เยี่ยหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย นางครุ่นคิดพลางกล่าว “เชิญไป๋ฮูหยินที่หอพักม้าเถิด” องครักษ์ข้างกายรับคำ พยุงไป๋ฮูหยินขึ้นมา แล้วหายลับไปต่อหน้าต่อตาฝูงชน
ฮ่องเต้ซีหลิงจากไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงพระราชวังอันว่างเปล่า พื้นที่ของวังในซีหลิงหากเทียบกับวังของต้าฉู่และวังเก่าที่อยู่ทางใต้ของต้าฉู่แล้วถือว่าเล็กอยู่บ้าง แต่ต่อให้เล็กกว่านี้ก็ยังเป็นพระราชวังอยู่ดี แต่ม่อซิวเหยาไม่มีความคิดที่จะย้ายมาอยู่ที่ซีหลิงเป็นการถาวร เช่นนั้นตำแหน่งที่ตั้งของพระราชวังแห่งนี้ก็เป็นปัญหาเสียแล้ว จากประวัติศาสตร์เก่าก่อนหากวังเก่าไม่ใช่ที่ประทับของราชวงศ์ใหม่ก็กลายเป็นพระที่นั่งสำหรับเดินทางมาพักผ่อน หรือไม่ก็ปล่อยให้มันรกร้างจนนานวันเข้าก็ค่อยๆ ผุพังไป ทว่านี่กลับไม่ใช่สิ่งที่คนอย่างติ้งอ๋องควรจะทำ สุดท้ายม่อซิวเหยาก็ได้ข้อสรุปว่า ให้ทำลายของที่ฮ่องเต้ทรงเคยใช้ในส่วนครึ่งหน้าของวังไปเสีย แล้วทำเป็นศาลาว่าการสูงสุดของเมืองซีหลิงในอนาคต ส่วนอีกครึ่งด้านหลังของวังที่เป็นวังหลังนั้นให้ปิดเอาไว้ชั่วคราวก่อน ภายหน้าค่อยคิดอีกทีว่าจะจัดการเช่นไร
เพราะอีกไม่นานก็ต้องไปจากซีหลิงแล้ว ม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีจึงไม่มีความคิดอันน่าเบื่ออย่างการเสพติดชีวิตในวังแล้วย้ายเข้ามาพำนักในวังหลวงแห่งนี้ หลังจากส่งเสด็จฮ่องเต้ซีหลิงเสร็จแล้วจึงกลับไปที่หอพักม้าที่เป็นที่พักชั่วคราวดังเดิม พอกลับมาถึงหอพักม้าเรื่องแรกที่ทั้งคู่ทำคือไปเยี่ยมสวีชิงปั๋วที่ยังคงพักรักษาตัวอยู่
สวีชิงปั๋วแม้จะบาดเจ็บไม่ถึงชีวิต แต่อย่างไรก็ยังคงสาหัสอยู่ดี ต่อให้พักรักษาตัวอยู่หลายวันเช่นนี้แต่ก็ยังทำได้เพียงเอนกายบนหมอนใบสูงพูดคุยกับพวกเขาเท่านั้น ตอนเยี่ยหลีเข้าไป ฮูหยินใหญ่สวีกำลังป้อนยาให้เขาอยู่ นี่ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าไม่มีอิสระเท่าที่ควร โตจนป่านนี้แล้ว อีกทั้งมือก็ไม่ได้บาดเจ็บอะไร ยังจะให้มารดาป้อนยาให้อีก จึงรู้สึกไม่สบายใจนัก พอเห็นเยี่ยหลีกับม่อซิวเหยาเดินเข้ามา ตาเขาจึงเป็นประกายราวกับเห็นดาวชั่วชีวิต ฮูหยินใหญ่สวีไม่หรือจะไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ นางส่งเสียงหึเบาๆ ทีหนึ่งแล้วพูดว่า “ไม่ว่าเป็นใครกำลังเข้ามา เจ้าต้องกินยาให้เสร็จเสียก่อนแล้วค่อยว่ากัน!”
