แม้ว่าเตรียมใจไว้นานแล้ว แต่ตอนมาสุดแม่น้ำชื่อสุ่ย ภาพเบื้องหน้านั้นก็ยังทำให้เสวียนจีต้องอ้าปากค้าง
สุดแม่น้ำชื่อสุ่ยเป็นแม่น้ำที่มองไม่เห็นฝั่ง หากไม่ใช่ว่ามันนิ่งไร้คลื่นลม ยังมีสีแดงราวสีเลือด นางก็คงคิดว่าที่นี่เป็นทะเล ทางตะวันออกมีผาหินขนาดใหญ่มันวาวราวกับกระจก น้ำพุสูงพันจั้งทิ้งตัวลงมา มองไกลๆเหมือนกับมังกรแดงลงมาจากฟากฟ้า สายน้ำราวกับเม็ดหยก เสียงน้ำไหลดังราวกับกองทัพม้าพันหมื่นวิ่งทะยาน ทำเอาคนมองกันอย่างหลงใหล
เสวียนจีมองเห็นผาหินที่วาบวับราวกับกระจก อดกลืนน้ำลายอึกหนึ่งไม่ได้ กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “พวกเรา…จะปีนขึ้นไป?” ผาหินเรียบเงาจนมองเห็นเงาคน มองขึ้นไปก็มองไม่เห็นยอด ไม่มีที่ให้พักมือพักเท้าเลย พวกเขาก็ไม่ได้มีความสามารถเหมือนจิ้งจก จะปีนขึ้นไปได้อย่างไร
อู๋จือฉียักไหล่ “แน่นอนย่อมต้องปีนขึ้นไป และใช้เวลาไม่นานด้วย น่าจะหนึ่งวันหนึ่งคืนก็ถึง”
“ไม่อาจเหิน?” เสวียนจีลูบผาหิน มันเงาจนแม้แต่มือยังคว้าไม่อยู่ สีหน้ายิ่งหนักใจ
“โง่จริง เหินเก็มองไม่เห็นประตูไคหมิงสิ ไม่เชื่อเจ้าเหินขึ้นไปดูเอง” อู๋จือฉีลูบอกอยู่เป็นนาน ในที่สุดก็ควักเอามีดสั้นเปียกน้ำออกมาหลายเล่ม คนหนึ่งสองเล่ม “ใช้เชือกมัดมีดไว้ด้วยกัน ปักมีดลงไปบนผา ก็ขึ้นไปได้แล้วไม่ใช่หรือ”
เขาเดินไปลองเองดูก่อน ใช้เชือกยาวมัดมีดสั้นสองเล่มไว้ด้วยกัน มีดหนึ่งปักลงไปบนหน้าผาแน่นหนา ปลายเท้าเขาแตะตัวหน้าผาเล็กน้อย อาศัยแรงกระโดด ค่อยๆ ขึ้นยืนบนมีดสั้น พลิกข้อมือดึงเชือกอีกด้าน มีดสั้นเล่มล่างก็ลอยขึ้นมาปักลงบนหน้าผาที่สูงขึ้นไป กระโดดขึ้นไปอีก ทำเช่นนี้สลับไปมา พริบตาก็ปีนขึ้นไปสูงแล้ว
อวี่ซือเฟิ่งถามหลิ่วอี้ฮวน “พี่ใหญ่ ตอนนั้นท่านขึ้นไปอย่างไร”
หลิ่วอี้ฮวนส่ายหน้ากล่าวว่า “ข้าใช้มีดสั้นขุดรู ค่อยๆ ปีนขึ้นไป ต่อมาพบว่าหน้าผานี่มันมีจิตวิญญาณ ขีดเป็นรอยไม่นานก็หายวับไปได้เอง กินแรงมาก ข้าปีนถึงสามวันสามคืน”
ดูท่าวิธีอู๋จือฉีประหยัดแรงกว่าหน่อย ทุกคนหยิบมีดสั้นมาปักกระโดดขึ้นไป อู๋จือฉีเป็นวานร ปีนป่ายเป็นเรื่องที่เขาเชี่ยวชาญที่สุด โดดไปก็ยังมีแรงตะโกนไป “พ่อหนุ่มครุฑ อย่าคิดออมแรงด้วยการสยายปีกออกนะ! หากเกิดปัญหา ข้าไม่มีทางแก้ให้นะ!”
