ตอนที่ 470

The Divine Nine Dragon Cauldron

ซือหยูกับพวกรับรู้ถึงตัวตนของยู่จางกับคนแปลกหน้าอีกคนมานานแล้วและลดความเร็วลง ทั้งสามประหลาดใจที่ได้พบกับยู่จางที่นี่

 

“น้องต้าเหล่ย ผู้หญิงคนนี้มีเป้าหมายเดียวกับเรา!”

 

ฉินจิวหยางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง

 

“มันจะส่งผลกับแผนของเราหรือไม่?”

 

“คนที่ควรจะกังวลไม่ใช่ยู่จาง…”

 

ซือหยูพูดแทรก

 

“แต่เป็นเจ้าคนตรงนั้น”

 

ซือหยูมองชายชุดขาวที่นั่งสมาธิอยู่บนศิลา ซือหยูรู้สึกถึงภัยคุกคามจากเขาอย่างยิ่งยวด เขาอาจจะแข็งแกร่งพอๆกับซื่อหลิง

 

กังต้าเหล่ยมองชายชุดขาว

 

“คนคนนั้นแข็งแกร่งมาก เราอาจจะเอาชนะไม่ได้แม้จะรวมพลังกันทุกคน”

 

ชายชุดขาวที่จู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้นมานั้นทำให้พวกซือหยูไม่สบายใจ

 

“พวกเจ้าสามคน! เจอกันอีกแล้วนะ!”

 

ยู่จางสีหน้าเป็นสุข นางหันไปมองซือหยู

 

“ท่านหิมะทมิฬ ดีจริงๆที่รอดจากร่างของสัตว์ประหลาดมาได้”

 

นางนั้นแอบตกใจเมื่อเห็นซือหยู นางไม่คติดว่าซือหยูจะหนีรอดจากสัตว์ประหลาดระดับภูติมาได้ และด้วยการต่อสู้ครั้งก่อน ยู่จางไม่กล้าจะดูถูกผู้คุมสวรรค์คนนี้ แต่จู่ๆยู่จางก็สัมผัสได้ว่าเขาไม่ใช่ผู้คุมสวรรค์อีกแล้ว เขาปล่อยพลังของราชามนุษย์ออกมา

 

“โอ้! เจ้าสำเร็จพลังอีกขั้น!”

 

“ยินดีด้วยกับการเติบโตของเจ้า”

 

นางตกใจ ซือหยูไม่เพียงจะรอดออกมา เขายังเพิ่มพลังขึ้นอีกมหาศาล! แม้แต่ในโลกของจิวโจว มีทางเดียวที่จะเพิ่มพลังจากผู้คุมสวรรค์มาเป็นราชามนุษย์ นั่นก็คือการใช้เวลาที่นานพอ ปาฏิหาริย์เช่นนี้จะเกิดในสถานที่อย่างกระโจมเทพสวรรค์เท่านั้น แม้นางจะรู้สึกแปลกใจ นางก็ไม่ได้จดจำมาคิดมากนัก

 

ซือหยูพูดตอบ

 

“ข้าโชคดีน่ะ ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอเจ้าที่นี่”

 

ยู่จางถามตรงๆ

 

“เป้าหมายของพวกเจ้าคือการไปที่ตำหนักสายฟ้าใช่หรือไม่?”

 

กังต้าเหล่ยเหลือบมองชายชุดขาวเงียบๆอย่างระวัง

 

“เป้าหมายพวกข้าเหมือนกับพวกเจ้าเช่นนั้นหรือ…”

 

ทั้งสามรักษาระยะห่างจากยู่จางเพื่อเปิดโอกาสให้ตัวเองได้โจมตีหรือป้องกันถ้าจำเป็น

 

“เจ้าช่วยชีวิตข้ามาหนึ่งครั้ง…”

 

ยู่จางไม่พอใจเล็กน้อย

 

“ข้าย่อมต้องไม่ตอบแทนเจ้าด้วยความโหดร้ายอยู่แล้ว ข้ามาพร้อมกับข่าวดี”

 

ฉินจิวหยางเป็นกังวล

 

“โปรดพูดมา”

 

“ชายคนนั้นคือศิษย์นอกของตำหนักศีลหวนคืน หยางยี่เต๋า เขาคือหัวหน้ากลุ่มที่ตำหนักศีลหวนคืนส่งมา ถ้าพวกเราอยากจะเข้าไปให้ได้ พวกเราก็อาจจะต้องใช้ความช่วยเหลือของศิษย์พี่ข้า”

