บทที่ 186 เจอโจรระหว่างทาง

ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่

พอถีบไปทีหนึ่ง หญิงวัยกลางคนทันเพียงส่งเสียงทุ้มแบบเจ็บปวดออกมาทีเดียว จากนั้นหน้ามืดหมดสติไปแล้ว

“ในที่สุดโลกก็เงียบสงบสักที!”

เย่เทียนถอนหายใจอย่างหนักออกมา

“นี่……”

ฉากที่เกิดขึ้นฉับพลันนี้ ทำผู้คนในเหตุการณ์ตกใจค้างกันหมดโดยไม่ต้องสงสัย

“คุณ คุณ……”

เสี่ยวมู่มองหญิงวัยกลางคนที่สลบอยู่บนพื้นด้วยหน้าตาตกใจกลัวเต็มที่ และสาดสายตาไปทางเย่เทียน

เย่เทียนกวาดสายตามองหล่อนอย่างสบาย พูดจาเยาะเย้ย “วางใจได้ หล่อนเพียงแค่เป็นลมไปเท่านั้น ถ้าเธอมีเวลารอก็รอ ถ้าไม่มีเวลารอก็แค่สาดน้ำเย็นไปเอา”

พูดจบ เขาไม่มองพนักงานขายสักแวบเดียว เดินเข้าไปในห้องลองเสื้อโดยตรง

ช่วงเวลาพริบตาเดียว ตอนที่เย่เทียนเปลี่ยนเสื้อเรียบร้อยเดินออกมาอีกครั้ง นำสูทหรูหราชุดนั้นในมือทิ้งให้เสี่ยวมู่

“สูทชุดนี้ให้เธอ ตอนเย็นรอหล่อนฟื้นขึ้นมาแล้วพวกเธอก็เก็บเงินกับหล่อนได้แล้ว”

เวลานี้ เสี่ยวมู่ที่รับชุดสูทเข้ามาแบบมึนงงถึงได้สติกลับมา พูดห้ามไว้ “เดี๋ยวก่อน พวกคุณยังไปกันไม่ได้ ถ้าเกิดลูกค้าท่านนี้เกิดปัญหาอะไรขึ้นมาจริง ฉันจะหาใครมารับผิดชอบกัน?”

เผชิญหน้ากับการขัดขวาง สีหน้าเย่เทียนเย็นชาลงมานิดหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าสีหน้าดูไม่พอใจนิดๆ แล้ว

สำหรับเสี่ยวมู่ เขาไม่ชอบใจอยู่บ้างตั้งแต่แรก ถ้าไม่ใช่พนักงานขายคนนี้หิวเงินจนตาลุกวาวลำเอียงไปทางหญิงวัยกลางคน จะเกิดเรื่องราวพรรค์นี้ได้ที่ไหน?

เป็นเพราะเหตุนี้ เย่เทียนจะทำสุภาพอะไรกับหล่อนได้อย่างไรล่ะ!

พิจารณามาถึงตรงนี้ เย่เทียนเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้มบอกว่า “ถ้าฉันไม่อยู่ต่อแล้ว เธอจะทำยังไงกับฉันล่ะ?”

“คุณ……” เสี่ยวมู่ไม่มีคำจะพูดในชั่วขณะหนึ่ง

เมื่อสักครู่หล่อนเห็นการลงมือของเย่เทียนมากับตาแล้วเช่นกัน ลงมือเฉียบขาด คล่องแคล่วว่องไว แม้แต่หญิงวัยกลางคนที่รูปร่างอ้วนยังถีบคว่ำในทีเดียว ให้หล่อนที่เป็นผู้หญิงน้ำหนักไม่ถึงห้าสิบกิโลกรัมคนนี้ขัดขวางไว้ได้อย่างไร?

ตอนที่หล่อนลังเลไม่รู้จะทำอย่างไรอยู่ ฉินโล่หยินที่ด้านข้างกลับเอ่ยปากขึ้นก่อน

“พวกเราช่วยพวกเธอขายสูทที่เดิมราคาหนึ่งแสนแปดหมื่นชุดหนึ่งในราคาสูงถึงแปดแสนนะ เธอควรขอบคุณพวกเราถึงจะถูกต้องสิ!”

