ตอนที่ 571 พลังแห่งสายเลือด

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ตอนที่ 571 พลังแห่งสายเลือด

 

 

ที่จริงแล้วตอนที่หลี่ว์ซู่เข้าไปคุยกับพวกตระกูลใหญ่ เขาเองนี่แหละที่เป็นคนควบคุมตลาดมืดไว้ ตอนนั้นหลี่อีเสี้ยวเป็นแค่คนเฝ้าประตูดีๆ นี่เอง

 

 

วิธีที่เขาพูดตอนที่บริหารตลาดมืดนั้นทำให้พวกผู้บำเพ็ญลับจำเขาได้ดี… พวกผู้บำเพ็ญลับมักจะได้ยินหลี่ว์ซู่พูดใส่แรงๆ

 

 

ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังเคารพหลี่ว์ซู่ด้วยใจจริง มีไม่กี่คนหรอกที่จะทำให้ตระกูลใหญ่กว่าหกตระกูลที่ไม่มีใครกล้าสู้หน้าด้วยพ่ายแพ้อย่างราบคาบไปได้อย่างนั้น แล้วยิ่งไปกว่านั้นเขายังหนุ่มอยู่เลย!

 

 

นักเรียนที่อ่อนแอคนนั้นหัวเราะ “ลุงบอกว่าจะอนุญาตให้ฉันฝึกด้วยได้ถ้าฉันได้เลื่อนระดับเป็นระดับ F แล้ว เขาจะพาฉันไปต่างประเทศเพื่อไปขนสินค้าเข้ามาด้วยกัน ลุงบอกว่าจะไปเรียนทำไมในเมื่อสามารถบำเพ็ญได้”

 

 

นี่เป็นการขีดเส้นแบ่งระหว่างนักเรียนที่ได้เกรดดีๆ และนักเรียนที่ได้เกรดแย่ๆ พวกเรียนดีก็จะพูดแต่เรื่องเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย ส่วนพวกเรียนแย่ก็จะเข้ากองทหารหรือเข้ามหาวิทยาลัยระดับกลางๆ ไม่ก็สอบใบเทียบเอา

 

 

แต่พอถึงในยุคนี้แล้วถ้ามีใครเลือกตามรอยพวกผู้บำเพ็ญลับไปเป็นผู้บำเพ็ญลับ ก็จะมีเส้นทางใหม่ให้เลือกเดิน

 

 

หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าทางเดินนี้ไม่ใช่ทางเดินที่ดีนักที่จะตามรอย แต่นักเรียนพวกนี้น่ะรู้น้อยกันเกินไปในโลกแห่งผู้บำเพ็ญนี้ พวกเขาก็เลยคิดการเดินทางนี้มันโดดเด่นกว่าและสามารถโด่งดังได้มากกว่า แต่หลี่ว์ซู่เองก็ไม่ได้เห็นด้วยกับคำพูดที่ว่าจะไปเรียนทำไมถ้าสามารถฝึกบำเพ็ญได้ เพราะพวกผู้บำเพ็ญผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายจะทำให้แน่ใจว่าเราจะต้องเห็นความสำคัญของความรู้ขณะที่ต้องทำการฝึกบำเพ็ญไปด้วย

 

 

“หลังเลิกเรียนวันนี้ลุงจะพาฉันไปดูตลาดมืดบนถนนหมายเลข 301 ฉันได้ยินว่าคนธรรมดาเองก็ไปที่นั่นกันบ่อยล่ะ ขายทรัพยากรฝึกฝนที่นั่นเงินดีเชียว” นักเรียนที่อ่อนแอคนนั้นกล่าว

 

 

เขาพูดถึงแต่ลุงตัวเอง เหมือนกับวันที่ทุกคนเมามายแล้วเอาแต่โอ้อวดกันไปมานั่นแหละ เพื่อนฉันทำแบบนั้น พ่อฉันทำแบบนี้ ส่วนพ่อของเพื่อนน่ะทำแบบโน้น ไปเรื่อยๆ ไม่มีวันจบ…

 

 

คำว่า ‘ผู้บำเพ็ญลับ’ และ ‘ปะทุพลัง’ เป็นเทรนด์ในสมัยนี้ นักเรียนหลายๆ คนในห้องเต้าหยวนเริ่มเสียดายกับการตัดสินใจของครอบครัวที่เลือกให้ตัวเอง ทุกคนต่างบอกว่าทางเลือกนี้นั้นอันตราย แต่สำหรับนักเรียนคนอื่นๆ ที่ไม่เคยเห็นนักเรียนห้องเต้าหยวนแล้วก็ไม่น่าจะรู้จักความอันตรายนี้หรอก

 

 

