ตอนที่ 469

The Divine Nine Dragon Cauldron

ซือหยูสีหน้าเปลี่ยนไป เขาใช้จังหวะนี้กลิ้งไปข้างหน้า ในตอนนั้นมีเสียงสั่นสะเทือนดังตามมา บนที่ที่เขายืนอยู่นั้นถูกซัดแหลกไม่เหลือชิ้นดี

 

ร่างสูงใหญ่มายืนอยู่ในจุดเดิมของซือหยู เขาคือชายหนุ่มผมแดงตาสีซีดซื่อหลิง!

 

ซือหยูตัวสั่น เขายังต้องเจอกับซื่อหลิงในท้ายสุด

 

“ฮื่ม สิ่งนี้ไม่ต้องให้ข้าใช้วิชาอะไรเลยในการหาตัวเจ้า!”

 

ซื่อหลิงพุ่งเข้าไปหาซือหยู

 

หมัดขนาดใหญ่ยักษ์พุ่งเข้าใส่ลำตัวของซือหยู ด้วยพลังร่างกายของขอบเขตภูติก็มากเกินพอที่จะทำให้ซือหยูตัวขาดเป็นสองท่อน

 

ในยามวิกฤติ ซือหยูถอยไปอย่างรวดเร็ว เขาหยิบเอาร่มวิเศษสุริยาม่วงออกมาพร้อมกัน เขากางรมและสร้างความร้อนสูงไปทั่วทิศทางราวกับน้ำหลาก

 

กำแพงเนื้อโดยรอบถูกเผาทันที เหล็กสีเงินนั้นร้อนอย่างมาก อากาศรอบๆถูกแผดเผาทีละน้อย

 

ซื่อหลิงที่ปล่อยหมัดตกใจ เขาถูกโอบล้อมด้วยเพลิงหลาก! เส้นขนในร่างกายนั้นดำสนิทจนไหม้หายไป ความร้อนปกคลุมกาย

 

ซื่อหลิงรีบถอยอย่างรวดเร็ว จิตสังหารของเขาพวยพุ่งออกมา

 

“ใช้สมบัติของน้องข้ามาสู้กับข้า! เจ้าสมควรตาย!!”

 

นี่เป็นครั้งแรกที่ซื่อหลิงถูกบังคับให้ถอยออกไปเมื่อเผชิญหน้ากัน มือหนึ่งของซือหยูถือร่มวิเศษสุริยชาม่วง ส่วนอีกมือนั้นหยิบแหวนปราบมารออกมา สีหน้าของเขาเบื่อหน่าย

 

“ถึงเจ้าจะฆ่าผู้คนอย่างไร้เหตุผล พวกเจ้าก็ไม่สมควรตาย แต่ข้าที่ขัดขืน ข้ากลับสมควรตายเรอะ? มันไม่ตลกไปหน่อยเรอะ?”

 

ซื่อหลิงนั้นโกรธแค้นชิงชังอย่างมาก

 

“เจ้าบังอาจฆ่าศิษย์ร่วมสำนักข้า ข้าจะฉีกเจ้าให้เป็นพันๆชิ้น!”

 

ซื่อหลิงยิงลำแสงสีขาวออกไปจากดวงตา! แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย

 

แต่ด้วยเนตรวิญญาณ ซือหยูพบว่ามีคนสองคนพุ่งออกมาจากดวงตานั้น! ร่างนั้นเส้นผมกระเซิง สีหน้าของพวกเขาแสดงความชิงชัง มันโศกเศร้าและมีพลังจิตสังหาร

 

มันคลานออกมาจากดวงตาของซื่อหลิง ร่างนั้นขยายขนาดอย่างรวดเร็วเท่าขนาดคนจริงในพริบตาเดียว แต่พวกเขาดูเลือนลาง ราวกับไม่ใช่คนจริงๆ

 

ร่างนั้นเป็นความว่างเปล่า ตาเปล่ามิอาจมองเห็นได้ มีแค่วิญญาณเท่านั้นที่จะมองเห็น

 

“ดวงวิญญาณรึ?”