 

ไม่ยากที่จะเห็นความนับถือหยางยี่เต๋าจากยู่จาง ซือหยูเลิกคิ้วแต่ก็มองไปที่กังต้าเหล่ยผู้เป็นหัวหน้า

 

กังต้าเหล่ยหยุดคิด แผนแรกคือการบุกเข้าไปในตำหนักสายฟ้าเพื่อค้นหาสมุนไพรสายฟ้า ถ้าพวกเขาร่วมมือกับหยางยี่เต๋า พวกเขาก็มิอาจจะได้สิ่งที่ต้องการจากพลังอันไร้เทียมทานของอีกฝ่าย แต่ถ้าพวกเขาปฏิเสธข้อเสนอตรงนี้ หยางยี่เต๋าก็จะไม่ให้พวกเขาเข้าสู่ตำหนักสายฟ้าและอาจจะจู่โจมเข้ามาได้ คงไม่เป็นไรหากเขาจะโจมตีเพื่อขับไล่ออกไป แต่ถ้าเขาไร้เมตตา เราก็อาจจะสังหารพวกซือหยูจนหมดสิ้น

 

กังต้าเหล่ยไม่มีทางเลือก ทางเลือกทางเดียวที่เขามีคือการเข้าไปยังตำหนักสายฟ้าก่อน

 

“ย่อมได้ กรุณาด้วย”

 

กังต้าเหล่ยประสานหมัดยอมรับ

 

ยู่จางดูเหมือนจะเข้าใจเรื่องที่อีกฝ่ายห่วง นางยิ้มกว้าง

 

“เจ้าพักให้สบายเถอะ ถ้ามีศิษย์พี่ยี่เต๋า พวกเจ้าก็จะไม่เป็นอันตราย ส่วนของที่ได้หลังจากเข้าไปก็จะขึ้นอยู่กับพลังของพวกเจ้า”

 

คำพูดนั้นดูยุติธรรม แต่พวกเขาจะมีหวังแข่งกับหยางยี่เต๋าได้อย่างไร? ถ้าอีกฝ่ายดึงดันจะชิงสมบัติของพวกเขา ใครกันจะขวางทางหยางยี่เต๋าได้? ที่พวกเขาทำได้ตอนนี้ก็คือการร่วมมือและบินไปที่นั่นกับยู่จาง

 

หยางยี่เต๋าลืมตาขึ้นเมื่อทั้งสามมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา เขาปล่อยหมัดเข้าใส่กังต้าเหล่ยโดยไม่ให้ซุ่มเสียง

 

กังต้าเหล่ยตกใจ เขารีบป้องกันบริเวณอกด้วยแขนทั้งสองข้าง และเขายังพปล่อยพลังวิญญาณชั้นที่สองออกมาป้องกันพร้อมๆกัน

 

ตู้ม—

 

ม่านพลังวิญญาณหน้ากังต้าเหล่ยขาดสะบั้นราวกับเป็นกระดาษ หมัดนั้นไม่ได้ดูแข็งแกร่งแต่ก็ทำลายม่านป้องกันไปยังแขนกังต้าเหล่ยได้ เขาถอยไปหลายก้าว ดวงตาแสดงความตกตะลึง

 

หลังจากปล่อยหมัด หยางยี่เต๋าถอนกำปั้นด้วยความพอใจอยู่บ้าง

 

“ถอยหลังสามก้าว กายภาพของเจ้านับว่าไม่เลว เจ้าผ่าน!”

 

เขาพูดจบและชี้ดัชนีไปหาฉินจิวหยาง ฉินจิวหยางจับเส้นผมตัวเองโดยไม่ลังเลและใช้วิชาคำสาปออกมา เส้นผมของเขาไปปรากฏที่ดัชนีของหยางยี่เต๋าทันที แต่มันก็ไม่ทันจะได้สร้างรอยบนดัชนี หยางยี่เต๋ายิ้มและสะบัดมือโยนเส้นผมลงบนพื้น

 

ฉินจิวหยางหน้าซีด เขาถอนหายใจแรงและกระอักเลือด

 

ดัชนีของหยางยี่เต๋าสัมผัสกับอกของเขาอย่างไร้สิ่งกีดขวาง แต่เขาก็หยุดโจมตีในจังหวะที่อันตรายที่สุด เขาค่อนข้างผิดหวัง

