แม้ว่าสิงห์ไคหมิงมีตัวเดียว แต่จริงๆ แล้วถือเป็นครอบครัวสุขสันต์ ครอบครัวมีพี่น้องเก้าคน พี่ใหญ่ตัวหัวโตสุดนั่นนิสัยขี้โมโห อารมณ์ไม่ดีมากๆ หัวเล็กสุดก็เป็นน้องชายที่ยังตื่นอยู่หัวเดียว แม้ว่าชาวแดนสวรรค์ต่างว่าพวกมันโง่ แต่พี่ใหญ่มักชมว่าสิงห์ไคหมิงเป็นสัตว์เทพที่หล่อและฉลาดที่สุด คนที่ว่าพวกมันทุกคนล้วนเป็นเพราะอิจฉา
วาจาโกหกใดก็ตามพูดหมื่นครั้งก็ล้วนกลายเป็นความจริงได้ แต่ไรมาสิงห์ไคหมิงก็เชื่อว่าตนเองเป็นสัตว์เทพที่เก่งกาจที่สุดในแดนสวรรค์ แต่ไรมาไม่เคยทำหน้าที่บกพร่อง
ตอนพวกเสวียนจีปีนขึ้นหน้าผามา เรื่องแรกที่สิงห์ไคหมิงทำก็คือใช้จมูกดมเสวียนจี ลองหากลิ่นสุรากับไก่ย่าง จิ้งจอกม่วงเห็นหัวเล็กสุดนั่นมีน้ำตาคลอ แต่ไม่เหมือนร้องไห้ เหมือนว่าดื่มมากไปแล้วตาหวานเยิ้มมากกว่า อดกล่าวเบาๆ ไม่ได้ว่า “เจ้า…เจ้าอย่าดื่มอีกเลย ดื่มมากไปจะเฝ้าประตูได้อย่างไร”
พวกเขาต้องเป็นคนบุกรุกและคนเฝ้าประตูที่แปลกประหลาดที่สุดในโลก ต้องใช่แน่…
สิงห์ไคหมิงท่าทางมั่นใจมาก กล่าวว่า “ข้าคือสัตว์เทพพันจอกไม่ล้ม! แค่สุราไหเล็กๆ ทำอะไรข้าได้”
เสวียนจีควักสุราไหสุดท้ายออกมาส่งไปตรงหน้ามัน ไม่ทันมองว่ามันเคลื่อนไหวอย่างไร ไหสุราก็ไปกระดกอยู่ที่ปากมันแล้ว ตอนนี้ไหเปล่าร่วงลงพื้น นางอดตบมือชมมันไม่ได้ว่า “เจ้าร้ายกาจมาก! ดื่มเร็วมาก!”
สิงห์ไคหมิงเชิดหน้า แน่นอน มีเพียงหัวเล็กสุดนั่นได้ใจกล่าวว่า “นี่มันจะเท่าไรกัน! พี่ใหญ่สิร้ายกาจ ไม่ต้องขยับปากก็ดื่มสุราได้ ดูดทีเดียวสุราก็เข้าปาก” กล่าวจบก็เรอเอิ้กออกมา กลิ่นสุราตลบอบอวลไปทั่ว
อวี่ซือเฟิ่งเห็นมันเมามากแล้ว ก็ทำใจดีกล่าวว่า “เช่นนี้ไม่ดีกระมัง ในเมื่อมีหน้าที่เฝ้าประตู ทำไมดื่มจนเมาได้”
สิงห์ไคหมิงส่ายหัวไปมา ท่าทางไร้เดียงสาน่ารัก “ไม่เป็นไร! ดู ข้าไม่ปล่อยให้ใครเข้าไปได้เด็ดขาด! ข้า…ข้าบอกความลับพวกเจ้า! ลูกกุญแจประตูไคหมิง…ก็คือหางพวกเรา มา…ข้าให้พวกเจ้าดูว่าเปิดอย่างไร…จะได้…จะได้ให้พวกเจ้าได้เปิดโลก…ได้รู้ว่าคนนอกไม่อาจเข้าตำหนักได้แน่นอน…”
ทุกคนสบตากัน อู๋จือฉีรีบทำท่าทาง ‘อัศจรรย์ใจ’ รีบกล่าวว่า “เช่นนั้น…ให้พวกเราดูหน่อย! กลับไปข้าจะได้เอาไปคุยโม้ให้คนในหมู่บ้านฟังถึงความองอาจเกรียงไกรของสิงห์ไคหมิงแห่งแดนสวรรค์!”
