เมื่อเห็นท่าทางเหม่อลอยของม่อซิวเหยา เยี่ยหลีก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย หลังจากฟื้นขึ้นมา ก็รู้สึกว่าคนข้างกายนั้นมีเรื่องปิดบังนางอยู่ ที่ม่อซิวเหยาตั้งใจข่มขวัญไล่ไป๋ฮูหยินกลับไปเมื่อครู่เช่นนั้น ทำให้นางยิ่งสงสัยเข้าไปอีก
เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นมองเพื่อยืนยันความมั่นใจของตน นางมองตรงไปที่ใบหน้าหล่อเหลาของม่อซิวเหยาที่ดูเหมือนจะเจือแววรู้สึกผิดเล็กน้อย แล้วถามเบาๆ ว่า “ซิวเหยา เจ้ามีเรื่องอะไรปิดบังข้าอยู่หรือไม่”
“หื้ม...ไม่มีแน่นอน อาหลีถามทำไมหรือ” ม่อซิวเหยาอมยิ้มกล่าว รอยยิ้มบนใบหน้ากลับไม่ผ่อนคลายเหมือนยามก่อนๆ
เยี่ยหลีเลิกคิ้ว มองเขาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม แล้วกล่าวว่า “หรือว่าท่านอ๋องถูกใจสตรีตระกูลใดเข้า จึงอยากจะรับเข้าตำหนักมาเพื่อเพิ่มอี๋เหนียงให้ตัวน้อยหรือ” ม่อซิวเหยาสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย ยกยิ้มมุมปากดึงเยี่ยหลีกลับเข้ามาไว้ในอ้อมกอด กล่าวอย่างกลัดกลุ้มว่า “อาหลีเหลวไหล ข้าชอบอาหลีเพียงผู้เดียว” เยี่ยหลีหัวเราะพลางตบหลังเขาเบาๆ เอ่ยถามว่า “เช่นนั้นมันเรื่องอะไรกันแน่เจ้าถึงทำท่ามีลับลมคมในเช่นนี้ หลายวันมานี้ข้าไม่สบาย หรือคิดว่าไว้ข้าหายดีแล้วจะไปถามความเอาเองไม่ได้หรือ”
ดังนั้นจึงบอกว่า ความกังวลที่มากเกินไปก็ทำให้ท่านติ้งอ๋องทำเรื่องโง่ๆ ได้เหมือนกัน เช่นว่า ทั้งๆ ที่เขารู้ว่าเรื่องเหล่านี้ปิดยังไงก็ปิดไม่มิด เว้นเสียแต่ว่าเขาจะปิดปากคนที่รู้เรื่องนี้ให้หมด แต่จิตใต้สำนึกของเขาก็ไม่อยากให้อาหลีเห็นตนในด้านนี้
ผ่านไปพักใหญ่ ม่อซิวเหยาจึงกล่าวอย่างไม่สบายใจว่า “ข้าฆ่าบุตรสาวของไป๋อวิ่นเฉิงไปเสียแล้ว”
เยี่ยหลีตกใจเล็กน้อย คิดย้อนไปในวันนั้นที่ถูกลอบฆ่า ไป๋ชิงหนิงก็อยู่ข้างๆ นางด้วย นางถามต่อเสียงเบา “เพราะเรื่องวันนั้นใช่หรือไม่” ม่อซิวเหยามองนางแล้วเอ่ยเสียงต่ำ “ไม่เกี่ยวกับอาหลี เป็นข้าที่รู้สึกว่านางขวางหูขวางตา” เยี่ยหลียิ้มอย่างจนใจ พลางถอนหายใจเบาๆ กล่าวว่า “แม้ว่าไป๋ชิงหนิงจะโทษไม่ถึงตาย