อวี่ซือเฟิ่งพยักหน้า
แม้พวกเขากำลังมากกว่ามนุษย์ธรรมดาทั่วไป แต่เคลื่อนไหวซ้ำไปมาหลายรอบเป็นเวลานานก็ยากจะไม่เหนื่อย โดยเฉพาะหลิ่วอี้ฮวน ดวงตาสวรรค์เขาถูกควักไปแล้ว ร่างกายก็ไม่เหมือนก่อนอีก แม้ว่าพกเศษห่วงฟ้าเทียนจวินไว้ที่หน้าอก แต่หนึ่งเพราะเป็นเศษชิ้นส่วนน้อยเท่านั้น สองเพราะพลังปีศาจเดิมของเขาเหลือไม่กี่ส่วน ดังนั้นปีนมาได้สามชั่วยาม ในที่สุดก็หมดแรง หยุดหอบหายใจอยู่บนมีดสั้น หน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อ
ก้มหน้ามองลงไป ด้านล่างเต็มไปด้วยเมฆหมอก พวกเขาปีนขึ้นมาสูงมากแล้ว หลิ่วอี้ฮวนถอนใจกล่าวว่า “โอย ดีๆ นะ หากร่วงหล่นลงจากตรงนี้ ย่อมต้องกลายเป็นขนมเปี๊ยะแบนแต๊ดแต๋แน่”
อวี่ซือเฟิ่งมองเขาลังเลไม่ขยับ รู้ว่ากำลังเขาถึงขีดสุดแล้ว หันกลับมากวักมือกล่าวว่า “พี่ใหญ่ ข้าแบกท่านแล้วกัน! ฟ้าใกล้มืดแล้ว ข้าเป็นห่วงท่าน”
หลิ่วอี้ฮวนโบกมือ กัดฟันฝืนไปอีกชั่วยามกว่า สุดท้ายในที่สุดก็เหนื่อยจนไม่อาจไม่ให้อวี่ซือเฟิ่งแบกขึ้นหลัง ยามนี้ความมืดโรยตัวลงมามากแล้ว ท้องฟ้าราวสีหมึกเริ่มมีดวงดาวระยิบ หลิ่วอี้ฮวนพิงอยู่บนหลังเขา เคลื่อนไหวไปตามแรงกระโดดของเขา อยู่ๆ นึกถึงอะไรขึ้นมาได้ กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ซือเฟิ่ง เจ้าตำหนักหลีเจ๋อจริงๆ แล้วก็ไม่มีอะไรน่าเป็น เจ้าเป็นแค่สองสามปีก็พอ อย่าได้ทุ่มเททั้งชีวิต”
อวี่ซือเฟิ่งลังเลกล่าวว่า “พี่ใหญ่ ในเมื่อข้ารับหน้าที่นี้แล้ว ก็ไม่อาจละทิ้งไปโดยง่ายได้ นับประสาอันใดกับตอนนี้ตำหนักหลีเจ๋อก็ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว…”
หลิ่วอี้ฮวนส่ายหน้ากล่าวว่า “ข้าเข้าใจความหมายเจ้า แต่เจ้าคิดดูนะ ใต้หล้ามีสำนักบำเพ็ญเซียนเท่าไร เริ่มแรกไม่ใช่ว่าผู้ใดก็ปณิธานเต็มเปี่ยม? แล้วสุดท้ายผู้ใดจะอยู่ยืนยาวคู่ค้ำฟ้าไม่ร่วงโรย? ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสำเร็จผลเป็นเซียนเลย มาโลกมนุษย์นี้แล้ว อย่าได้สุดท้ายกลับไปมือเปล่า คนที่ยึดมั่นมากไป ชีวิตนี้ไม่อาจมีความสุข ดูท่านพ่อเจ้า ยังมีหยวนหลาง…ผู้ใดก็ไม่รู้จักว่าพอใจแล้วหยุด ฟังพี่ใหญ่นะ เรื่องทุกเรื่องพอควรก็พอ นับประสาอันใดกับเสวียนจีจากบ้านเกิดมาอยู่กับเจ้า เจ้าไม่อาจทอดทิ้งนางให้เหงาคนเดียวกระมัง”