 

ซือหยูตกใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นดวงวิญญาณมนุษย์ออกจากร่างด้วยตัวเอง

 

ซือหยูมองดวงตาของซื่อหลิงที่กลับมาสีดำสนิท ซื่อหลิงแสร้งทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาเผชิญหน้ากับซือหยูจากระยะไกล

 

วิญญาณสองดวงไม่สนเพลิงร้อน มันเดินไปทางซือหยูอย่างต่อเนื่อง ซือหยูสัมผัสได้ถึงความชั่วร้ายอันเยือกเย็น วิญญาณเหล่านั้นคือร่างวิญญาณ ไม่ว่าเพลิงจากสมบัติเทพจะแข็งแกร่งแค่ไหน มันก็ทำอะไรร่างวิญญาณไม่ได้

 

พวกมันไม่เกรงกลัวการโจมตีทางกายภาพ และมันยังเป็นร่างวิญญาณที่คนธรรมดามิอาจรับรู้ แม้จะเดินผ่านไปต่อหน้าต่อตา ศัตรูของร่างวิญญาณพวกนี้ก็มิอาจรับรู้ได้

 

ดวงวิญญาณทั้งสองเดินไปทางซือหยู พวกมันอาจจะโจมตีวิญญาณของซือหยูได้ทันที ซือหยูนั้นยิ้มออกมา เขาคิดจะทดสอบพลังของวิญญาณเหล่านั้น

 

ซือหยูขยับมือสร้างพลัง ดวงวิญญาณของเขาสั่นอย่างต่อเนื่องและออกจากร่างไป อย่างที่เขาคิด เมื่อวิญญาณตัวเองสัมผัสกับเพลิงของสุริยาม่วงก็รู้สึกเพียงความอบอุ่น มันไม่ได้เป็นอันตรายกับเขาเลย

 

สีหน้าของวิญญาณทั้งสองดวงที่คลานช้าๆเคร่งเครียด มันไม่คิดเลยว่าวิญญาณของซือหยูจะออกมาจากร่างได้

 

แต่ไม่นานดวงตาพวกมันก็เต็มไปด้วยความชิงชังอีกครั้ง มันตะโกนพุ่งเข้าหาซือหยูอย่างดุร้าย

 

ดูจากความแข็งแกร่งของวิญญาณ พวกเขาอาจจะเป็นกึ่งเทพเมื่อมีชีวิต ดูเหมือนว่าก่อนตาย พวกเขาจะตกอยู่ในความทุกข์ทรมานและเกลียดชัง ดังนั้นดวงวิญญาณจึงเต็มไปด้วยความโกรธเกลียดแม้จะตายไปแล้ว แต่ไม่ว่าวิญญาณพวกนั้นจะแข็งแกร่งเพียงใด มันก็ไม่อาจแข็งแกร่งไปกว่าวิญญาณของซือหยูที่เปลี่ยนแปลงมาถึงขั้นนี้แล้ว!

 

ถ้าซือหยูคิดไม่ผิด วิญญาณของเขาในตอนนี้เทียบได้กับคนในขอบเขตภูติ! เทียบกับวิญญาณของพวกมัน วิญญาณของซือหยูนั้นก่อร่างได้อย่างชัดเจน

 

สัมผัสทั้งห้าชัดเจน เส้นผมของเขากระเซิง แม้แต่เส้นโลหิตบนฝ่ามือก็ชัดเจนมาก ร่างวิญญาณของซือหยูนั้นไม่ต่างอะไรกับร่างหลัก ความต่างอย่างเดียวคือมันมิอาจเห็นได้ด้วยตาเปล่า

 

วิญญาณซือหยูหัวเราะอย่างชั่วร้าย เขาก้าวไปข้างหน้ายาวๆ วิญญาณทั้งสองพุ่งเข้ามาโจมตี

 

ปั้ง–

 

วิญญาณสองดวงรวมพลังโจมตีซือหยูพร้อมกัน เสียงการปะทะดังออกมา

 

เมื่อการโจมตีของทั้งสองต้องวิญญาณซือหยูก็ราวกับว่ามันไม่ได้ทำอะไรเลย ซือหยูนั้นนอกจากจะไม่ขยับตัวแม้แต่น้อยแล้วทั้งสองวิญญาณนั้นยังต้องถอยไปอีกด้วย

 

ความชิงชังในแววตาแทนที่ด้วยความกลัวและหวาดวิตก พวกมันกรีดร้องด้วยเสียงแหบพร่าและหันหนีไป!