แต่เจ้าก็ไม่จำต้องปิดบังข้าด้วยเรื่องเช่นนี้กระมัง” แม้ว่าความคิดที่ฝังหัวมาจากในชาติที่แล้วหลายอย่างจะทำให้นางไม่ชินกับเรื่องคร่าชีวิตผู้คนตามอำเภอใจเช่นนี้ แต่ในใจของนางนั้นม่อซิวเหยาสำคัญกว่าไป๋ชิงหนิงที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรด้วยเป็นพันเท่าหมื่นเท่าไม่ใช่หรือ อีกทั้งหลายปีที่ผ่านมาถึงเยี่ยหลีจะไม่ชินแต่ก็เข้าใจ บางครา
ก็ไม่จำเป็นต้องฆ่าใครสักคนเพียงเพราะเขาคนนั้นสมควรตาย คนที่มีโทษไม่ถึงตายนั้นมีมากนัก แต่กระนั้นคนที่ตายโดยที่มีโทษไม่ถึงตาย เกรงว่าคงจะมากกว่าคนที่สมควรตายมากนัก พวกเขาอยู่ในฐานะเช่นนี้ ในหลายๆ คราก็ทำอะไรตามใจไม่ได้อยู่แล้ว
ม่อซิวเหยาเหลือบตาขึ้นมองจ้องนาง ครู่ต่อมาจึงกล่าวว่า “ข้ายังฆ่าบรรดาชนชั้นสูงที่มีอำนาจของซีหลิงไปอีกไม่น้อย”
เยี่ยหลีเงียบไปพักหนึ่งก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วเอ่ยถาม “เท่าใดหรือ”
“สามส่วน” ม่อซิวเหยาตอบอย่างไม่ใส่ใจ พวกขุนนางชั้นสูงของเมืองซีหลิงสามส่วนกว่าๆ ล้วนถูกเขาฆ่าล้างโคตรจนสิ้น นี่ส่งผลกระทบต่อทั่วหล้าได้มากกว่าการฆ่าประชาชนคนธรรมดาไปเป็นพันเป็นหมื่นเสียอีก
นานทีเดียวเยี่ยหลีจึงได้กลับมาพิงอกของม่อซิวเหยาอีกครา นางถอนหายใจเบาๆ เอ่ยว่า “เจ้าปิดเรื่องนี้กับข้าไม่ยอมให้พวกเขาบอกข้าก็ด้วยเรื่องนี้น่ะหรือ” ม่อซิวเหยาก้มลงลูบผมนุ่มของนาง กล่าวอย่างไม่สบายใจนักว่า “ไม่ใช่ว่าอาหลีไม่ชอบให้ข้าฆ่าคนตามอำเภอใจหรอกหรือ” เยี่ยหลียังคงมีความรู้สึกอึดอัดหนักอึ้งอยู่ในใจ เงยหน้ามองเขาด้วยท่าทางหัวเสียคราหนึ่ง “เจ้ายังรู้จักว่านี่คือการฆ่าคนตามอำเภอใจหรอกหรือ ข้าก็ไม่ใช่พระโพธิสัตว์ที่ให้คนไว้กราบไหว้ในวัดวาอาราม ยามที่ต้องผิดศีลข้อที่ห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิตจริงๆ ก็จะไม่อ่อนข้อให้เหมือนกัน จะเพราะเจ้าบันดาลโทสะหรือเพราะเหตุผลอะไรจึงได้ฆ่าเหล่าขุนนางพวกนั้นก็ช่างมันเถิด แต่เหล่าบรรดาคนรับใช้พวกนั้นรู้เรื่องอะไรด้วย ทำชื่อเสียงตัวเองให้แปดเปื้อนไปเปล่าๆ โดยแท้”
ม่อซิวเหยามองนางเงียบๆ เขาเพียงยั้งตัวเองไม่อยู่เท่านั้นเองไม่ใช่หรือ…
