เยี่ยหลียักคิ้วเล็กน้อย อมยิ้มกล่าวว่า “ข้ามีความคิดอยากเสนอ แต่ไม่ทราบว่าพี่สี่จะคิดเห็นเช่นไร”
สวีชิงปั๋วอมยิ้มมองเยี่ยหลี “ความคิดที่หลีเอ๋อร์เสนอ ล้วนเป็นความคิดที่ดีทั้งสิ้น รีบบอกมาให้พี่สี่ฟังเถิด”
เยี่ยหลีเอ่ย “พี่สี่ไม่ลองเชิญอาจารย์ซิ่วถิงจากเมืองเปี้ยนมาที่นี่ดูเล่า ท่านอาจารย์ซิ่วถิงมีลูกศิษย์ลูกหาอยู่ที่ซีหลิงเสียส่วนมาก หากเขามาช่วยพี่สี่ได้ เช่นนั้นพี่สี่คงจะจัดการเรื่องราวที่ซีหลิงได้อย่างราบรื่น” แม้ท่านอาจารย์ซิ่วถิงจะแสดงถึงเจตจำนงว่าสวามิภักดิ์ต่อตำหนักงอ๋อง แต่บัณฑิตในสายบุ๋น โดยเฉพาะบัณฑิตสายบุ๋นเหล่านั้นที่ประสบความสำเร็จไม่ธรรมดา มักจะมีนิสัยประหลาด หากเป็นเยี่ยหลีหรือม่อซิวเหยาเอ่ยปากให้เขามา เขาก็คงมาอย่างเสียไม่ได้ แต่ก็เกรงว่าคงจะมีความคิดดูถูกและปมในใจต่อสวีชิงปั๋วอย่างเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งอาจจะส่งผลร้ายต่อการจัดการงานของสวีชิงปั๋วได้
ในฐานะที่สวีชิงปั๋วเป็นลูกหลานของสกุลสวี เขาย่อมเข้าใจความเป็นขงจื้อยอดนักปราชญ์แห่งใต้หล้า ยิ่งไปกว่านั้นท่านอาจารย์ซิ่วถิงยังเป็นผู้ที่ท่านปู่และบิดาของเขาต่างเคารพนับถือ เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้ายิ้มกล่าวว่า “หลีเอ๋อร์ไม่ทำให้พี่สี่ผิดหวังจริงๆ พี่สี่รู้ว่าควรจะจัดการอย่างไรแล้ว” เยี่ยหลียิ้มบางกล่าว “เป็นพวกเราต่างหากที่ต้องลำบากพี่สี่แล้ว เช่นนั้นหลีเอ๋อร์ก็ไม่รบกวนเวลาพักผ่อนของพี่สี่แล้ว ระยะนี้พี่สี่ก็รักษาตัวให้หายดีก่อนเถิด”
ม่อซิวเหยาพยุงเยี่ยหลีหมุนตัวเดินจากไป ก่อนจะไปยังกล่าวทิ้งท้ายไว้ประโยคหนึ่งว่า “กลับมาข้าจะให้เฟิ่งหวายถิงมาช่วยเจ้าจัดการปัญหาของพ่อค้าที่ร่ำรวยในซีหลิง”
สวีชิงปั๋วตกใจ ยิ้มพลางกล่าว “ขอบคุณท่านอ๋อง”
มองส่งทั้งคู่กลับไป สวีชิงปั๋วคิดๆ ดูแล้วก็เรียกคนให้หยิบพู่กันกับหมึกเข้ามา แล้วจรดพู่กันเขียนจดหมายเรียนเชิญอย่างจริงใจฉบับหนึ่งก่อนให้คนเอาไปส่งที่เมืองเปี้ยน พลางคิดตรองดูว่ามีเวลาพอที่จะไปเมืองเปี้ยนได้สักคราหรือไม่ เขาทำได้เพียงเสียดายที่ยามนี้ตนกำลังบาดเจ็บอยู่ หากรอจนม่อซิวเหยาจากไปแล้วก็จะยิ่งไม่มีเวลาว่างเข้าไปอีก
หลังจากออกจากเรือนของสวีชิงปั๋วมาแล้ว เยี่ยหลีจึงหันไปยิ้มน้อยๆ กล่าวกับม่อซิวเหยาว่า “ซิวเหยา ขอบคุณเจ้านัก”