พอเขาเอ่ยถึงเสวียนจี อวี่ซือเฟิ่งก็เงียบไปทันที ระหว่างเขาสองคน ดูเหมือนเสวียนจีไม่รู้เรื่องความเป็นไปแห่งโลก ทำตามใจตนเองอย่างที่สุด แต่จริงๆ แล้วกลับตรงกันข้าม เอาแต่ใจตัวเองก็คือเขาถึงจะถูก พี่หลิ่วกล่าวได้ถูกต้อง เขาถือสิทธิ์อะไรให้เสวียนจีต้องจากบ้านเกิดมาเป็นเพื่อนเขาที่ตำหนักหลีเจ๋อ ทีเดียวก็หลายปี หากเขายุ่งขึ้นมา แม้แต่เงาก็ไม่ได้เห็น เสวียนจีตัวคนเดียว ไม่ใช่ว่าน่าสงสารยิ่งหรอกหรือ
“พี่ใหญ่กล่าวได้ถูก ข้าเข้าใจแล้ว” อวี่ซือเฟิ่งพยักหน้า “ข้าตั้งใจว่าเป็นสักสองสามปีค่อยวางมือ เพียงแต่สองสามปีนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญของตำหนักหลีเจ๋อ ขอให้พี่ใหญ่ช่วยข้าด้วย”
หลิ่วอี้ฮวนแทรกขึ้นกล่าวว่า “ข้ากับอาวุโสหลัวไม่ค่อยถูกกัน…เฮ้อ เอาละ ข้าคงถูกกำหนดให้ต้องวุ่นวายเพราะเจ้า ผู้ใดให้เจ้าเป็นลูกข้า!”
อวี่ซือเฟิ่งยิ้มกล่าวว่า “พี่ใหญ่ดูแลข้าดังลูกชายของท่านมาตลอด”
“เช่นนั้นข้าพูด ลูกชายก็ต้องฟัง!” หลิ่วอี้ฮวนถลึงตาใส่ ตบไหล่เขาร้องดังขึ้นว่า “ข้าสั่งเจ้า รีบปีนขึ้นไปเร็ว! ฟ้าสางแล้วไม่ถึงยอดเขา ข้าจะเตะเจ้าลงไป!”
อวี่ซือเฟิ่งทำหน้าปั้นยาก อยากจะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก อยากจะหัวเราะก็ไม่หัวเราะออก
ปีนมาทั้งคืน พอกลางวันของวันรุ่งขึ้นก็ปีนถึงยอดเขา ดีที่พวกเขาเป็นมารปีศาจมีพลังมาก ทั้งข้ามน้ำ ทั้งปีนเขา ไม่เช่นนั้นยามนี้ก็คงรู้สึกแทบทนไม่ไหวแล้ว ยอดเขามีแท่นหินเล็กๆ แห่งหนึ่ง ทุกคนจึงไปพักกันที่นั่นก่อนสักครู่หนึ่ง
อู๋จือฉีไม่รู้ควักเอาไก่ป่าออกมาตอนไหน ยังกระโดดโลดเต้นได้ แหกปากส่งเสียงร้องดัง ถูกเขาใช้มีดสับหัวทิ้ง ถอนขนแหวกอก ก่อนจะใช้น้ำในถุงหนังที่พกมาล้างทีหนึ่ง ส่งให้เสวียนจีติดไฟย่าง