สิงห์ไคหมิงหัวเราะดังลั่น บิดตัวไปมากล่าวว่า “ตาม ตามข้ามา!”
ด้านหลังมันมีหางรูปร่างประหลาดเส้นหนึ่ง ราวกับขีดพู่กันสุดท้ายที่ลากไม่จบ ปลายสุดมีตุ้มบอลเล็กๆ นูนขึ้นแกว่งไปแกว่งมา เสวียนจีทนกับของพรรค์นี้ไม่เคยได้ แทบอยากจะเอื้อมมือไปคว้าเล่น ยื่นมือออกไปหลายครั้งก็ถูกอวี่ซือเฟิ่งตีกลับมาทุกครั้ง
เดินไปได้ไม่ไกล ทุกคนรู้สึกเพียงแค่เบื้องหน้าพลันมีประตูหินมหึมาตั้งตระหง่าน ช่างใหญ่โตราวกับกางกั้นฟ้าดินไว้จริงๆ น่าแปลกมาก ก่อนหน้าถึงกับไม่เห็น ราวกับพริบตาก็ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเสียอย่างนั้น ประตูหินสองบานประกบแน่น สีขาวราวหิมะไร้ตำหนิ รวมเป็นหนึ่งเดียวสนิทแน่น จิ้งจอกม่วงแอบใช้มือลูบไปทีหนึ่ง ฝ่ามือเจ็บปลาบจนนางเกือบร้องออกมา ก้มหน้าลงมองฝ่ามือไหม้เป็นแถบ
อู๋จือฉียกมือนางขึ้นมา รีบฉีกเสื้ออกมาพันให้ กล่าวเบาๆ ว่า “อย่าแตะของที่นี่พลการ ของวิเศษพวกเซียน ปีศาจน้อยเช่นเจ้าทนรับไม่ไหว”
จิ้งจอกม่วงน้ำตาคลอเหมือนโดนรังแก อาศัยช่วงจังหวะเขากำลังอ่อนโยน คิดออดอ้อนสักหน่อย แต่ที่นี่คนมาก นางทำใจไม่ได้ ได้แต่ยู่ปากใช้เท้าเขี่ยพื้นไปมา
“อืม กินไก่ย่างกับสุราพวกเจ้า ก็ให้พวกเจ้าได้เปิดโลกเป็นการตอบแทนแล้วกัน!” สิงห์ไคหมิงเรอสุราออกมาอีกครั้ง มองอู๋จือฉีสายตาเลื่อนลอยกล่าวอีกว่า “เจ้ากลับไปต้องจำไว้ว่าอย่าลืมเล่าความองอาจของสิงห์ไคหมิงให้พวกมนุษย์นั่นฟังนะ!”
อู๋จือฉียิ้มเพียงแค่หนังหน้า พยักหน้าหงึก “แน่นอนๆ!”
