กล่าวถึงเรื่องนี้แล้วเยี่ยหลีพลันพูดไม่ออก ในฐานะที่เป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่มาสองร้อยกว่าปี แต่เฟ้นหาเท่าใดก็หาผู้มีความสามารถออกมาไม่ได้สักคนอีกทั้งตระกูไป๋นี้ไม่เพียงแต่เจริญรุ่งเรืองเป็นเวลาสองร้อยปีเท่านั้น ซ้ำยังเป็นหนึ่งในตระกูลที่แข็งแกร่งของซีหลิงอีกด้วย นับว่าช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก หรือจะกล่าวได้ว่า ตระกูลไป๋ไม่ใช่ว่าจะไม่มีผู้ที่มีความสามารถ แต่คนเหล่านี้กลับไม่เคยใช้สมองในที่ที่ควรจะใช้มาก่อนเลยต่างหาก หากดูในด้านของน้ำจิตน้ำใจแล้ว เยี่ยหลีก็ไม่อยากให้ตำหนักติ้งอ๋องเหลือตระกูลใต้ปกครองเอาไว้เพียงตระกูลเดียวเช่นนี้ ซ้ำยังเป็นตระกูลของนางสนมอีกด้วย อีกทั้งสายเลือดเดียวกันหรือใกล้เคียงกันมาแต่งงานกันจะส่งผลไม่ดีต่อยีนส์ของลูกหลาน
“เจ้าคิดเห็นเช่นไร จะให้ข้าพบไป๋ฮูหยินคนนี้หรือไม่” เยี่ยหลีเอ่ยถาม
ม่อซิวเหยาส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก เจ้าอยู่ให้ห่างสกุลไป๋คนนั้นให้มากหน่อยจะดีกว่า สตรีนางนั้นท่าทางน่าสงสัย”
“เอ๋” เยี่ยหลีเลิกคิ้ว นางมองๆ ดูเมื่อครู่ก็ไม่เห็นว่าไป๋ฮูหยินจะมีที่ใดผิดปกติ ม่อซิวเหยาส่งเสียงขึ้นจมูกเบาๆ กล่าวว่า “นางกล้าที่จะให้ข้าหลบฉากไป แต่กลับถูกข้าทำให้ตกใจจนไม่กล้าพูดอะไรหรือ หากมีเรื่องสำคัญต่อครอบครัวหรือเรื่องที่ตระกูลต้องล่มจมจริงๆ ต่อให้นางจะตกใจจนเป็นลมล้มพับลุกไม่ขึ้นอย่างไรก็ต้องพูดออกมาได้อยู่ดี นางเป็นถึงนายหญิงใหญ่ของตระกูลไป๋ นางไม่เหมือนสตรีธรรมดาๆ ที่จะลืมลำดับความสำคัญในการพูดเช่นนี้หรอก”
“เช่นนั้นนางต้องการจะทำอะไรกันแน่” เยี่ยหลีพิงอยู่ในอกม่อซิวเหยา กล่าวด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมานางรู้สึกเกียจคร้านขึ้นมากนัก กระทั่งการใช้สมองก็ยังคร้านที่จะทำ
ม่อซิวเหยากล่าวเรียบๆ “ยามนี้ยังไม่รู้ แต่ข้าจะให้คนจับตาดูนางไว้”
“อืม ดี...” เสียงของเยี่ยหลีแฝงด้วยความเหนื่อยล้าเล็กน้อย ม่อซิวเหยาจึงไม่พูดอะไรอีก ก้มหน้ามองคนในอ้อมอกที่ปิดเปลือกตาลงเข้าสู่นิทราอย่างช้าๆ สายตาเขาเจือแววอ่อนโยนดุจสายน้ำ