 

“แม้วิชาคำสาปจะประหลาดและยากจะป้องกัน มันก็บอกได้เลยว่าเจ้ายังฝึกไม่ถึงขั้น เจ้าเกือบจะไม่ผ่าน”

 

สุดท้ายเขาก็มองไปยังซือหยู

 

“ศิษย์น้องยู่จางชมเชยเจ้าหลายครั้ง ให้ข้าดูหน่อยว่าเจ้าแกร่งแค่ไหน”

 

ในด้านพลังที่แท้จริง ซือหยูอาจจะแพ้เขาในการเผชิญหน้าตรงๆ แต่เขาก็ไม่คิดจะเผยไพ่ตายออกมาอย่างไม่มีเหตุอันควร

 

ฟึ่บ–

 

หยางยี่เต๋ายื่นดัชนีทั้งสองก่อเป็นกระบี่ ดัชนีทั้งสองเฉือนอากาศไปข้างหน้าราวกับกระบี่ยาว

 

อากาศถูกผ่าไปด้านข้าง พลังวิญญาณโดยรอบแหลกสลายไปด้วยแรงกดดัน เห็นอยู่กับตาว่ามันเป็นดัชนีธรรมดาแต่ก็ดูมีภัยคุกคามอย่างถึงที่สุด ภาพลวงกระบี่ห้าศอกปรากฏขึ้นซัดใส่ซือหยู

 

ยู่จางที่มองดูสีหน้าเปลี่ยนไป

 

“ศิษย์พี่ยี่เต๋าใช้ฎีกากระบี่…!”

 

แม้ซือหยูจะอ่อนแอที่สุดในสามคน หยางยีเ่ต๋าก็ตัดสินใจจะทดสอบพลังด้วยการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุด

 

ซือหยูใจเย็นอย่างไม่น่าเชื่อ เขาสร้างผนึกด้วยทั้งสองมือ ต้นกำเนิดน้ำแข็งพวยพุ่งออกจากร่างหลังขณะที่ร่างเทียมกลายเป็นกองเพลิง พลังสุดขั้วทั้งสองธาตุหมุนควงกันไปมาเปล่งประกายพื้นที่โดยรอบ ซือหยูยังสร้างผนึกพลังอีกครั้งในเวลาเดียวกัน พลังวิญญาณมหาศาลกระจายออกจากแก้วพลังชีวิตทั้งสองชิ้นในร่าง กลายเป็นม่านป้องกันกาย

 

แกร๊ง–

 

ร่างกระบี่ฟันลงปะทะกับอัคคีและน้ำแข็ง พลังทั้งสองแตกสลายไป ร่างกระบี่ไม่ช้าลงเลย

 

เกราะพลังวิญญาณแตกด้วยแรงกดดันตั้งแต่ที่กระบี่ยังไม่เข้าใกล้ซือหยู แต่เขาก็ไม่คิดว่าจะหยุดกระบี่ของอีกฝ่ายได้ง่ายๆ หน้ากากทองแดงบนใบหน้าเปล่งแสง…หน้ากากนิรันดร์กำลังจะถูกใช้งาน

 

ร่างกระบี่หายไปใจทันที หยางยี่เต๋าหยุดการโจมตีและมองซือยหูด้วยความผิดหวัง

 

“ไม่สมคำคุย…”

 

“ฐานพลังเจ้าต่ำเกินไป ความเข้าใจในต้นกำเนิดของเจ้าก็ยังแม่นยำไม่พอ ชัยชนะของเจ้าจะต้องมาจากคนของเจ้า แต่ข้าก็ให้เจ้าผ่านได้ ข้าไม่คิดอยู่แล้วว่าเจ้าจะทำอะไรกระบี่ข้าได้”

 

หยางยี่เต๋าหยุดใช้ฎีกากระบี่ เขากลับมาเยือกเย็นดังเดิม

 

ซือหยูยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ เขาเก็บสมบัติที่เตรียมจะใช้งาน

 

“นี่มันเรื่องอะไรกัน สหาย?”