 

ซือหยูก้าวไปข้างหน้าและต่อยทั้งสองวิญญาณด้วยหมัดวิญญาณละหมัด

 

อั่ก–

 

วิญญาณทั้งสองแตกเป็นเสี่ยงๆ จากนั้นพวกมันก็เริ่มส่งแรงระยับตกสู่พื้น มันหายไปอย่างไร้ร่องรอย

 

ซือหยูดีใจมากที่วิญญาณของตัวเองแข็งแกร่งและเหนือกว่าแทบทุกสิ่ง เขาคิดว่าวิญญาณทั้งสองนั้นรู้สึกแบบเดียวกับตอนที่เขาต้องสู้กับซื่อหลิงผู้มีกายเนื้อดั่งขอบเขตภูติ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะสู้กับพลังเช่นนั้น

 

ในตอนนี้ซื่อหลิงไม่รู้ตัวเลยว่าวิญญาณทั้งสองตายไปแล้ว และเขาก็ไม่รู้ด้วยว่าวิญญาณของซือหยูนั้นหัวเราะอย่างชั่วร้ายและบินมาอยู่ต่อหน้าเขา!

 

ในสายตาซื่อหลิง เขาเห็นเพียงแค่ซือหยูที่หลับตาและพลังของเขาก็หายไปจนหมด ในเวลาเดียวกันพลังวิญญาณของซือหยูก็หยุดไหลเวียน เพลิงสุริยาม่วงค่อยๆหายไปอย่างช้าๆ

 

แต่เมื่อซื่อหลิงจะเริ่มสงสัย เขาก็รู้สึกว่าทั้งร่างเจ็บปวดอย่างเกินจะทน! ไม่ใช่เพราะว่าร่างกายของเขาบาดเจ็บ แต่เป็นเพราะเขาถูกโจมตีใส่วิญญาณและทำให้ร่างหลักเจ็บปวดอย่างมาก!

 

อ๊าก—

 

เสียงกรีดร้องดังก้อง หยดเหงื่อเม็ดโตไหลอาบหน้าอย่างต่อเนื่อง สัมผัสทั้งห้าของเขาบิดเบี้ยวไป ใบหน้าดุร้ายของเขาแทนที่ด้วยความอัปลักษณ์

 

เขาหวาดกลัวอย่างมาก เขาไม่รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ทันใดนั้นเขาก็ตกตะลึง ดวงตาของเขากลับมาเป็นสีขาวซีดอีกครั้ง

 

เขามองไม่เห็นดวงวิญญาณทั้งสอง มันหายไปอย่างไร้ร่องรอย และวิญญาณหนึ่งที่เหมือนกับซือหยูก็เอาส่วนของวิญญาณเขาออกไปจากร่าง! ซือหยูฉีกวิญญาณของเขาไป!!

 

ซื่อหลิงตกใจอย่างมาก

 

“วิญญาณของขอบเขตภูติ!!”

 

ซื่อหลิงปล่อยหมัดออกไปทันที แต่หมัดของเขาก็ผ่านร่างวิญญาณของซือหยูไป การโจมตีทางกายภาพทำอะไรวิญญาณของซือหยูไม่ได้เลย!

 

ซอืหยูนั้นใช้โอกาสนี้ฉีกวิญญาณของซื่อหลิง ส่วนเล็กๆของวิญญาณเขาฉีกออก ความเจ็บปวดอันน่าตกใจแล่นผ่านร่างกายเขา เขาแทบจะล้มลงไปกองกับพื้น

 

สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปมาก เขาจะกล้าเผชิญหน้ากับวิญญาณของขอบเขตภูติได้ยังไง? เขาเหลือบมองกายเนื้อของซือหยูและยังพบว่ามันยังคงถูกล้อมอยู่ด้วยเพลิงสุริยาม่วง เขามิอาจเข้าถึงกายเนื้อของซือหยูได้

 

ซื่อหลิงกัดฟันแน่น เขาถอยไปอย่างป่าคลั่งด้วยความเกลียดชังอย่างสุดขั้ว วิญญาณของซือหยูไม่ได้ตามเขาไปและร่างกายของเขาเองไม่ได้ถูกป้องกันมากนัก เมื่อร่างกายถูกสังหารขณะที่วิญญาณออกจากร่าง เขาจะกลายเป็นผีเร่ร่อน

 

ฟึ่บ–

 

วิญญาณของซือหยูกลับสู่ร่างกายอีกครั้ง เขาเก็บร่มวิเศษสุริยาม่วง เขาพอใจผลในการต่อสู้เมื่อวิญญาณออกจากร่างเป็นอย่างมาก!