“ท่าน…” เฟิ่งจือเหยาก้าวเข้าประตูมายังไม่ทันจะได้กล่าวอะไรก็ถูกม่อซิวเหยามองด้วยสายตาเย็นเยียบห้ามเอาไว้ บังเอิญได้เห็นสายตาของท่านอ๋องที่พลันแปรเปลี่ยนจากอ่อนโยนเหลือคณาเป็นเหมันต์อันเย็นยะเยือก เฟิ่งจือเหยาก็อดจะสบถในใจไม่ได้
นี่ช่างเป็นการเห็นคนรักดีกว่าสหาย
พอมีความรักแล้วก็ละความเป็นมนุษย์ไปได้โดยแท้
ม่อซิวเหยาราวกับรู้ว่าเฟิ่งจือเหยากำลังตำหนิอะไรตนอยู่ จึงส่งเสียงขึ้นจมูกไปคราหนึ่งแล้วอุ้มเยี่ยหลีกลับห้องไป คุณชายเฟิ่งซานผู้น่าสงสารที่มีเรื่องจะบอกทำได้เพียงเดินตามหลังไปอย่างเงียบๆ เท่านั้น
ม่อซิวเหยาวางเยี่ยหลีลงเรียบร้อยแล้ว จึงหันหลังเดินออกไปมองคนที่ยืนเหม่อปล่อยจิตใจให้ล่องลอยไปไกลอย่างเฟิ่งซือเหยาที่หน้าประตู “มีเรื่องอะไร”
เฟิ่งจือเหยากระแอมเบาๆ แล้วดึงความคิดที่ล่องลอยไปถึงไหนต่อไหนให้กลับมา ตอบว่า “ส่งคนให้ติดตามแม่นางสกุลไป๋แล้ว หลังจากออกมาสีหน้าแววตานางดูเหมือนจะผิดปกติอยู่บ้าง ดูแล้วท่าทางตกใจที่นางมีต่อท่านอ๋องเมื่อครู่คงจะแกล้งทำอยู่ครึ่งหนึ่ง” ไม่ผิดจากที่ม่อซิวเหยาคาดคิดเอาไว้ เขาถามต่อว่า “นางมาพบอาหลีเพื่อการใด”
เฟิ่งจือเหยาส่ายหน้า ลูบคางอย่างใช้ความคิดแล้วกล่าวว่า “ท่านอ๋องเพิ่งจะฆ่าบุตรสาวของนางไปเมื่อไม่กี่วันก่อน นางอาจจะ…แก้แค้นให้บุตรสาวหรือ อืม ไม่น่าจะใช่ นางจะใจกล้าบ้าบิ่นได้ถึงเพียงนั้นได้อย่างไร”
“แก้แค้นหรือ ก็ควรจะมาหาข้าไม่ใช่หรือ”
เฟิ่งจือเหยามองเขาด้วยท่าทางอย่างกับเห็นผี “ท่านอ๋อง แม้ว่าแม่นางสกุลไป๋คนนั้นจะไม่มีประสบการณ์แต่ก็น่าจะรู้ว่าหากอยากจะจัดการกับท่านแม้จะกลับชาติมาเกิดอีกสิบครั้งก็คงไม่พอ มีประโยคหนึ่งกล่าวไว้อย่างไรแล้วนะ…อยากจะแก้แค้นให้อีกฝ่ายเจ็บปวดจนอยากตาย ก็ต้องทำลายคนที่เขารักมากที่สุด หืม”
“ว่าอย่างไรนะ…” ม่อซิวเหยาเงียบไปครู่ใหญ่ พยักหน้าเห็นด้วยกับการคาดเดาของเฟิ่งซือเหยา “ให้คนจับตาดูนางไว้ หากมีการเคลื่อนไหวอะไรก็ให้รีบฆ่านางเสีย! ไม่…ให้คนไปฆ่านางเสียตอนนี้เลย” ยามนี้อาหลีกำลังตั้งครรภ์เขาจึงไม่สะดวกที่จะลงมือ แม้จะกล่าวว่ากองกำลังตระกูลม่อกับองครักษ์ของหน่วยกิเลนล้วนพึ่งพาได้ แต่ในโลกนี้ไม่มีความปลอดภัยที่เต็มร้อยอย่างแน่นอน สิ่งที่ปลอดภัยที่สุดก็คือ…ลงมือเสียก่อนที่จะเกิดเรื่องขึ้น