เสี่ยวมู่ได้ยิน ถึงแม้ในใจยังพัวพันอยู่บ้าง กลับต้องยอมรับว่าคำพูดพวกนี้ของคุณหนูใหญ่ฉินไม่ผิด ถ้าไม่ใช่สาเหตุของพวกเย่เทียน สูทชุดนี้ขายออกไปในราคาสูงลิ่วปานนี้ไม่ได้เด็ดขาด

เย่เทียนกลับขี้เกียจอยู่ที่นี่ต่ออีก ชั่วขณะที่ฉินโล่หยินพูดจบลง ดึงมือเรียวเล็กของหญิงสาวไว้ทันใด อ้อมผ่านเสี่ยวมู่ไปโดยตรง ออกไปจากร้านเสื้อผ้าแล้ว

ถูกเรื่องนี้ก่อกวนใจ คุณหนูใหญ่ฉินก็ไม่มีความสนใจเดินเล่นต่อไปแล้ว สอบถามเย่เทียนง่ายๆ แล้ว คิดจะส่งหล่อนไปโรงพยาบาล

ระหว่างทางที่กลับมาตำแหน่งจอดรถ เย่เทียนและฉินโล่หยินระเบิดเสียงหัวเราะที่ไม่ปิดบังออกมาไม่ขาดสาย

“นายสังเกตเห็นรึเปล่า ตอนที่นายบอกว่าสละสิทธิ์ ท่าทางยัยป้าคนนั้นตลกเอามากๆ!”

ฉินโล่หยินปิดปากไว้นิดหน่อย เห็นได้ชัดว่าการแสดงออกของหญิงวัยกลางคนเมื่อสักครู่นี้รู้สึกน่าตลกมาก

“หล่อนแค่โกรธจนเลอะเลือนแล้ว เชื่อว่ารอหล่อนฟื้นขึ้นมา คงไม่จ่ายในราคาแปดแสนซื้อสูทชุดนั้นจริงหรอก”

เย่เทียนส่ายหน้าแบบไม่คิดว่าเป็นอย่างนั้น อมยิ้มบอกไป

“งั้นก็สมน้ำหน้าหล่อน”

ฉินโล่หยินเบ้ปาก “ใครให้หล่อนใช้อำนาจบาตรใหญ่ระรานคนอื่น?”

“โดยเฉพาะ สำหรับผู้หญิงแบบนั้น ควรให้บทเรียนหล่อนสักหน่อย ถ้าไม่อย่างนั้นคงคิดจริงว่าสวรรค์เป็นลูกพี่ใหญ่ หล่อนเป็นลูกพี่รอง”

ส่วนในจุดนี้ เย่เทียนเห็นด้วยกับความคิดของหญิงสาวที่สุด หัวเราะชั่วร้ายบอกว่า “เกรงว่าผ่านประสบการณ์ครั้งนี้ไป หล่อนคงไม่หยิ่งยโสโอหังเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว”

ดูจากระดับความก้าวร้าวของหญิงวัยกลางคน เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ครั้งแรก ตอนนี้สั่งสอนหล่อนรอบหนึ่ง ถือว่าเป็นที่ชอบอกชอบใจของคนทั่วไปด้วย

แน่นอนว่า ถึงแม้ไม่ชัดเจนว่าหญิงวัยกลางคนมีเบื้องหลังอะไร แต่พวกเขาเดิมทีก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ

เย่เทียนเป็นคนฝีมือดีและใจกล้า ฉินโล่หยินสถานะไม่ธรรมดา จะสนใจที่ไหนกัน?

ตอนที่ทั้งสองเดินไปด้วยคุยไปด้วยพลางเตรียมไปเอารถ อีกด้านของลานจอดรถกลับมีผู้ชายคนหนึ่งโผล่ออกมาไม่ให้สุ้มให้เสียง

ผู้ชายคนนั้นใส่แจ็กเกตสีดำ สวมหมวกแก๊ป บนหน้ายังใส่ผ้าปิดปากอีก เดิมทีทำให้คนมองใบหน้าโดยรวมไม่ชัด

ตอนที่เขาผ่านข้างกายฉินโล่หยินไป ผู้ชายคนนั้นยื่นมือออกมาฉับไว แย่งกระเป๋าถือจากมือของฉินโล่หยินไปแล้ว

คุณหนูใหญ่ฉินที่น่าสงสาร จะนึกถึงเหตุการณ์ฉากนี้ได้ที่ไหน ภายใต้ความชุลมุนไม่ทันระวัง ยากที่จะหลบเลี่ยงถูกกำลังรุนแรงจนทำให้ล้มลงพื้น

มองกลับไปดูผู้ชายคนนั้น หลังจากแย่งกระเป๋าถือไปได้ราบรื่น ก็วิ่งแจ้นไปทางออกโดยตรง

“โล่หยิน เธอไม่เป็นไรนะ?”

เย่เทียนรีบนั่งยองตัวสอบถามอาการของฉินโล่หยินทันที

“ฉันไม่เป็นอะไร แต่กระเป๋าถือของฉันโดนแย่งไปแล้ว กุญแจรถก็อยู่ข้างใน”

คุณหนูใหญ่ฉินถูหัวเข่าที่เจ็บอย่างค่อนข้างน่ารักระดับหนึ่ง

“วางใจให้เป็นหน้าที่ฉันเถอะ! ฉันจะไปตามกลับมาให้เธอ!”