 

แม้เขาจะเคยคิดว่าโอรสสวรรค์จ้องนภาจะไม่ใช่สิ่งที่ธรรมดา แต่หลังจากที่บรรลุพลังจนถึงขั้นที่วิญญาณออกจากร่างมาต่อสู้ได้จรงๆ เขาก็ได้เห็นว่าวิญญาณของเขามันแข็งแกร่งมาก!

 

ไม่ว่ากายเนื้อของซื่อหลิงจะทรงพลังแค่ไหน วิญญาณของเขาก็อ่อนด้อยกว่าซือหยู และเขายังแพ้ซือหยูอย่างง่ายดาย! แต่ซือหยูก็เข้าใจดีกว่าเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะทำลายร่างกายของซื่อหลิง

 

แม้จะเป็นวิญญาณ เขาก็ทำได้แค่ฉีกส่วนหนึ่งของซื่อหลิงได้เล็กน้อย นั่นทำให้วิญญาณเสียหายมิอาจฟื้นฟู แต่เขาก็ยังคงไม่ถึงระดับที่จะสังหารวิญญาณของผู้คนได้ง่ายๆ

 

ในการต่อสู้นี้ บอกได้เลยว่าหนึ่งคนที่มีร่างกายเป็นขอบเขตภูติกับอีกคนที่มีวิญญาณขอบเขตภูตินั้นมิอาจทำอะไรต่อกันได้

 

ซือหยูมองซ้ายขวาและเก็บสมบัติเทพ จากนั้นเขาจึงบินไปที่อีกข้างทันที ไม่นานซือหยูก็พบกำแพงเนื้อที่เสียหายมากมายและยังขาดเหล็กสีเงิน ซือหยูมองดูเนื้อหนังที่ถูกทำลาย

 

แม้เขาจะบอกไม่ได้อย่างแม่นยำว่าจะต้องไปทางไหน เขาก็ค่อนข้างมั่นใจว่าเขากำลังมุ่งหน้าไปยังเส้นทางที่ถูกต้อง ในตอนนั้นเอง สายลมเย็นอันสดชื่นพัดเข้ามา มันคืออากาศสดชื่นจากโลกภายนอก!

 

ซือหยูสีหน้าเคร่งเครียด เขาตามทิศทางลมและรีบพุ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว เห็นได้เลยว่ามีเหล็กสีทองถูกเจาะทะลุออกไป และยังมีเส้นทางที่สูงห้าศอกให้คนหนึ่งคนผ่านได้พอดี นี่คือทางออกไปยังโลกภายนอก!!

 

ซือหยูดีใจที่สถานการณ์ดีกว่าที่เขาคาด เขาย่อตัวลงผ่านเส้นทาง ในตอนนั้นซือหยูก็เห็นว่ามีเกล็ดสีชมพูปรากฏอยู่ในถ้ำอีกครั้ง!

 

“มันมีอยู่ที่นี่ด้วยรึ?”

 

ซือหยูงุนงงอย่างมาก เขาไม่เข้าใจอะไรเลย

 

แต่เขาอยากจะออกไปจากที่นี่โดยเร็ว ซือหยูพุ่งออกจากร่างของสัตว์ประหลาด

 

ส่วนพื้นที่ในร่างสัตว์ประหลาดที่ซือหยูกับซื่อหลิงต่อสู้กันนั้นกัน ซื่อหลิงได้กลับไป เขาเป็นกังวลและพุ่งไปหาพื้นที่ที่มีวัตถุทรงกลมสีโลหิตตั้งอยู่

 

เมื่อเห็นว่ามันยังคงอยู่เขาก็สบายใจขึ้น

 