เฟิ่งจือเหยากุมหน้าผากอย่างจนใจ ท่านอ๋อง ความคิดนี้ของท่านช่างคิดออกมาได้รวดเร็วยิ่งนัก นี่เป็นเพียงการคาดเดาของข้าน้อยเท่านั้น เพียงแต่ ท่านอ๋องเป็นใหญ่ที่สุด สั่งอย่างไรก็ต้องทำอย่างนั้น เฟิ่งซือเหยาคิดอย่างไร้ความรับผิดชอบ ครู่ต่อมาจึงให้คนไปตรวจดูไป๋ฮูหยินหากนางมีความเคลื่อนไหวผิดปกติอะไรจริงๆ ก็ให้จัดการปิดปากเสีย เผื่อว่าเกิดอะไรขึ้นมา เกรงว่าชนชั้นสูงผู้มีอำนาจที่ยังหลงเหลือเพียงหนึ่งในสามส่วนของเมืองหลวงแห่งนี้จะไม่รอดกันสักราย
“ข้าน้อยน้อมรับคำสั่ง จะไปจัดการเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”
ม่อซิวเหยาพยักหน้าอย่างพอใจ มองเฟิ่งจือเหยาเดินจากไปพลันส่งเสียงเรียกเขาไว้ แล้วกล่าวเสียงเย็นเยียบว่า “เฟิ่งซาน ข้าแก่มากหรือ”
เฟิ่งจือเหยาก้าวสะดุด สบถในใจอยู่เงียบๆ
ที่แท้คนที่กำลังตั้งครรภ์อยู่นั้นไม่ใช่พระชายา แต่น่าจะเป็นท่านอ๋องเสียมากกว่า นิสัย อารมณ์ และความคิดเปลี่ยนผันแปรปรวนรวดเร็วนัก
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ท่านอ๋องยามนี้ยังทั้งหนุ่มทั้งแน่น แข็งแรงอ่อนเยาว์ สง่างาม อีกทั้งยังมีความสามารถ” พอหรือยัง มองดูผมหงอกขาวของท่านแล้ว ไม่ว่าจะกล่าวประจบสอพลอเท่าใดก็อยากจะอาเจียนออกมาเท่านั้น
ม่อซิวเหยาพยักหน้า กล่าวเสียงเรียบ “เจ้าไปเถิด”
ไป๋ฮูหยินกลับมาที่จวน ยังไม่ทันจะเข้าไปยังห้องโถง ไป๋อวิ่นเฉิงก็ออกมาต้อนรับด้วยท่าทางร้อนรน “เป็นอย่างไรบ้างฮูหยิน” ไป๋ฮูหยินมองสามีด้วยแววตาแปลกประหลาด ก้มหน้าลง ไป๋อวิ่นเฉิงใจหล่นวูบ รีบไปดึงนางเข้ามาในโถงใหญ่แล้วถามว่า “ฮูหยิน พระชายาติ้งอ๋องว่าอย่างไรบ้าง”
ไป๋ฮูหยินส่ายหน้าไม่กล่าวคำใด ไป๋อวิ่นเฉิงร้อนรนจนทนไม่ไหว กล่าวต่อว่า “พระชายาติ้งอ๋องว่าอย่างไร เจ้าพูดอะไรหน่อยสิ” ไป๋ฮูหยินกล่าวเสียงเบาว่า “ติ้งอ๋องอยู่ข้างกายพระชายาตลอดเวลา ข้าไม่อาจอยู่กับนางอย่างส่วนตัวได้” ไป๋อวิ่นเฉิงขมวดคิ้วถามว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็ยังลองเชิงติ้งอ๋องได้นี่นา เจ้ามองความคิดของทั้งคู่ออกหรือไม่”