สวีชิงปั๋วกล่าวอย่างจนใจว่า “ท่านแม่ เอาถ้วยมาให้ข้า ข้าดื่มเองได้” เขากระดกถ้วยยาเข้าดื่มอึกๆ ลงไปจนหมด การที่เขาดื่มอึกใหญ่ๆ ลงไปเช่นนี้…ต้องรู้ก่อนว่ารสชาติของยานั้นแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมี! ฮูหยินใหญ่สวีคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มมองเขาแล้วกล่าวว่า “รู้ว่ายาขมแล้วหรือ เช่นนั้นยังจะไม่พักรักษาตัวดีๆ อีก เจ้านึกว่าข้าไม่รู้เรื่องที่เมื่อคืนวานเจ้าอ่านสาส์นเหล่านั้นอีกแล้วหรือ”
คำพูดประโยคนี้ทำเยี่ยหลีรู้สึกทุกข์ใจด้วยความรู้สึกผิด หากไม่ใช่พวกนางต้องรีบไปจากซีหลิง พี่สี่ไหนเลยจะต้องมาลำบากยามกำลังพักรักษาตัวเช่นนี้
ฮูหยินใหญ่สวีมองใบหน้าอันหล่อเหลาของบุตรชายที่กลายเป็นหน้ายามกินมะระขมจนพอแล้วก็ส่งยาเม็ดให้เขา สวีชิงปั๋วรีบผงกศีรษะขึ้นดื่มยาอีกครึ่งชามลงไป ยาขมเสียจนเขาหน้านิ่วคิ้วขมวด ฮูหยินใหญ่สวีป้อนผลไม้อบน้ำผึ้งเม็ดหนึ่งเข้าปากเขาเสร็จก็รับถ้วยเปล่ามาแล้วเดินออกไป
ถูกลูกพี่ลูกน้องหญิงและสามีของนางเห็นเขาในสภาพเช่นนี้เข้าก็กลืนไม่เข้าคลายไม่ออก คุณชายสวีสี่รู้สึกละอายอยู่บ้าง จึงยิ้มแย้มกล่าวกับทั้งคู่ว่า “ฮ่องเต้ซีหลิงไปแล้วหรือ”
เยี่ยหลีพยักหน้านั่งลงข้างเตียงมองสีหน้าของสวีชิงปั๋วอย่างละเอียด พอเห็นว่าดูดีกว่าเมื่อวานอยู่บ้าง จึงกล่าวว่า “เพิ่งจะส่งเสด็จไปเมื่อครู่ พี่สี่ท่านใจร้อนดูของพวกนั้นอีกแล้วหรือ ยังไม่หายดีก็พักผ่อนให้มากๆ เถิด หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจริงๆ ก็ยังมีซิวเหยาและเฟิ่งซานอยู่ไม่ใช่หรือ” สวีชิงปั๋วยิ้มกล่าว “นอนอยู่บนเตียงมาหลายวันเพียงนี้ ทำอะไรก็ไม่ได้ออกจะน่าเบื่อไม่น้อย จึงดูฆ่าเวลาเท่านั้น” เขามองม่อซิวเหยาที่นั่งอยู่บนเก้าอี้อีกด้านคราหนึ่ง สวีชิงปั๋วถาม “พวกเจ้าจะกลับไปเมื่อใด” ยามนี้ต้าฉู่กำลังปั่นป่วนวุ่นวาย เดิมเป็นโอกาสดีที่พวกเขาจะยึดตรองซีหลิง แต่ซีหลิงอาณาเขตกว้างใหญ่ ครั้งนี้แม้จะจัดการเมืองหลวงของซีหลิงได้ง่ายๆ แต่นี่เป็นเพราะโชคช่วยโดยแท้ หากคิดอยากจะยึดดินแดนทั้งหมดของซีหลิง ใช้เวลาสามปีห้าปีก็ไม่นับว่านานอะไร ถึงยามนั้นหากให้เป่ยหรง เป่ยจิ้งและเหลยเจิ้นถิงตั้งหลักได้ที่ต้าฉู่แล้ว นั่นจึงเรียกว่าได้ไม่คุ้มเสีย อย่างไรเสียไม่ว่าซีหลิงจะใหญ่โตเพียงใดก็เทียบกับต้าฉู่ที่อุดมสมบูรณ์ไม่ได้เลย