“โชคดีที่สายตาเจ้าเด็กนั่นไม่ได้แหลมคมนัก ดูเหมือนมันจะไม่รู้ว่าสิ่งนี้คืออะไร นี่คือแก่นแก้วมณีของสัตว์ประหลาดนี่ ถ้าข้าเอาแก่นแก้วออกมาสัตว์ประหลาดนี่ก็จะตาย และแก่นแก้วก็ยังมีพลังมหาศาลเหนือจินตนาการ ถ้าข้านำกลับไปที่ตำหนักชิงวิญญาณได้ล่ะก็ ข้าจะต้องได้รางวัลมากมายเป็นแน่”

 

ซื่อหลิงบินเข้าไปใกล้แก้วมณีสีโลหิต ดวงตาเปล่งประกายด้วยความโลภ เขาหยิบเอาพลั่วหยกออกมา

 

“โชคดีที่ข้าขุดมันมาสิบวันแล้ว ข้าจะเอามันออกมาได้ในไม่นาน!”

 

จากนั้นมันก็ถูกขุดออกมา แก่นแก้วหล่นลงกับพื้น ซื่อหลิงคว้ามันไว้ในมือด้วยความดีใจ เขาตรวจดูมันอย่างละเอียดและแสดงสีหน้าประหลาดออกมา

 

แก่นแก้วขยายขนาดและหดตัวไปมาราวกับหัวใจที่กำลังเต้น! แสงสีแดงจากภายในแพร่กระจายจนทำให้มันมีสีราวกับโลหิตจริงๆ

 

ซื่อหลิงท่าทางเปลี่ยนไป เขารู้แล้วว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีนัก เขาโยนแก่นแก้วประหลาดทิ้งไปทันที

 

แต่ก็มีสิ่งที่คล้ายกับเส้นผมสีแดงพุ่งออกมาจากมันและรัดข้อมือของซื่อหลิง

 

เป๊าะ—

 

เมื่อข้อมือของซื่อหลิงผู้ซึ่งมีร่างกายของขอบเขตภูติถูกมัดก็เกิดเสียงแตกหัก ข้อมือของเขาขาดหายไป!

 

บาดแผลนั้นเรียบอย่างไม่น่าเชื่อ มันเรียบไม่ต่างจากคันฉ่อง! และนี่คือกายภาพของขอบเขตภูติ!

 

กึ่งเทพนั้นแทบจะทำให้ขอบเขตภูติมิอาจบาดเจ็บ แต่ในตอนนี้ ข้อมือของชายผู้มีร่างกายในขอบเขตภูติกลับขาดไปอย่างง่ายๆ!

 

ซื่อหลิงตะโกนด้วยความโศกเศร้า เขารีบถอยหนีอย่างกับคนบ้า!

 

ฟึ่บ–

 

แต่เมื่อเขาหนีก็มีเส้นผมสีโลหิตมากมายเกินกว่าร้อยเส้นพุ่งออกมารัดซื่อหลิงเอาไว้ จากนั้นก็เกิดเสียงที่เหมือนเต้าหู้โดนตัด ซื่อหลิงถูกตัดขาดเป็นร้อยๆชิ้นโดยไม่เหลือเวลาให้กรีดร้อง!

 

เส้นผมสีโลหิตนั้นรัดทุกสิ่งและดึงเอาเลือดเนื้อของซื่อหลิงกลับสู่วัตถุทรงกลมสีแดงโดยไม่เหลือสิ่งใดเอาไว้เลย ซื่อหลิงผู้ครอบครองร่างกายของขอบเขตภูติตายไปทั้งอย่างนั้นในตัวสัตว์ประหลาด

 

ที่โลกภายนอก

 

ซือหยูที่บินขึ้นเหนือนภาสัมผัสได้ถึงพลังอสูรที่ระเบิดออกมา เขาหันไปมองด้วยความตกใจแต่ก็ไม่เห็นสิ่งใดในทุ่งหญ้าที่ดูปกติ

 

“น้องหิมะทมิฬ ดีจริงๆที่เจ้าไม่ตาย!”