 

กังต้าเหล่ยไม่พอใจเล็กน้อย

 

หยางยี่เต๋าตอบ

 

“ข้าคือหยางยี่เต๋า ข้ามั่นใจว่าเจ้าคงจะเคยได้ยินนามข้ามาก่อนแล้ว ข้าใช้การทดสอบเมื่อครู่เพื่อประเมินว่าเจ้าจะมีคุณสมบัติเพียงพอหรือไม่ ตอนนี้ก็ตามข้าไปที่ตำหนักสายฟ้าซะ เขาจักรพรรดิสายฟ้ามีผนึกสายฟ้าเต็มไปหมด ถ้าเจ้าไม่อยากจะพลาดตายที่นี่ก็จงฟังคำสั่งข้า ถ้าเจ้าสร้างปัญหา…ก็ขออภัยที่ข้าไม่สนใจความสูญเสียของเจ้า”

 

ซือหยูตัวแข็งทื่อ ภูเขาที่ลอยอยู่คือเขาจักรพรรดิสายฟ้างั้นรึ? เขาใจคอไม่ดีเมื่อมองไปยังภูเขา สายฟ้าในจุดกำเนิดพลังของเขายังต้องใช้อัสนีม่วงในการข่มพลังวิบัติสวรรค์เอาไว้…และมันกำลังสั่นไหว ราวกับว่ามันกำลังจะพุ่งออกจากร่างซือหยูและกลับไปยังภูเขาสายฟ้าตรงหน้า

 

ราวกับว่าภูเขากำลังเรียกสายฟ้าในตัวซือหยู

 

“ถ้าเจ้าไม่มีอะไรโต้แย้ง เราก็จะไปเดี๋ยวนี้…”

 

เขาใช้นิ้วชี้ซ้ายลูบฝ่ามือขวา แหวนหยกดำบนนิ้วเปล่งแสงวิญญาณออกมา มุกเห้าเม็ดขนาดห้าศอกปรากฏตรงหน้า มุกทั้งห้าเม็ดมีสีที่แตกต่างกันคือ แดง ส้ม เหลือง น้ำเงิน และม่วง

 

“นี่คือลำดับห้าธาตุเมฆาแห้งเหือด…”

 

“มันคือลำดับที่ใช้ป้องกันสายฟ้า! พวกเจ้าสามคนยืนข้างบนและปล่อยพลังวิญญาณเข้าไปใช้งาน ด้วยวิธีนี้เจ้าจะเข้าสู่เขาจักรพรรดิสายฟ้าได้อย่างปล่อดภัยไปถึงส่วนลึกของตำหนักสายฟ้า”

 

ซือหยูตาลุกวาว ลำดับที่ต้านทานสายฟ้าได้งั้นรึ?

 

กังต้าเหล่ยมีสีหน้าแบบเดียวกัน ชายแก่ขี้เมาไม่ได้หาสมบัติที่ต้านสายฟ้ากับพวกเขาแล้วหรอกรึ? แต่สมบัติตรงหน้านี้…

 

“จงจำเอาไว้…”

 

“ลำดับนี้ต้องการห้าคนใช้มันพร้อมกัน เจ้าจะหยุดปล่อยพลังวิญญาณออกมาไมไ่ด้เด็ดขาด มิเช่นนั้นลำดับจะถูกทำลาย! ถ้าหากเป็นอย่างนั้น ยู่จางกับข้าคงปกป้องตัวเองเข้าไปได้ แต่พวกเจ้าก็อาจจะไม่โชคดีอย่างนั้น!”

 

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของซือหยูหมดแววลง

 

“เจ้าต้องระวังเมื่อใช้ลำดับห้าธาตุ อย่าทำให้มันเสียหาย! ลำดับนี้เป็นของที่ข้ายืมมาจากผู้เฒ่าของตำหนักศีลหวนคืน เจ้ายอมรับผลที่ตามมาไม่ได้แน่!”

 

ซือหยูตกใจ ผู้เฒ่างั้นรึ? ถ้าหยางยี่เต๋าแข็งแกร่งจนใกล้เคียงกับขอบเขตภูติเช่นนี้ ผู้เฒ่าที่เขาพูดถึงก็คงจะแข็งแกร่งอย่างมาก

 

หรือพูดอีกอย่างก็คือ ระดับของลำดับห้าธาตุนี้อยู่ในระดับสูงมาก! อย่างน้อยก็ต้องเป็นสมบัติเทพระดับสูง มันอาจจะไปถึงระดับของสมบัติวิญญาณด้วยซ้ำ!

 

ซือหยูอยากได้มันมาครองอย่างมาก

 

“ไปกันเถอะ!”

 

หยางยี่เต๋าไปยังมุกสีม่วง

 

ซือหยูเลือกสีน้ำเงิน เขากระโดดขึ้นไป