เพื่อรับมือสิงห์ไคหมิงเก้าเศียร พวกเขายังเตรียมสุราดีมาอีกหลายไห หลิ่วอี้ฮวนน้ำลายไหลลงมาได้สามฉื่อแล้ว รีบฉีกผนึกขวดออก พอลมพัดมา กลิ่นสุราน่าหลงใหลก็พัดขึ้นไปบนท้องฟ้า หลิ่วอี้ฮวนไม่สนใจคนอื่น เงยหน้าดื่มอึกๆ คำโตก่อน ในที่สุดหน้าใบหน้าก็เริ่มมีสีเลือดฝาด
“อย่าดื่มหมดนะ เหลือไหหนึ่งไว้ให้สิงห์ไคหมิงด้วย!” แม้ว่าเขากล่าวเช่นนี้ แต่ความจริงเขาดื่มดุที่สุด ไก่เพิ่งย่างเสร็จ เขาดื่มสุราหมดไปไหหนึ่งแล้ว
“เห็นๆ ว่าเจ้าดื่มมากที่สุด!” จิ้งจอกม่วงถลึงตาใส่ เห็นไก่ย่างสีเหลืองทองก็กระชากออกมาสองน่อง แบ่งให้อู๋จือฉีกับเสวียนจี นางลำเอียงเห็นๆ
อวี่ซือเฟิ่งดื่มไปอึกหนึ่ง หน้านิ่วคิ้วขมวดกล่าวว่า “กลิ่นแรงเช่นนี้ จะมีคนมาพบเข้าไหมเนี่ย”
อู๋จือฉีเนื้อไก่เต็มปาก อู้อี้กล่าวว่า “กลัวอะไร พบเข้าก็แบ่งให้พวกเขา ให้เทพเซียนพวกนั้นได้รู้ว่าอะไรเรียกว่ารสชาติดี จะได้ไม่เอาแต่วันๆ กินแต่ของไร้รสชาติพวกนั้น…”
กล่าวจบ อยู่ๆ ก็รู้สึกผิดปกติ เงยหน้าขึ้นมอง ยอดเขาไม่รู้มีหน้าประหลาดโผล่ออกมาดูตอนไหน ราวกับสิงโต ยังเหมือนสุนัขตัวโต ที่น่าแปลกที่สุดก็คือศีรษะหัวโตยังล้อมไปด้วยศีรษะหัวเล็กๆ โดยรอบ หน้าตาเหมือนกันหมด แต่ละหัวถลึงตาจ้องมองสุราดีและไก่ย่างในมือพวกเขาเขม็ง น้ำลายแทบไหลออกมา
เป็นครั้งแรกที่เสวียนจีได้เห็นสัตว์ประหลาดเช่นนี้ อดไม่ได้ร้อง “อา” ขึ้นเสียงหนึ่ง กล่าวเบาๆ ว่า “เก้าหัว! ใช่สิงห์ไคหมิงไหม”
อู๋จือฉีไม่ตอบ กระชากไก่ครึ่งท่อนโบกไปมา ศีรษะทั้งเก้าก็โยกตามไก่ย่างไม่หยุด สายตาจับจ้องตามไม่ห่าง “อยากกินหรือ” อู๋จือฉียิ้มร่าถาม ศีรษะหัวเล็กทางซ้ายสุดรีบพยักหน้า เสียงแหลมเล็กกล่าวว่า “อยาก!”
“ไม่ให้เจ้ากิน” อู๋จือฉีอ้าปากงับ เกือบจะยัดไก่ครึ่งตัวนั้นลงไปจนหมด
เก้าเศียรมีดวงตาสิบแปดดวง อยู่ๆ พลันน้ำตาคลอเบ้ามองเขานิ่งเงียบ สุดแสนจะน่าสงสาร รอบๆ เต็มไปด้วยความเงียบงัน เสวียนจีรู้สึกสงสาร โยนน่องไก่ในมือให้ไปกล่าวว่า “เอ้า มีนิดหน่อย พวกเจ้าแบ่งกันเอง”
แววตาของศีรษะใหญ่สุดนั้นสว่างวาบ อ้าปากงับไก่น่องนั้นเคี้ยวหยับๆ กลืนลงไปทันที หรี่ตามองอย่างพึงพอใจ น้ำเสียงกระโชกโฮกฮากว่า “รสชาติเยี่ยม! เอามาอีกหน่อย!”