ม่อซิวเหยาตกใจ ก้มหน้ามองเยี่ยหลีด้วยสายตาอ่อนโยน “ขอบคุณอะไรข้ากัน” เยี่ยหลีตอบ “ขอบคุณที่เจ้าทำเพื่อพี่สี่” ไม่ว่าจะเป็นการเรียกเสิ่นหยางมาที่ซีหลิงหรือจะเฟิ่งหวายถิง ล้วนไม่ได้มีอยู่ในแผนการเดิมของม่อซิวเหยาทั้งสิ้น โดยเฉพาะเฟิ่งหวายถิง เพราะยามนี้เฟิ่งหวายถิงกำลังรวบรวมกิจการภายใต้ชื่อตำหนักติ้งอ๋องอยู่ที่ซีเป่ยและยุ่งอยู่กับกิจการที่ซีเป่ย ม่อซิวเหยาก้มหน้าให้หน้าผากของตนชนกับหน้าผากของเยี่ยหลี ถูไปมาพลางกล่าวเสียงเบาว่า “สวีชิงปั๋วเป็นพี่สี่ของเจ้าไม่ใช่หรือ อีกทั้งเขายังช่วยเจ้าและลูกของเราเอาไว้ ข้าก็ควรจะดีกับเขาให้มาก”
เยี่ยหลียิ้มพลางกล่าว “เจ้าดีต่อพวกเขามาโดยตลอด ข้ารู้” แม้ม่อซิวเหยามักจะใช้ทุกวิถีทางมาบีบคั้นพี่ใหญ่แต่ก็แค่กับพี่ใหญ่คนเดียวเท่านั้น กับพี่ชายที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของนางคนอื่นๆ นับว่าเขาปฏิบัติด้วยไม่เลว ก็เหมือนครานี้ที่ก่อนจะบุกโจมตีซีหลิง ม่อซิวเหยาก็คิดไว้ดีแล้วว่าจะให้สวีชิงปั๋วอยู่ที่ซีหลิงต่อ นี่นับว่าเป็นการปูทางในอนาคตให้กับสวีชิงปั๋วไว้แล้ว สวีชิงปั๋วอายุยังน้อยเกินไป อีกทั้งยังเป็นคนนอกที่แทบจะไม่รู้เรื่องภายในตำหนักติ้งอ๋องมาโดยตลอด ทว่าเรื่องราวของซีหลิงนั้นหากเขาสามารถจัดการได้อย่างเหมาะสมดีงามแล้ว อนาคตของเขาก็จะไม่ด้อยไปกว่าผู้ใดในตำหนักติ้งอ๋องเลย
“หากอาหลีพอใจ ข้าย่อมดีต่อพวกเขา” ม่อซิวเหยายิ้มกล่าว ก้มลงงับกลีบปากอิ่มสีชมพูของนางเบาๆ เยี่ยหลีถลึงตามองเขาอย่างทำอะไรไม่ได้ “เช่นนั้นเจ้าก็ดีต่อพี่ใหญ่สักหน่อยได้หรือไม่” ข้าไม่อยากเป็นทหารเสี่ยงตายที่ยืนอยู่ตรงกลางระหว่างพวกท่านจริงๆ ม่อซิวเหยาหัวเราะเสียงต่ำ “เรื่องนี้หรือ…อาหลีทำใจสร้างความลำบากให้สามีเช่นนี้ได้อย่างไร สามีเจ็บปวดใจยิ่งนัก”
เยี่ยหลีกรอกตาคราหนึ่ง “นี่เรียกว่าสร้างความลำบากอะไรกัน เจ้าจะตาต่อตา ฟันต่อฟันกับพี่ใหญ่หรือ”
“เรื่องนี้หรือ…ผู้ใดใช้ให้เขาเกิดมาหน้าตาน่ารังเกียจกัน เจ้าดูสิ…ยามนี้ยังหาภรรยาไม่ได้ นี่ไม่ใช่หลักฐานยืนยันหรอกหรือ” ม่อซิวเหยาลูบผมงามที่มีกลิ่นหอมจางๆ ของนางกล่าวอย่างเกียจคร้าน
“…” ดังนั้น เจ้ากำลังอิจฉาที่พี่ใหญ่หน้าตาดีกว่าเจ้าเช่นนั้นหรือ