เห็นสีหน้าท่าทางเขาแบบนี้แล้ว เยี่ยหลีไหนเลยจะโกรธต่อได้ ยกมือขึ้นลูบหว่างคิ้วที่ขมวดแน่นให้เขาเบาๆ กล่าวเสียงอ่อนโยนว่า “แม้ข้าจะบอกว่าไม่เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรมอะไร แต่การฆ่าคนมากมายเช่นนี้ย่อมทำร้ายจิตใจส่วนที่ดีงาม และยิ่งง่ายต่อการสูญเสียจิตใจของตนไป ซิวเหยา ข้าหวังว่าเจ้าจะมีชีวิตที่ดี” ยามอยู่ที่เมืองเปี้ยนนั้นเยี่ยหลีสังเหตได้ว่าในจิตใจของม่อซิวเหยามีความชั่วร้ายที่น่าหวาดกลัวเหลือกำลังแฝงอยู่ หลายปีมานี้เขาควบคุมไว้ได้ดี แต่ผลกระทบจากการเสียความควบคุมที่มีอยู่น้อยครั้งก็ทำให้น่าตกใจอยู่ไม่น้อย อาจเป็นไปได้ว่านี่อาจเป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่เขากักเก็บความแค้นเกี่ยวกับกองทัพตระกูลม่อและติ้งอ๋องทั้งสองรุ่นเอาไว้ เยี่ยหลีไม่อยากให้การเสียความควบคุมนี้กลายเป็นเรื่องปกติ ไม่เช่นนั้นผลมีอยู่เพียงสองทาง ทางหนึ่งคือ เขาระบายเอาความอาฆาตแค้นในใจออกมาจนหมดแล้วค่อยๆ สงบลง อีกทางหนึ่งคือ เขาจะสูญเสียความเป็นตัวเองไปในระหว่างการเข่นฆ่าที่ไม่สิ้นสุดนี้ แต่ไม่ว่าทางใด ก็ล้วนต้องแลกมาด้วยชีวิตของคนจำนวนนับไม่ถ้วน
“อาหลี…” ม่อซิวเหยามองชายาที่มองเขาอยู่ด้วยสีหน้ากังวลเต็มดวงหน้าอย่างตกใจ หลุบตาลงต่ำด้วยท่าทีเหนื่อยล้า พิงไหล่เยี่ยหลีกล่าวเสียงเบาว่า “อาหลี ข้าเหนื่อยเหลือเกิน…อย่าจากข้าไปนะ…” เขารู้ว่าอาหลีกำลังกังวลเรื่องอะไร ความจริงแล้วเขาเองก็รู้ดี ดังเช่นเรื่องในครานี้ ทั้งๆ ที่เขามีวิธีที่ดีกว่านี้ในการจัดการ แต่ยามนั้นในใจเขากลับไม่มีวิธีใดเลย มีเพียงแค่ความอยากฆ่าคนทั้งหมดที่มาทำร้ายอาหลีเท่านั้น นอกจากนั้นแล้ว เขาไม่เคยคำนึงถึงความเป็นไปได้ใดๆ ทั้งสิ้น ผลลัพธ์เช่นนี้ แม้ว่ายามนี้เขายังคงรู้สึกว่าไม่เลวร้าย แต่กลับรู้ดีว่ามันได้ฝังฝังความเลวร้ายเอาไว้ไม่น้อย
เยี่ยหลียื่นมือไปจับมือเขามาวางลงบนหน้าท้องที่ยังคงแบนราบของตัวเองเบาๆ ยิ้มบางกล่าวว่า “ข้าจะจากเจ้าไปได้อย่างไร เรามีสิ่งล้ำค่าตัวน้อยด้วยกันแล้วคนหนึ่ง ยามนี้ก็ยังมีมาเพิ่มอีกคนเช่นนี้” มือของม่อซิวเหยาที่วางอยู่บนท้องนางชะงักเบาๆ ถามเสียงค่อยว่า “หากไม่มีลูกเล่า” เยี่ยหลีแย้มยิ้มกล่าว “หากไม่มีลูก เกรงว่าท่านอ๋องก็คงจะไปมองหญิงอื่นแล้วกระมัง” ม่อซิวเหยาส่ายหน้า เชยคางเรียวของนางขึ้นให้นางสบสายตาแวววาวของตน “ข้าไม่สนใจลูกหรอก ต่อให้ไม่มีลูก ข้าก็ยังต้องการเพียงแค่อาหลีคนเดียวอยู่ดี”