สิงห์ไคหมิงสูดลมหายใจเข้า ก้มตัวลงเผยให้เห็นหางประหลาดด้านหลัง ฉึบ กระดกยืดตรงขึ้นราวกับเสาธง ทุกคนกำลังไม่รู้ว่ามันเปิดประตูอย่างไร เห็นเพียงมันใช้หางตวัดไปที่ประตู มีเสียงดังขึ้นเสียงหนึ่ง บานประตูสองบานสีขาวราวหิมะก็มีเสียงฝืดดังเปิดออก เปิดเป็นทางเล็กๆ
เสวียนจีจ้องมองตาค้าง หันกลับไปกระซิบถามหลิ่วอี้ฮวน “พี่หลิ่ว ครั้งก่อนมันก็เปิดประตูเช่นนี้หรือ”
หลิ่วอี้ฮวนพยักหน้า “แต่ครั้งก่อนข้าหลอกพวกมันว่าข้าเพิ่งสำเร็จเป็นเซียน พวกมันจึงเต้นระบำต้อนรับข้าใหญ่ ระบำที่…พิเศษมาก”
ประตูไคหมิงค่อยๆ เปิดออก ในนั้นมีภาพทิวทัศน์แสนงามราวกับภาพวาด มองผ่านประตูไป ให้ความรู้สึกเหมือนไม่ใช่ความจริง ราวกับหลังประตูซ่อนภาพฝันอันงดงามเอาไว้ สิงห์ไคหมิงแกว่งหางไปมาอย่างได้ใจ หัวเล็กนั่นส่ายไปมา ถามติดๆ กันว่า “เป็นอย่างไร ข้าร้ายกาจไหม”
อู๋จือฉีควักเอาขนมเปี๊ยะย่างออกมาก้อนหนึ่งส่งไปที่ปากมัน กล่าวว่า “สิงห์ไคหมิงองอาจสง่างาม ช่างน่าหลงใหลแท้! มา นี่คือของคารวะท่าน อย่าได้เกรงใจ!”
สิงห์ไคหมิงดมๆ ขนมเปี๊ยะย่างไส้เนื้อ แม้ว่าดูหน้าตาไม่ดี แต่ดมแล้วหอมจริง ของแดนสวรรค์งดงามก็จริง แต่ล้วนไร้รสชาติ ทุกอย่างล้วนจืดชืดเย็นเยียบ สิงห์ไคหมิงไหนเลยจะทนกับของล่อใจเช่นอาหารในโลกมนุษย์ได้ จึงอ้าปากงับเต็มคำ กินไปก็ทอดถอนใจไป “เจ้าเป็นคนดีจริง! คนดี ดีจริง!”
ยังกล่าวไม่ทันจบก็ล้มตึงลงพับพื้น ปากยังอมขนมเปี๊ยะย่างค้างอยู่อีกครึ่ง หลับไปเช่นนี้เสีย เฉยๆ
เสวียนจีเข้าไปลูบหัวมัน เก้าหัวไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง อู๋จือฉีหัวเราะแหะๆ กล่าวว่า “ใส่ยานอนหลับนิดเดียวเท่านั้น ไม่ให้มันหลับ พวกเราจะเข้าไปได้อย่างไร”
ประตูไคหมิงค่อยๆ เปิดอ้ากว้างขึ้น ด้านในราวภาพฝันไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดใดได้จริงๆ หลิ่วอี้ฮวนอุทานชื่นชมกล่าวว่า “มาครั้งที่สองแล้ว ยังรู้สึกที่นี่เป็นความงามที่หาไม่ได้บนโลกมนุษย์ ผู้ใดว่าราชันสวรรค์เสพสุขไม่เป็นกัน”
มือเสวียนจีพลันถูกกุมไว้ พอเงยหน้ามองก็เห็นเป็นอวี่ซือเฟิ่ง เขากล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “พบราชันสวรรค์ เจ้าจะพูดอะไร” เสวียนจีอึ้งไป จริงๆ แล้วแม้ว่านางอยากเข้าเฝ้าราชันสวรรค์มาตลอด แต่ว่าจะพูดอะไรตอนได้พบนั้นก็ไม่เคยคิดมาก่อน นางลังเลครู่หนึ่งจึงได้กล่าวว่า “น่าจะ…น่าจะบอกว่า ข้าไม่ได้กบฏ…อืม จากนั้นก็ให้ปล่อยถิงหนูกลับมา ดวงตาสวรรค์ก็เอาคืนไปแล้ว ขอให้อย่าเอาเรื่องพี่หลิ่วอีก…สุดท้าย…สุดท้ายบอกว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้าสักนิด พวกเราร่วมเป็นร่วมตาย ไม่ได้ทำเรื่องชั่วร้าย”
“นี่มันอะไรกัน…” เขาหัวเราะดังลั่น คลึงศีรษะนางเบาๆ ยิ้มกล่าวว่า “เจ้ายังเหมือนเด็กน้อยเหมือนเดิมเลย หรือว่าเอ่ยขอมากมายเช่นนี้ คิดว่าราชันสวรรค์ย่อมรับปาก?”