จิ้งจอกม่วงกับหลิ่วอี้ฮวนแย่งไก่ย่างในมืออู๋จือฉี และแม้แต่ส่วนของตนเองก็โยนขึ้นไปด้วย เก้าหัวพลันดีอกดีใจ หัวหนึ่งงับคำหนึ่ง ไม่นานก็กลืนลงท้องไปไม่เหลือแม้แต่กระดูก ยังรู้สึกอยากกินต่ออีก อู๋จือฉีโยนสุราสองไหขึ้นไป ยิ้มกล่าวว่า “รับไว้น้า!”
พอกินไก่ย่างหมด ดื่มสุราหมด สิงห์ไคหมิงนั่นก็เรอออกมาและเริ่มนึกเสียใจภายหลัง ศีรษะหัวที่ใหญ่สุดส่ายไปมาครางหงิงๆ “ไม่ดี! ไม่ดี! กินของคนอื่น หยิบของคนอื่น! คนพวกนี้ไม่รู้มาทำไม ถึงกับกินของพวกเขาไปแล้ว!”
ศีรษะหัวเล็กทางซ้ายสุดเหมือนโดนรังแก ร้องดังขึ้นว่า “พี่ใหญ่กินมากสุด! ตอนนี้ยังกล้าพูดอีก!”
ศีรษะหัวโตนั่นครางหงิงๆ เป็นนานจึงได้กล่าวว่า “พวกเจ้าเป็นใคร มาเขาคุนหลุนทำอะไร”
อู๋จือฉีเห็นมันจำตนเองกับหลิ่วอี้ฮวนไม่ได้ก็อดขำไม่ได้ กล่าวว่า “พวกเราเพียงผ่านทางมา หิวก็เลยย่างไก่กินแกล้มสุรา ถูกพวกเจ้าแย่งไปหมดเลย เจ้าว่าเรื่องนี้ควรทำอย่างไรดี”
ปัญหายากเทียมฟ้าแบบนี้ สิงห์ไคหมิงไม่เคยเจอ ทั้งเก้าหัวประชุมหารือกันเป็นนานก็ไม่ได้ข้อสรุป สุดท้ายหัวโตสุดโมโหกล่าวว่า “เรื่องง่ายๆ พวกนี้อย่ามากวนข้า! พวกเจ้าแก้ปัญหากันไปเองเถอะ! หยุดโวยวาย ข้าจะเข้าสมาธิแล้ว!” กล่าวจบก็หลับตาลง ถึงกับนอนหลับไปแล้ว
ดังนั้นหัวโตอันดับสองก็พูดเหมือนกันให้หัวที่เหลือฟัง สุดท้ายก็หลับตา หลับตามไปด้วย
ในที่สุดก็เหลือหัวเล็กสุด น้ำตาคลอเหมือนโดนรังแกราวอยากจะร้องไห้ เสวียนจีทนไม่ไหวกล่าวอ่อนโยนว่า “ข้ายังมีสุราอีกนิด เจ้าอยากดื่มไหม”
สิงห์ไคหมิงอยู่ๆ พลันดีใจ กางอุ้งเท้าเกี่ยวหน้าผาคิดโดดลงมา อยู่ๆ นึกอะไรขึ้นมาได้ กล่าวว่า “ข้าลงไปไม่ได้ ท่านปู่ราชันสวรรค์รู้ต้องตีข้าแน่! พวกเจ้า…พวกเจ้าขึ้นมาสิ”
ที่แท้ราบรื่นเช่นนี้ ทุกคนสบตากันยิ้ม ยามนั้นก็ยังรู้สึกละอายใจที่หลอกสัตว์เทพไร้เดียงสาเช่นนี้ลงพวกเขารู้สึกตนเองราวกับอยู่ๆ ก็กลายเป็นชายโฉดอันธพาลชั่ว