 

ในตอนนั้น เสียงยินดีดังมาจากระยะแสนศอกเหนือนภา

 

เสียงดังมาจากกังต้าเหล่ยและฉินจิวหยาง มือของทั้งคู่ถือสร้อยหยกเอาไว้ พวกเขารอคอยอย่างอดทนอยู่ในหมู่เมฆา หลังจากที่รู้สึกได้ว่าซือหยูออกมาแล้วพวกเขาก็ดีใจเป็นอย่างมาก! ซือหยูยิ้มและบินไปหาพวกเขา

 

“หิมะทมิฬ เจ้าโชคดีจริงๆ! ตั้งแต่ที่เจ้าไปอยู่ที่นั่นสิบวัน น้องต้าเหล่ยกับข้าคิดว่าเจ้าตายไปแล้วเสียอีก!”

 

ทั้งสองมองซือหยูราวกับมองสัตว์ประหลาด พวกเขาตรวจสอบดูซือหยูอย่างต่อเนื่อง

 

ซือหยูโกรธแค้น

 

“มันเป็นเพราะโชคดีของข้าเท่านั้น ถ้าข้าไม่ได้เจอกับบางสิ่งข้าก็คงจะตายในสัตว์ประหลาดนั่นไปแล้ว! แต่ที่นี่ไม่เหมาะที่จะพูดคุย ซื่อหลิงกำลังจะออกมาในอีกไม่นาน รีบหนีไปกันเถอะ!”

 

ซือหยูเรียกเรือบินเทวะออกมาด้วยมือเดียว ทั้งสามหายลับจากนภา ในเรือบิน ซือหยูถาม

 

“แม่นางยู่จางไปไหนแล้วล่ะ?”

 

“นางไปก่อนเพื่อรวมตัวกับศิษย์พี่ของนางเอง…”

 

กังต้าเหล่ยตอบ

 

ซือหยูพยักหน้า

 

“นั่นก็ดี พวกเราจะได้ทำภารกิจของเราได้ พี่ต้าเหล่ย นี่ไม่ใช่เวลาจะบอกพวกเรารึว่าเรากำลังไปที่ใด แล้วเรากำลังหาสิ่งใดอยู่?”

 

กังต้าเหล่ยสีหน้าเศร้าหมองลงเมื่อได้ยินดังนั้น

 

“อย่างไรเราก็อยู่ชั้นเจ็ดของกระโจมเทพแล้ว นี่คือเวลาที่จะบอกเจ้าสองคน…”

 

“อาจารย์บ่มเพาะข้าให้ได้มาที่ชั้นเจ็ดของกระโจมเทพสวรรค์เพื่อเก็บสมุนไพรเทพที่เรียกว่าสมุนไพรสายฟ้า สมุนไพรชนิดนี้จะเติบโตในตำหนักสายฟ้าที่อยู่ในกระโจมเทพสวรรค์เท่านั้น สมุนไพรเทพนี้มีพลังแต่กำเนิดของสายฟ้าที่แข็งแกร่งทรงพลังอย่างมาก ถ้าเอามันไปสร้างชุดเกราะ มันจะต่อต้านสายฟ้าของวิบัติสวรรค์ได้!”

 

ซือหยูหัวใจแทบหยุดเต้น เขาเคยสัมผัสกับจิตสังหารจากสวรรค์ด้วยตัวเองมาก่อนเมื่อเขาจะเป็นผู้คุมสวรรค์

 

ในครั้งนั้น เขารอดตายมาได้หวุดหวิด และในตอนนี้ร่างกายเขาก็ยังมีสายฟ้าจากการลงโทษนั้นลงเหลืออยู่ซึ่งอันตรายต่อร่างกายอย่างมาก เขาใช้วิชาอัสนีทั้งหมดที่มีเพื่อข่มพลังวิบัติสายฟ้าเอาไว้ไม่ให้มันแพร่กระจาย

 

เจาอาจจะไม่ห่างไกลนักที่จะทะลวงขอบเขตภูติ วิบัติสวรรค์ในตอนนั้นก็คงจะน่ากลัวยิ่งกว่าเดิม นี่คือเวลาที่เขาจะเริ่มหาทางต่อกรกับวิบัติสวรรค์

 

และสมุนไพรสายฟ้าก็เป็นสิ่งที่เขากำลังตามหา มันคือทางเลือกที่ดีเป็นอย่างมาก แม้แต่ชายแก่ขี้เมาก็ตามหามันอย่างเฉพาะเจาะจง เขาบอกได้เลยว่าผลในการต่อต้านวิบัติสวรรค์จะดีเพียงใด