“ทำไมท่านจะไม่รับปาก!” เสวียนจีร้อนใจ “พวกเราไม่มีผู้ใดทำผิดทั้งนั้น! อยู่ดีๆ จะมาหาเรื่องพวกเราทำไม! เป็นราชันสวรรค์ก็ลงโทษคนอื่นได้ตามใจชอบหรือ”
วาจานางเพิ่งกล่าวจบ ก็ได้ยินเสียงแข็งกร้าวกล่าวว่า “ราชันสวรรค์ทรงทำอะไร ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะมาตัดสิน!”
ทุกคนต่างตกใจยิ่ง ตลอดทางมานอกจากพบอูหลี่ว์ที่ประตูมังกร หน้าประตูไคหมิงพบสิงห์ไคหมิง ก็ไม่เห็นเงาคนแม้ครึ่งคน! คนผู้นี้อยู่ๆ มาได้อย่างไร แม้แต่อู๋จือฉีกับเสวียนจีก็ไม่ทันรู้ตัว!
เสวียนจีกับอู๋จือฉีแทบจะขยับพร้อมกัน ไม่สนใจจะเงยหน้ามองให้ดีก็ชักกระบี่เปิงอวี้ออกมา อีกคนดึงขอสมุทรเช่อไห่ออกมาพร้อมโจมตีไปพร้อมกัน พลันเห็นแสงสีขาวยิ่งใหญ่ตรงหน้า แสบตายิ่ง เสวียนจีหลบโดยสัญชาตญาณ ข้างหูได้ยินเสียงจิ้งจอกม่วงร้องตกใจ ตามมาด้วยแสงสีขาวถอยกลับไปทันที หน้าประตูเหลือกันแค่สี่คนยืนเซ่อกันอยู่ รอบด้านไม่มีอะไรผิดปกติ ประตูไคหมิงยังคงเปิด สิงห์ไคหมิงยังคงนอนหลับหน้าประตู ขาดไปแค่จิ้งจอกม่วง
เสวียนจีเงยหน้ามองอีก กลางท้องฟ้าไม่มีแม้แต่เงาร่างคน เมื่อครู่คนผู้นั้นมาไร้เงาไปไร้เงา แย่งจิ้งจอกม่วงไปจากมืออู๋จือฉีและนางเฉยๆ! อวี่ซือเฟิ่งสีหน้าซีดเผือด กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เป็นอูหลี่ว์?” เสียงนั่นฟังแล้วแก่เฒ่ามากสักหน่อย คนแรกที่เขานึกถึงก็คือนายท่านที่เลี้ยงมังกร
อู๋จือฉีกัดฟันกล่าวว่า “ไม่ใช่อูหลี่ว์! น่าจะเป็นจอมเวทคนอื่น!” เขาหันหลังจะโดดลงจากผาหินไป หลิ่วอี้ฮวนรีบดึงเขาไว้ “เจ้าจะทำไร ประตูเปิดแล้ว!” อู๋จือฉีสะบัดออก ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ผู้ใดยังจะสนใจประตูเปิดไม่เปิด! จิ้งจอกน้อยถูกจอมเวทพวกนั้นจับตัวไป เกรงว่าร้ายมากกว่าดี!”
เขาโดดลงจากหน้าผาไปทันทีโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย เสียงดังตามมาว่า “พวกเจ้าเข้าไปก่อน! ข้าจัดการพวกจอมเวทเสร็จก็จะไปสมทบกับพวกเจ้า!”