“ท่านอ๋อง พระชายา…” พอออกจากเรือนสวีชิงปั๋วมาทั้งคู่ก็กำลังจะกลับเรือน เยี่ยหลีจึงนึกขึ้นได้ว่ายังมีไป๋ฮูหยินที่ถูกพากลับมารอเข้าพบอยู่ ดังนั้นม่อซิวเหยาจึงเดินไปพบคนผู้นั้นกับเยี่ยหลีด้วยความแค้นที่มีอยู่เต็มอก พอก้าวเข้ามาในโถงบุปผา ไป๋ฮูหยินที่เดิมอยากจะต้อนรับพวกเขาก็ตัวแข็งทื่อไปทันที มองม่อซิวเหยาที่พยุงเยี่ยหลีเข้ามาด้วยสีหน้าซีดเผือด ลืมแม้กระทั่งว่าจะต้องรีบเข้าไปถวายคำนับ
เยี่ยหลีเลิกคิ้ว แต่ก็ไม่ได้ถือสาที่ไป๋ฮูหยินเสียมารยาทเช่นนี้ ยิ้มบางกล่าวว่า “ไป๋ฮูหยินขอเข้าพบข้า มีเรื่องอะไรเช่นนั้นหรือ”
“หม่อมฉัน…หม่อมฉัน…” ไป๋ฮูหยินมองม่อซิวเหยาแล้วแขนขาก็พลันแข็งทื่อราวกับโดนแช่แข็ง ข้างหูนึกถึงเสียงกรีดร้องอย่างทรมานอันนับไม่ถ้วนในวันนั้นและเสียงร้องไห้อันน่าเวทนาของบุตรสาวของตนที่ถูกลากลงมา สีหน้าจึงยิ่งดูย่ำแย่หนักขึ้น ทั่วทั้งร่างสั่นกลัวราวกับจะล้มแหล่มิล้มแหล่
“ไป๋ฮูหยิน” เยี่ยหลีขมวดคิ้วถาม “ฮูหยินมีตรงใดไม่สบายหรือ”
ไป๋ฮูหยินตกใจ ยังดีที่ได้สติกลับคืนมาจึงรีบตอบ “หม่อมฉัน…หม่อมฉันไม่ ขอบคุณพระชายาที่ห่วงใย หม่อมฉัน…ไม่เป็นอะไร”
เยี่ยหลีไม่กล่าวคำใด ท่าทางของไป๋ฮูหยินไม่เหมือนกับไม่เป็นไรแม้แต่น้อย
“ที่ไป๋ฮูหยินมาพบข้า ด้วยเพราะมีเรื่องอะไรอยากจะพูดหรือ”
ไป๋ฮูหยินหน้าซีดเผือด ในใจกรีดร้องอย่างทุกข์ทรมานเงียบๆ ติ้งอ๋องอยู่ตรงหน้านาง ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่นางอยากจะร้องขอความเมตตาเลย เพียงแค่อยากจะเอ่ยถามสารทุกข์สุกดิบนั้นยังแทบจะเอ่ยไม่ออก
เห็นดังนั้น เยี่ยหลีจึงเอียงกายไปมองม่อซิวเหยา เมื่อเห็นสีหน้าม่อซิวเหยาที่ถึงแม้จะเรียบเฉย แต่ยังนับว่าเจือความอ่อนโยนไว้อยู่บ้าง อารมณ์ดูจะดีไม่น้อย จึงคิดว่าไม่น่าจะถึงขนาดทำคนตกอกตกใจได้
“ซิวเหยา” คิดครู่หนึ่ง เยี่ยหลีก็ยังตัดสินใจที่จะรีบส่งไป๋ฮูหยินกลับไป “ดูแล้วไป๋ฮูหยินคงอยากจะมีเรื่องบอกกล่าวกับข้าเป็นการส่วนตัว เช่นนั้นเจ้ากลับไปก่อนดีหรือไม่” ม่อซิวเหยาโอบเยี่ยหลีไว้มือหนึ่งกล่าวว่า “แน่นอนว่าไม่ดี มีอะไรอยากพูดก็พูดมาเสีย ในเมื่อไม่พูด ในเมื่อไม่เอ่ยปากก็หมายความว่าไม่มีอะไรจะพูด ใช่หรือไม่ ไป๋ ฮู หยิน”
ไป๋ฮูหยินสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง รีบพยักหน้ากล่าว “ท่านอ๋องพูดถูกแล้วเจ้าค่ะ หม่อมฉันเลอะเลือนไปชั่วครู่รบกวนพระชายาแล้ว! หม่อมฉัน…หม่อมฉันขอลา!” กล่าวจบก็ไม่รอให้เยี่ยหลีได้กล่าวอะไร วิ่งโซซัดโซเซออกไปทันที เยี่ยหลีมองม่อซิวเหยาอย่างสงสัย “นี่มันอะไรกัน เกิดอะไรขึ้นหรือ”
ม่อซิวเหยายักไหล่ “ผู้ใดจะรู้ได้เล่า”