 

“เป้าหมายของอาจารย์คือสมุนไพรสายฟ้าเก้าต้น ถ้ามีเหลืออีก พวกเจ้าสองคนก็เอาไปได้”

 

ดูเหมือนกังต้าเหล่ยจะรู้ว่าทั้งสองคนคิดอะไรอยู่

 

ซือหยูพยักหน้า

 

“แน่นอน”

 

“ถ้าเช่นนั้นก็รีบเดินทางเถอะ ตามบันทึก ตำหนักสายฟ้าอยู่ไม่ไกลจากทุ่งหญ้าซากศพมากนัก พวกเราควรจะไปถึงที่นั่นในไม่นาน”

 

ซือหยูพยักหน้าปรับเส้นทางมุ่งหน้าไปยังตำหนักสายฟ้าโดยเร็ว

 

หนึ่งวันผ่านไป

 

ภายในเทือกเขามรกตมากมายเต็มไปด้วยยอมเขาที่ลอยอยู่ เหนือยอดเขานั้นมีตำหนักโบราณตระการตาหลายรูปแบบตั้งอยู่อย่างสงบ

 

ตำหนักนี้ดูราวกับผ่านห้วงเวลามานาน สิ่งต่างๆปะปนไปกับตำหนักเหล่านี้ ความรู้สึกราวกับโลกไร้จุดสิ้นสุดและเวลาผ่านไปอย่างช้าๆฉาบทั่วพื้นที่

 

รอบๆยอดเขานั้นมีสายฟ้ายาวหลายร้อยศอกส่งเสียงปะทุไปมา พวกมันปล่อยพลังทำลายล้างอันป่าเถื่อน บนยอดเขาที่ห่างออกไปหมื่นศอก ยู่จางผู้แสดงความนับถือกำลังพูดกับชายหนุ่มชุดขาวที่นั่งอยู่บนก้อนศิลาสีเขียว

 

หลังจากที่เขาฟังจบ ชายหนุ่มชุดขาวลืมตาช้าๆ ดวงตาของเขาทำให้ยอดเขามากมายที่นี่สั่นสะเทือน แววตานั้นเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและยังดุร้าย!

 

“ซื่อหลิงรึ? ข้าจะจำเรื่องนี้ไว้ หลังจากที่ออกจากกระโจมเทพสวรรค์ ข้าจะไปสะสางกับมันด้วยตัวเอง! คนในตำหนักของเราไม่ได้มีไว้ให้ถูกรังแก!”

 

ยู่จางดีใจมากที่ได้ยินเช่นนั้น ชายต่อหน้านางคือหยางยี่เต๋า ศิษย์นอกตำหนัก เขามีลำดับค่อนข้างสูง ความสามารถในการต่อสู้นั้นไม่ได้อ่อนแอกว่าซื่อหลิงเลย

 

ในการเดินทางครั้งนี้ ผู้เป็นผู้นำคือหยางยี่เต๋า ในการประลองลับสวรรค์เขาก็ได้ลำดับที่ค่อนข้างสูงและถูกจัดให้มาที่ชั้นเจ็ด ส่วนยู่จางกับคนของนางนั้นถูกจัดให้อยู่ในชั้นหก ยู่จางจึงต้องรีบมาที่ชั้นเจ็ดเพื่อรวมตัวกับเขา

 

“แต่เรื่องของทูตพันธนาการ…มันเป็นเรื่องจริงแน่รึ?”

 

หยางยี่เต๋าถามอย่างเอาจริงเอาจัง

 

ยู่จางพยักหน้าช้าๆ

 

“เป็นเรื่องจริงแน่นอน ข้ามิอาจลืมเหรียญพันธนาการภูติที่ภูติตนนั้นหยิบออกมาได้เลย!”