ม่อซิวเหยากล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ครึ่งเดือนหลังจากนี้ อาหลีมีครรภ์ระยะเวลาในการเดินทางจึงต้องช้ามาขึ้น ดังนั้นจึงอยู่นานไม่ได้แล้ว”
สวีชิงปั๋วพยักหน้า คิดคำนวณครู่หนึ่งจึงกล่าว “ครึ่งเดือนก็เพียงพอแล้ว ถึงตอนนั้นข้าก็คงลงจากเตียงได้แล้ว” ม่อซิวเหยากล่าว “ข้าส่งจดหมายไปให้เสิ่นหยางแล้ว เขาน่าจเร่งเดินทางมาถึงก่อนพวกเราไป”
สวีชิงปั๋วตะลึง ส่ายหน้าพลางยิ้มกล่าว “ไม่ต้องทำเช่นนี้หรอก ท่านหมอเสิ่นต้องคอยดูแลหลีเอ๋อร์ไม่ใช่หรือ”
เยี่ยหลีขมวดคิ้วแย้งเขา “จะไม่ต้องได้อย่างไร ข้าแค่ตั้งครรภ์ไม่ได้ป่วยอะไรเสียหน่อย คนที่ต้องการยามคลอดลูกคือหมอตำแยไม่ใช่หมอยา ยิ่งไปกว่านั้นในเมืองหลีจะขาดหมอไปสักคนไม่ได้เชียวหรือ หากพี่สี่ไม่พักรักษาตัวให้ดีแล้วทิ้งอาการเรื้อรังเอาไว้ ป้าสะใภ้ใหญ่จะเสียใจเพียงใด” สวีชิงปั๋วอยากจะกล่าวต่ออีก แต่โดนเยี่ยหลีถลึงตามองอย่างแน่วแน่กล่าวว่า “ห้ามเถียงข้า! ท่านหมอเสิ่นก็เคยบอกว่าอยู่ที่เมืองหลีมานานหลายปีก็เริ่มจะรำคาญแล้ว ได้ออกมาเดินดูนั่นดูนี่บ้างก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดี ยิ่งไปกว่านั้นซีหลิงเป็นเมืองที่เราพึ่งจะได้มา โบราณกล่าวไว้ว่ามังกรที่แข็งแกร่งก็ยังไม่อาจสยบงูพื้นถิ่นได้[1] มีหมอที่ฝีมือการแพทย์ยอดเยี่ยมอยู่ พวกเราจะได้พอวางใจขึ้นมาได้บ้าง”
สวีชิงปั๋วรู้ว่าเถียงไม่ชนะเยี่ยหลี จึงทำเพียงยิ้มอย่างจนใจซึ่งถือเป็นการตอบรับแล้ว
ม่อซิวเหยาจึงกล่าวต่อ “ข้าจะทิ้งกองกำลังที่เหลืออีกสามแสนนายไว้ที่นี่ ผู้นำทัพคือจางฉี่หลัน นิสัยของเขาตรงไปตรงมาแต่กลับหัวรั้นและไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น พวกเจ้าสองคนคนหนึ่งบุ๋นคนหนึ่งบู๊คงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เจ้าคิดเห็นเช่นไร” สวีชิงปั๋วย่อมไม่มีความคิดเห็นใด แม้ยามนี้กองกำลังตระกูลม่อจะยึดดินแดนผืนใหญ่ของซีหลิงไว้ได้ แต่ทว่าสวีชิงปั๋วกลับไม่อาจวางใจลงได้ ซ้ำจางฉี่หลันยังเป็นแม่ทัพเก่าของกองกำลังตระกูลม่อ ประสบการณ์ในการนำทัพจึงมากมาย หากให้เขานำทัพสามแสนกว่านายได้ล่ะก็ สวีชิงปั๋วก็วางใจไปได้มาก
