มเด็กไว้ในอ้อมกอด พูดติดต่อกันว่า “เจ้าเด็กน้อย คุณยายคิดถึงจะตายอยู่แล้ว”

“ซารางก็คิดถึงคุณยายค่ะ!” เธอตัวเล็กอ่อนนุ่ม แต่กลับฝึกท่าทางของผู้ใหญ่เป็นที่เป็นท่า ทำเอากนกอรหัวเราะอยู่ตลอดเวลา

จักรกฤษก็หัวเราะจนไม่สามารถหุบปากได้ อุ้มซารางมาจากอ้อมกอดของกนกอร “แล้วคิดถึงคุณตาไหม?”

“คิดถึงค่ะ!” น้ำเสียงของซารางดังโจ่งแจ้ง

ทว่าจักรกฤษกลับตั้งใจแกล้งเธอ “เสียงเบาเกินไปแล้ว คุณตาไม่ได้ยิน”

“คิดถึงค่ะ!” ซารางพูดดังขึ้นเล็กน้อย

“ก็ยังไม่ได้ยิน”

“คิดถึงค่ะ!”

กนกอรตีจักรกฤษด้วยความสงสารและโกรธ “มีการแกล้งเด็กแบบนายที่ไหนกัน ดูสิทำเอาหน้าของซารางแดงไปหมด เป็นเด็กดีนะ คุณยายไปเอานมเปรี้ยวให้ซารางเดี๋ยวนี้เลย”

เชอร์รีนไม่ได้รู้สึกตกใจอะไร ทุกครั้งที่กลับมา พ่อแม่ต่างก็เป็นแบบนี้ตลอด จะตามใจซารางจนขึ้นฟ้าแล้ว

เธอยังห้ามมีความเห็น ห้ามเอ่ยปากพูดอีก ขอแค่เอ่ยปากพูด ผู้อาวุโสทั้งสองจะสวนกลับมาพร้อมกัน

ไปที่ห้องน้ำ เธอล้างหน้า ในที่สุดก็รู้สึกได้ถึงความสดชื่นแล้ว ในตอนที่ออกมาจากห้องน้ำ ได้ยินกนกอรโทรหาชารีฟพอดี

ขมวดคิ้ว เชอร์รีนเดินไปด้วยความแปลกใจ “แม่ พี่กลับมาแล้ว?”

ถอนหายใจยาว กนกอรพูดอย่างจนปัญญา “กลับมานานแล้ว”

“เขาไม่ไปทำงานเหรอ?”

“ยังจะทำงานอะไรอีก ถูกคนอื่นไล่ออกแล้ว” พูดถึงเรื่องนี้ กนกอรก็โมโหขึ้นมา

“ทำไมถึงถูกไล่ออกล่ะ? เขาเป็นข้าราชไม่ใช่เหรอ?”

“ไปสาย กลับก่อน ประสิทธิภาพการทำงานก็ไม่ดี มีหัวหน้าใหม่ย้ายมาพอดี ขึ้นตำแหน่งใหม่ต้องสร้างอำนาจข่มขู่ไว้ก่อน เขาก็เป็นตัวเชือดไก่ให้ลิงดูนั่นเอง!”

พอได้ยินแล้ว ในใจของเชอร์รีนก็เข้าใจดี ไม่ได้พูดอะไร รอให้ชารีฟกับทับทิมกลับมาแล้ว ก็เริ่มทานอาหารเย็น

ตอนแรกไม่อยากพูดอะไร ทว่าเชอร์รีนก็ยังอดไม่ได้เปิดปากพูดออกไป “พี่ ทำงานให้ตั้งใจหน่อยไม่ได้เหรอ! ตอนนี้ไม่เพียงแต่แค่ตัวพี่กับพี่สะใภ้ฉันแล้ว ยังมีลูกอีก หากเป็นแบบนี้ต่อไป พี่จะเลี้ยงดูเขายังไง?”

ชารีฟกำลังดื่มซุปไก่อยู่ ขมวดคิ้ว มีความไม่ค่อยพอใจ “ตอนนี้กำลังทานข้าวอยู่ อย่าทำให้เสียอารมณ์ได้ไหม?”

“คุณน้าน่าไม่อาย” ซารางที่มุดอยู่ในอ้อมกอดของจักรกฤษ ใช้มือน้อยๆ ทำท่าน่าอายกับชารีฟ “คุณน้าไม่มีเงินโซชิก็ไม่สามารถกินคุณปู่ได้ ไม่สามารถดื่มนมเปรี้ยวโซชิก็จะไม่โต”

จักรกฤษหัวเราะใหญ่ “ดูสิ แม้กระทั่งซารางของเราก็รู้แล้วว่าคุณน้าไม่เอาไหนเลี้ยงโซชิไม่ไหว”

พอได้ยินแล้ว ชารีฟหมดคำจะพูดจริงๆ “ไม่เจอกันแค่ช่วงเวลาหนึ่ง ซารางรู้จักดูถูกคนแล้วนะ”

แล้วก็ลูกชายของเขาไม่กินคุณปู่ ไม่ดื่มนมเปรี้ยวก็สามารถเติบโตได้เหมือนกัน!

สีหน้าของเชอร์รีนดูจริงจัง พูดออกมาทีละคำทีละประโยค “พี่จะหางานหรือไม่ฉันไม่สนใจ อีกอย่าง ก็ไม่เกี่ยวกับฉัน แต่ว่าพี่ห้ามขอเงินจากพ่อแม่อีกแม้แต่บาทเดียว! คนอายุสามสิบกว่าแล้ว จะอ้าปากขอเงินพ่อแม่อีก พี่ไม่รู้สึกอายบ้างเหรอ?”

สำหรับนิสัยของเธอ ในใจของชารีฟนั้นเข้าใจดี “ฉันก็ใช่ว่าจะไม่มีอะไรดีสักอย่างซะหน่อย ฉันยื่นเรซูเม่ออกไปแล้ว จะไปสัมภาษณ์ที่บริษัทพรุ่งนี้”

“บริษัทอะไร?”

“บริษัทเปิดใหม่ในเมืองS แต่ว่าบริษัทใหญ่โตมาก สวัสดิการก็ดีมาก อีกอย่างได้ข่าวมาว่าเป็นบริษัทข้ามชาติอีกด้วย”

“อื้ม ไปสัมภาษณ์ก่อน แล้วก็ อย่าลืมตอนที่สัมภาษณ์จริงจังหน่อย ทำการบ้านให้ดีก่อน พยายามสัมภาษณ์ให้ติด”

“อย่างน้อยฉันก็เป็นพี่ชายแก ทำงานอยู่ข้างนอกมานานขนาดนี้ ความรู้พื้นฐานแค่นี้ก็ถือว่ามีอยู่!”

กนกอรโมโหไม่ไหวตีไปยังศีรษะของเขาอย่างแรง “หากแกมีความรู้นั้น ก็จะไม่ให้คนอื่นไล่แกออกแล้ว!”

“แม่ อย่าตีผมไปมั่วได้ไหม? ซารางยังอยู่ที่นี่ แม่จะเลี้ยงซารางให้เป็นเด็กไม่ดีเหรอ”

“แกยังรู้เหรอว่าขายหน้าตอนอยู่ต่อหน้าเด็ก? ดูเรื่องพวกนั้นที่แกทำสิ เรื่องไหนที่ไม่ขายหน้า” กนกอรรู้สึกว่าเขาไม่ได้เรื่องเลย

พอได้ยินแล้ว ชารีฟก็ไม่พูดอะไรแล้ว รีบกินให้อิ่ม แล้วหนีเข้าไปในห้อง