ในยุคสมัยเช่นนี้ สำหรับสตรีแล้วนี่นับว่าเป็นคำหวานที่ลึกซึ้งกินใจที่สุด เยี่ยหลียิ้มบาง กล่าวหยอกเขาว่า “ท่านอ๋องมากล่าวเช่นนี้ในยามนี้ก็สายไปเสียแล้ว” ตอนนี้พวกเขาต่างมีลูกด้วยกันแล้วคนหนึ่งและกำลังจะมีอีกคน ความลึกซึ้งของประโยคนี้ย่อมลดลงไปอย่างมาก
เห็นเยี่ยหลีท่าทางจะไม่โกรธแล้วจริงๆ รอยยิ้มของม่อซิวเหยาก็ค่อยๆ แย้มบานมากขึ้น ค่อยๆ กอดนางมาไว้ในอ้อมอกแล้วยิ้มกล่าวว่า “ที่ข้ากล่าวมานั้นล้วนมาจากใจจริงทั้งสิ้น หากไม่ใช่ลูกของอาหลีแล้ว ข้าได้มาจะมีประโยชน์อะไร”
“จริงสิ ที่ไป๋ฮูหยินมาขอเข้าเฝ้านั้นมีเรื่องอะไรหรือ” เยี่ยหลีพิงอกม่อซิวเหยาเอ่ยถามเบาๆ ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วกล่าวอย่างไม่ใส่ว่า “ตระกูลสูงส่งตกต่ำมากมายเช่นนั้น ไม่กี่วันมานี้ข้าได้เมินเฉยละเลยต่อตระกูลไป๋ไป คาดว่าไป๋อวิ่นเฉิงคงจะใจร้อนไม่น้อย”
“เจ้าคิดจะละทิ้งตระกูลไป๋หรือ” เยี่ยหลีเอ่ยถามด้วยความฉงน ตระกูลไป๋นับว่าเป็นตระกูลสูงศักดิ์ที่มีอยู่น้อยนิดของซีหลิง ทั้งยังเป็นตระกูลที่มาสวามิภักดิ์เป็นตระกูลแรก ไม่ว่าจะในด้านน้ำจิตน้ำใจหรือเหตุผล ตำหนักติ้งอ๋องก็ควรจะให้เกียรติตระกูลไป๋อยู่บ้าง แต่ยามนี้ม่อซิวเหยากลับไม่ลังเลที่จะสังหารลูกสาวสายหลักของตระกูลไป๋แม้แต่น้อย ย่อมมีความคิดว่าจะทอดทิ้งตระกูลไป๋ไว้อยู่ก่อนแล้ว ม่อซิวเหยาพยักหน้ากล่าว “ตระกูลไป๋มีไม่กี่คนที่สามารถเก็บไว้ใช้งานได้ ยิ่งไปกว่านั้นล้วนไม่มีจุดยืนกันทั้งตระกูล คราแรกเหลยเจิ้นถิงมีอำนาจก็เอนเอียงไปทางเขา ยามนี้เราเพิ่งจะได้เมืองซีหลิงมาก็เอนเอียงมาทางตำหนักติ้งอ๋องเสียแล้ว ถึงจะบอกว่าเขาอ่านสถานการณ์ออกก็พอจะมีประเด็น แต่บางคนหากทำจนชัดเจนมากเกินไป…ก็มีแต่จะทำให้รู้สึกว่าไม่น่ามอง กิจการของตระกูลไป๋อยู่ที่นั่น หากให้ความสำคัญก็ยากจะเลี่ยงให้คนอื่นรู้สึกว่าไม่ยุติธรรม หากปล่อยให้ว่างไว้ ไป๋อวิ่นเฉิงช้าเร็วก็ต้องแปรพักตร์ ไม่สู้จัดการไปเสียแต่ตอนนี้จะดีกว่า ส่วนตระกูลชายาสนมอะไรนั่น เฮอะ! ข้าไม่อยากให้ตัวน้อยของเราได้แต่งเอาสตรีตระกูลไป๋มาเป็นชายาหรอก”