เยี่ยหลีนึกถึงเรื่องฮูหยินใหญ่สวีขึ้นมาได้จึงรีบเอ่ยถาม “ท่านป้าสะใภ้ใหญ่จะกลับไปกับเราหรือไม่”
สวีชิงปั๋วยิ้มขื่นอย่างจนใจ ส่ายหน้าตอบ “ท่านแม่ทราบว่าข้าจะอยู่ที่ซีหลิงต่อ เกรงว่าคงจะอยู่ที่นี่ต่ออีกสักพัก” ในความจริงแล้วคำพูดเดิมของฮูหยินใหญ่สวีคือ ‘พี่ใหญ่เจ้าข้าอบรมอะไรไม่ได้แล้ว น้องชายเจ้ายังเด็กกว่าเจ้าอยู่หน่อย หากไม่ได้เห็นเจ้าแต่งงานมีครอบครัวข้าก็จะไม่กลับตระกูลสวีอีก!’ ยามนี้มาตรฐานที่ฮูหยินใหญ่สวีมีต่อลูกสะใภ้ตัวเองลดลงมาเรื่อยๆ แล้ว จากนักปราชญ์บัณฑิตปัญญาชนลดลงมาเป็นเพียงแค่สะอาดบริสุทธิ์จิตใจดีก็เพียงพอแล้ว
มองดูท่าทางจนใจของสวีชิงปั๋ว เยี่ยหลีก็จินตนาการได้ว่าฮูหยินใหญ่สวีได้กล่าวอะไรไว้บ้าง ไตร่ตรองดูครู่หนึ่งจึงยิ้มอย่างยกย่องแล้วกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คงเป็นป้าสะใภ้ใหญ่ไม่วางใจพี่สี่แล้วกระมัง จะอยู่ที่ซีหลิงสักพักนั้นไม่ใช่เรื่องลำบากอะไร รอท่านป้าคิดถึงพวกเราเมื่อใดก็ค่อยส่งคนมารับไปก็ได้แล้ว” ม่อซิวเหยาก็ไม่แย้งอะไร พยักหน้ากล่าว “เช่นนี้ก็ดียิ่งนัก ครึ่งเดือนหลังจากนี้ ข้ากับอาหลีก็จะเดินทางกลับเมืองหลี ทางนี้ทั้งหมดก็ฝากเจ้าด้วย”
สวีชิงปั๋วลังเลครู่หนึ่งก็กล่าวในสิ่งที่ตนกังวลออกมา “ก่อนหน้านี้ข้าไม่ได้มีประสบการณ์อะไรมากมาย เกรงว่าจะ…”
ม่อซิวเหยาขมวดคิ้วคิดก็เข้าใจได้ถึงความกังวลของสวีชิงปั๋ว ปีนี้สวีชิงปั๋วเพิ่งจะอายุยี่สิบสี่ยี่สิบห้าก็ต้องมาดูแลอาณาเขตเทียบเท่ากับหนึ่งในสามของซีหลิงแล้ว เรียกได้ว่าเป็นขุนนางที่มีอำนาจอย่างเต็มที่ในการบริหารบ้านเมืองเหนือขุนนางคนอื่นๆ ที่มีอำนาจอีกที การที่ยากจะให้คนยอมปฏิบัติตามในชั่วเวลาอันสั้นนั้น ก็เป็นไปได้ เขาเชื่อในความสามารถของสวีชิงปั๋ว แต่ความสามารถนั้นก็ต้องการเวลาจึงจะแสดงออกมาได้อย่างมีศักยภาพ หลังจากพวกเขาออกจากซีหลิงไปแล้ว เกรงว่าวันคืนของสวีชิงปั๋วนั้นคงจะผ่านไปได้ไม่ค่อยดีนัก ก่อนหน้านี้เขาพิจารณาเพียงแค่ความสามารถเท่านั้น แต่กลับลืมไตร่ตรองถึงอายุของสวีชิงปั๋วด้วย ติ้งอ๋องยามนี้มีคนไม่พอให้ใช้เสียแล้ว
[1] มังกรที่แข็งแกร่งก็ยังไม่อาจสยบงูพื้นที่ได้ ผู้มีอำนาจยังยากที่จะจัดการกับเจ้าถิ่นในท้องถิ่น