เย่เทียนตบหน้าอกตนเองแล้ว จากนั้นลุกขึ้นยืน กระโดดออกไปเสียงดังฟึ่บราวกับเสือชีตาห์ ไล่ตามไปยังโจรที่วิ่งหนีไป

“นายระวังตัวด้วยนะ!” ฉินโล่หยินรีบตะโกนเตือนสติไปด้านหลัง

ถึงแม้บนถนนจะมีผู้คนผ่านไปผ่านมา แต่ภาพเงาสองคนกลับวิ่งขวักไขว่แทรกตัวท่ามกลางฝูงชนอย่างกำเริบเสิบสาน

นอกจากโจรชิงทรัพย์กับเย่เทียนที่ไล่ตามแล้วยังมีใครได้อีก?

โจรเหมือนนึกไม่ถึงว่าเย่เทียนจะไล่ตามมา เริ่มแรกระดับความเร็วที่วิ่งหนีจึงไม่ได้เร็วเท่าไร

ตอนที่เขาพบว่าด้านหลังมีเย่เทียน นี่ถึงรีบเพิ่มระดับความเร็วขึ้น พยายามอาศัยฝูงชนจำนวนมากหลุดพ้นจากเย่เทียนมา

แต่ ทุกอย่างยังสายเกินไปเสียแล้ว ภายใต้ฝีมือแข็งแกร่งของเย่เทียน ระยะห่างของทั้งคู่บีบเข้าใกล้อยู่ไม่ขาดสาย

ตอนที่ระยะห่างของทั้งคู่ชิดใกล้มาเกือบประมาณห้าหกเมตร โจรกลับเลี้ยวกะทันหัน เข้าไปในซอยเล็กงดงามและเงียบซึ่งตรงกันข้ามกับถนนใหญ่โดยสิ้นเชิง

เย่เทียนที่มีฝีมือและกล้าหาญจะกลัวที่ไหน เข้าซอยเล็กตามหลังไปติดๆ อย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย

เนื่องด้วยสาเหตุที่รอบด้านล้วนเป็นอาคารสูง ซอยเล็กจึงค่อนข้างอึมครึมพอควร ยิ่งทั้งสองด้านกองของเสียสารพัดอย่างไว้ด้วย

รอตอนที่เย่เทียนตามเข้าไป เดิมทีโจรไม่ได้วิ่ง แต่ทว่าเอามือสองข้างกอดหน้าอกไว้ มองเย่เทียนแบบสงบนิ่ง

เห็นแบบนี้ สีหน้าเย่เทียนหวาดกลัวในชั่วขณะหนึ่ง อดหันไปมองไม่ได้ ตอนที่มองเห็นด้านหลังทางออกซอยเล็ก มุมปากวาดรอยยิ้มที่ชั่วร้ายขึ้น

ไม่มีอะไรอื่น ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรกัน ทางออกซอยเล็กก็ถูกผู้ชายตัวสูงแข็งแรงสามคนปิดทางไว้แล้ว

ทั้งสามคนและโจรแต่งตัวพอๆ กัน ล้วนแล้วแต่สวมหมวก และใส่ผ้าปิดปากไว้ เห็นใบหน้าส่วนใหญ่ปกปิดเอาไว้ ใช้นิ้วเท้ามาคิด ยังรู้ว่าพวกเขาเป็นพวกพ้องของโจร

“ที่แท้ยังมีพวกพ้องอีก มิน่าก่อนหน้านี้ฉันรู้สึกว่าแกวิ่งอย่างกับพวกผู้หญิงชักช้าขนาดนั้น เหมือนว่ากำลังจงใจรอฉันอย่างนั้นแหละ”

รอยยิ้มที่มุมปากเย่เทียนยิ่งเข้มข้นขึ้น พูดแบบมีสมาธิแน่วแน่ “เดิมทียังเป็นกับดักที่โจมตีฉันโดยเฉพาะจริงๆ ด้วย”

“……” เพียงแต่ โจรสี่คนไม่ได้เอ่ยปากแต่อย่างใด ต่างจ้องเย่เทียนแบบเย็นชา

“บอกมา พวกแกใช้ลูกไม้นี้วางกับดักทำลายคนมามากแค่ไหนแล้ว?”

เย่เทียนไม่ได้รีบร้อนลงมือ แต่ทว่าสอบถามอย่างสนอกสนใจ

“……” โจรทั้งสี่คนยังคงเงียบ จ้องเย่เทียนไม่กะพริบแบบไร้ซึ่งความรู้สึก

เย่เทียนเห็นแบบนี้ อดยักคิ้วขึ้นมาเล็กน้อยไม่ได้ สีหน้าเปลี่ยนไปเคร่งขรึมขึ้นมา “ในเมื่อพวกแกไม่อยากคุย งั้นพวกเราก็อย่าเสียเวลาเลย มาเถอะ!”