ไป๋ฮูหยินเงยหน้ามองสามี พลันหัวเราะออกมายกใหญ่ ไป๋อวิ่นเฉิงมองนางด้วยความแปลกใจ ถามว่า “เจ้าเป็นอะไรของเจ้า มีที่ใดไม่สบายหรือ”
“นายท่าน...ท่านยังจำหนิงเอ๋อร์ของเราได้หรือไม่”
ไป๋อวิ่นเฉิงตะลึงงัน เกิดอะไรขึ้น ลูกสาวเพิ่งจะจากไปได้ไม่นานยังไม่ทันจะได้ฝังด้วยซ้ำเหตุใดเขาจะจำไม่ได้ หากไม่ใช่เพราะลูกสาวคนนี้ บางทีสกุลไป๋คงไม่ตกอยู่ในสถานการณ์อันย่ำแย่เช่นนี้ ยามนี้ฮ่องเต้ซีหลิงพาผู้คนออกจากเมืองไปแล้ว ต่อให้เขาจะคิดเห็นอย่างไรก็กลายเป็นเปล่าประโยชน์ไปเสียแล้ว ตอนนี้นอกจากจะติดตามตำหนักติ้งอ๋องไปเสียโดยดี พวกเขาก็ไม่เหลือทางออกอื่นให้เดินอีก เป็นเพราะก่อนหน้านี้ไป๋ชิงหนิงได้กระทำผิดอันใหญ่หลวงต่อติ้งอ๋องไว้
ไป๋อวิ่นเฉิงเองคิดว่าตนไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกไป แต่ไป๋ฮูหยินที่จ้องมองเขาอยู่ตลอดนั้นกลับเห็นรอยความแค้นที่ปรากฏขึ้นอยู่ชั่วพริบตาหนึ่ง สายตาไป๋ฮูหยินที่หลุบต่ำอยู่นั้นกำลังกลั้นน้ำตาเอาไว้พลันยิ้มแล้วกล่าวว่า “นายท่าน ติ้งอ๋องไม่ปล่อยเราไว้แน่” ไป๋อวิ่นเฉิงไม่เข้าใจ ดึงไป๋ฮูหยินเอาไว้แล้วถามเสียงเข้ม “หมายความว่าอย่างไร เจ้าไปทำอะไรมา”
ไป๋ฮูหยินดึงมือออกจากมืออีกฝ่ายที่จับนางอยู่ กล่าวอย่างเคียดแค้นว่า “ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย! ข้าโกรธแค้นตัวเองนักที่ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง!”
ถูกแล้ว วันนี้นางตั้งใจอาศัยโอกาสที่อยู่กับเยี่ยหลีสองต่อสองลงมือฆ่าอีกฝ่ายเพื่อแก้แค้นให้แก่ลูกสาว นางมีลูกสาวเพียงคนเดียวก็คือชิงหนิง ประคบประหงมดูแลให้เติบโตมาอย่างดี แต่กลับทำได้เพียงมองดูนางถูกติ้งอ๋องฆ่าตายไป ทุกครั้งที่นางเพียงแค่หลับตาลง ก็ราวกับได้ยินเสียงอันน่าสงสารของลูกสาวดังอยู่ข้างหู “ท่านแม่…ช่วยข้าด้วย ข้ายังไม่อยากตาย! ข้าถูกใส่ร้าย…” ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะเยี่ยหลี หากไม่ใช่เพราะนาง ติ้งอ๋องจะบันดาลโทสะมาลงที่ชิงหนิงได้อย่างไร ลูกสาวของนางไหนเลยจะตายเช่นนี้ ที่สำคัญที่สุด เยี่ยหลียังเป็นสตรีที่ติ้งอ๋องรักมากที่สุด ขอแค่นางตาย ไป๋ฮูหยินก็แทบจะจินตนาการได้ว่าติ้งอ๋องจะเจ็บปวดจนเสียสติไปอย่างไร