หลิ่วอี้ฮวนจะดึงไว้ ไหนเลยจะดึงไว้ได้ ทั้งสามมองตามร่างเขาที่กลายเป็นจุดดำไปในพริบตา
อวี่ซือเฟิ่งมองไปรอบๆ พบว่าไม่ได้มีอันใดผิดปกติ ได้แต่กล่าวว่า “ไปเถอะ เขาพูดถูก พวกเราเข้าไปก่อน อย่าเสียเวลาทำเรื่องที่ต้องทำ”
ผู้ใดจะรู้ว่าพอเดินไปได้สองก้าว เสวียนจีน้ำเสียงดุดันกล่าวว่า “อยู่ตรงนี้!” กระบี่เปิงอวี้วาดรัศมีงดงามไปบนท้องฟ้า ฉับ ดังคาด ฟันโดนอะไรสักอย่าง เลือดสดพุ่งออกมา เงาร่างบางๆ ปรากฏกลางท้องฟ้าก่อนจะร่วงลงสู่พื้น
ทั้งสามรีบเข้าล้อมไว้ เห็นคนผู้นั้นหนวดขาวชุดเขียว ยังเป็นตาเฒ่า คิดแล้วก็คงเป็นหนึ่งในจอมเวท เสวียนจีฟันเข้าที่ท้องเขา เขากุมบาดแผลแน่นด้วยสีหน้าตกใจและหวาดกลัว อวี่ซือเฟิ่งเห็นเสวียนจีคิดยกกระบี่สังหารเขา ก็ส่ายหน้ากล่าวว่า “อย่าสังหารคนพลการ เจ้าทำเขาบาดเจ็บพอแล้ว ไป พวกเราเข้าไปก่อนค่อยว่ากัน”
เสวียนจีเก็บกระบี่เปิงอวี้อย่างแค้นใจ หันหลังจะไป ผู้ใดจะรู้ว่าตาเฒ่านั้นกลับส่งเสียงแหบพร่าขึ้นด้านหลังว่า “ราชันสวรรค์มีบัญชา บุกรุกแดนศักดิ์สิทธิ์ สังหารทิ้งให้หมด! เจ้าพวกโจรเดนตาย ไม่เห็นฟ้าดินในสายตา ตายเมื่อไรย่อมถูกส่งไปแดนนรกไม่ได้ผุดได้เกิด!”
หลิ่วอี้ฮวนอดไม่ได้กล่าวว่า “นายท่านพูดได้ไร้เหตุผลสิ้นดี! พวกเจ้าใส่ร้ายได้ฝ่ายเดียว ไม่อนุญาตให้พวกเราแก้ตัว? ตาข้างไหนของเจ้าเห็นว่าพวกเราเหมือนโจรเดนตาย?! หากเดนตายจริง ก็ตัดหัวเจ้าทิ้งไปทำกระดิ่งลมแล้ว!”
ชายชราผู้นั้นสองตาสงสัย แอบลอบสังเกตเขาทั้งสาม กล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “หนึ่ง ชาติก่อนเทพสงคราม สอง ปีศาจครุฑ ข้ามองไม่ผิดแน่!” กล่าวจบอยู่ๆ ก็เม้มปาก ส่งเสียงผิวปากเสียงแหลมแสบแก้วหู เสียงค่อยๆ เบาลง เขาค่อยๆ โปร่งแสงไปทั้งตัว มองไม่เห็นอีก ทิ้งไว้แต่กองเลือดที่พื้น
ทั้งสามไม่รู้ว่าเขาคิดทำอะไรกันแน่ พากันอึ้งไปเล็กน้อย สีหน้าอวี่ซือเฟิ่งอยู่ๆ ก็แปรเปลี่ยนไป หันไปมองท้องฟ้าทางตะวันตก ท้องฟ้าทางนั้นปรากฎเมฆสีแดงเพลิงก้อนใหญ่ ค่อยๆ ลุกโชนราวภาพมายา ภาพมหัศจรรย์เกินบรรยาย
ท่ามกลางเมฆสีสันนั่นมีนกตัวใหญ่มหึมาบินทะยานมา สองปีกค่อยๆ กระพือ ปีกด้านหลังสีสันเปลี่ยนแปลงยากคาดเดา ราวกับแสงสีรุ้งเคลื่อนไหว อยู่บนโลกมนุษย์มาพันปีก็ไม่เคยได้เห็นนกที่งดงามมหัศจรรย์เช่นนี้ อวี่ซือเฟิ่งกับหลิ่วอี้ฮวนเหมือนถูกกระทบกระเทือนอย่างแรงพร้อมกัน สองเข่าอดสั่นเล็กน้อยไม่ได้ แทบจะทรุดลงคุกเข่า
เฟิ่งหวง
ชายชราผู้นั้นเรียกเฟิ่งหวงมา