 

น้ำเสียงของหยางยี่เต๋าเปลี่ยนไป

 

“เรื่องนี้จะต้องรายงานตำหนัก ถ้าเรื่องทูตพันธนาการยังไม่ตายถูกแพร่ออกไปจะเกิดความโกลาหล ถ้าเขาปรากฏตัว ความตายของหยางเจี้ยนก็มิอาจกล่าวโทษเจ้าได้ เจ้ามีชีวิตรอดมาถึงที่นี่ก็นับว่าโชคดีมากแล้ว”

 

“เข้าใจล่ะ ศิษย์พี่ยี่เต๋า”

 

ยู่จางโค้งคำนับ จากนั้นนางก็รีบพูดขึ้นมา

 

“แต่ประเด็นคือหยางเจี้ยนกับอีกสองคนตายไปแล้ว เรารวบรวมคนได้ไม่ถึงห้าคน ข้าเกรงว่ายากที่เราจะผ่านชั้นสายฟ้าเทวะห้าธาตุได้ยาก”

 

หยางยี่เต๋าถอนพูดเบาๆ

 

“พวกนั้นควรจะมาก่อลำดับห้าธาตุ คนส่วนใหญ่ในดินแดนพรสวรรค์ทั้งสิบแปดถูกย้ายไปที่ชั้นหกและชั้นเจ็ด ด้วยชื่อเสียงของตำหนักเรา เจ้าคิดว่าจะยากรึที่จะหายอดฝีมือเร่ร่อนมาเข้าร่วมกับพวกเรา?”

 

“แม้พวกมันจะมา ข้าก็อาจจะไม่อนุญาตให้มันทำได้ด้วยซ้ำ!”

 

หยางยี่เต๋าถอนหายใจเบาๆ ความตายของหยางเจี้ยนกับอีกสองคนทำให้เขาไม่เป็นสุขเล็กน้อย

 

ยู่จางไม่พูดอะไร และในตอนนั้นก็มีคนสามคนปรากฏที่ขอบนภา ทั้งสามบินมาในทิศทางของนาง ทั้งสามคือซือหยูกับอีกสองคนที่อยู่ในเรือบินเทวะ

 

“เอ๋?”

 

หยางยี่เต๋าเหลือบมอง

 

ส่วนยู่จาง นางตกใจอย่างมาก

 

“เป็นพวกเขาได้ยังไงกัน?”

 

หยางยี่เต๋าประหลาดใจ

 

“โอ้? สามคนนั้นคือยอดฝีมือเร่ร่อนที่เจ้าพูดถึง พวกที่ร่วมมือกับเจ้าจัดการกับทูตพันธนาการสินะ?”

 

หยางยี่เต๋ามองดูทั้งสามคน

 

“กึ่งเทพสองคน มีหนึ่งคนที่มีพลังประหลาดที่ไม่เหมือนของมนุษย์ และยังมีราชามนุษย์อีกคนที่พลังแทบจะไม่ผ่านมาตรฐาน แต่ข้าก็ไม่รู้ว่าพวกนั้นจะมีสิทธิ์ได้ทำลำดับห้าธาตุหรือไม่”

 

“ไปซะ ให้พวกเขามาที่นี่ เห็นแก่เจ้า นับว่าพวกนั้นโชคดี แต่ข้าก็อยากจะทดสอบพลังของพวกนั้นก่อน ถ้าพลังพวกนั้นไม่สูงพอก็คงจะเป็นเรื่องเล็กแม้จะตายไปบ้าง แต่มันจะเป็นเรื่องใหญ่ถ้าพวกมันทำให้พวกเราปลอดภัยน้อยลง!”

 

หยางยี่เต๋าผายมือ น้ำเสียงของเขาไม่สุภาพเลย

 

ใครกันที่ขอให้ซือหยูกับพวกเป็น “ยอดฝีมือเร่ร่อน”? ไร้สำนัก ไร้กลุ่ม พวกเขาไม่มีสิ่งใดให้พึ่งพิง และเป็นธรรมดาที่ทั้งสามคนจะโดนดูถูก

 

ยู่จางดีใจเล็กน้อย

 

“ขอบคุณศิษย์พี่ยี่เต๋า สามคนนั้นจะไม่ทำให้ผิดหวังแน่!”

 

ในสายตานาง การที่กลุ่มซือหยูผู้เป็นยอดฝีมือเร่ร่อนช่วยดูแลนางนั้นนับเป็นความเอื้อเฟื้อครั้งใหญ่ ครั้งนี้จะนับว่าเป็นการที่นางได้ตอบแทนบุญคุณทั้งสามที่ช่วยชีวิตนางเอาไว้