ดูเหมือนว่าการบำเพ็ญในทุกวันนี้จะเป็นเรื่องปกติธรรมดาไปเสียแล้ว ยุคเก่าผ่านพ้นไป ยุคใหม่ก็เข้ามา วันเวลาได้เปลี่ยนไปแล้ว ความคิดที่ฝังหัวจากในยุคเก่าๆ เริ่มตีกับการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ สุดท้ายแล้วยุคสมัยใหม่ก็จะอุบัติขึ้นมา

 

 

หลี่ว์ซู่นั้นใจเย็นพร้อมรับสถานการณ์ไว้แล้ว เขารู้ว่าที่โอ้อวดกันว่า ‘เพื่อนฉันเจ๋งสุดๆ ไปเลย’ หรือ ‘เพื่อนพ่อฉันเก่งมากๆ ’ เป็นแค่การพูดโม้ไปเรื่อยก็เท่านั้นแหละ ทำไมไม่อวดความสามารถของตัวเองบ้างล่ะ

 

 

หลังเลิกเรียน หลี่ว์ซู่ก็เดินออกไปจากโรงเรียน ชีวิตประจำของเขาช่างเรียบง่าย ไปโรงเรียนแล้วก็กลับบ้าน

 

 

แต่เวลานี้หลี่ว์ซู่ไม่ต้องไปขายไข่ต้มอีกแล้ว ทุกวันหลังจากกลับบ้านมาเขามีอะไรที่สำคัญกว่านั้นให้ทำ เขาต้องฝึกบำเพ็ญ ต้องฝึกกระบี่ และต้องตบตีกับไห่กงจื่ออีกด้วย

 

 

พอเดินมาถึงประตูโรงเรียน หลี่ว์ซู่ก็เห็นนักเรียนผู้อ่อนแอคนนั้นเดินไปหาชายวัยกลางคนคนหนึ่งอย่างรวดเร็ว “ลุงครับ มาแล้วเหรอ! ลุงบอกว่าจะไปรอที่บ้านไม่ใช่เหรอครับ”

 

 

ชายวัยกลางคนหัวเราะ “จะได้ประหยัดเวลาไง มา มา เดี๋ยวจะพาไปดูตลาดมืด แล้วจะแนะนำให้รู้จักกับลุงคนอื่นๆ ด้วย ใครจะรู้ล่ะ หลานอาจจะต้องได้ไปตกลงซื้อขายกับพวกนั้นในอนาคตก็ได้”

 

 

นักเรียนที่อยู่รอบๆ นั้นต่างพากันอิจฉา โดยเฉพาะพวกที่เกรดแย่กว่าเขา พวกนั้นมองเพื่อนอยู่ระดับล่างๆ ของชั้นมีทางเดินใหม่ที่พวกเขาจะไปได้ อย่างกับว่าเขาเป็นลูกเศรษฐีที่เรียนแย่ๆ และพ่อแม่ไม่สนใจเรื่องเกรดเลย

 

 

พวกลูกเศรษฐีในงานเลี้ยงรุ่นพูดเล่นกันเป็นประจำในงานเลี้ยงรุ่น ‘พวกเรียนดีน่ะโชคดีแล้ว ไม่เหมือนฉันที่เกรดแย่เกินกว่าจะเข้ามหาวิทยาลัย ฉันก็ทำได้แต่รับช่วงต่อกิจการของที่บ้านเท่านั้นแหละ พอพ่อรู้ว่าฉันเศร้าก็เลยส่งเฟอรารี่มาให้คันหนึ่งแหละ…’

 

 

แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ลุงวัยกลางคนคนนั้นสังเกตเห็นหลี่ว์ซู่ในฝูงคน เขาอึ้งไปถนัด

 

 

“ท่านที่เคารพ!” อยู่ๆ ลุงวัยกลางคนที่เมื่อกี้ตื่นเต้นจะพาหลานไปตลาดมืดก็วิ่งเหยาะๆ เข้ามาหาหลี่ว์ซู่และส่งยิ้มให้ “ท่านที่เคารพมาเรียนที่นี่เหรอครับ”

 

 

“มีอะไรไปทำก็ไปเถอะ” หลี่ว์ซู่หันไปมองเขาแล้วพูด

 

 

หลี่ว์ซู่จำคนนี้ได้ ตอนที่หลี่ว์ซู่จะซื้อศิลาวิญญาณกลับคืนมาก็ได้เขาคนนี้ช่วยไว้ หลี่อีเสี้ยวชมไปยกใหญ่ มิน่าล่ะ เขาพูดว่าตัวเองเกี่ยวข้องกับท่านและท่านที่เคารพ ดูเหมือนว่าเขาจะทำผลงานได้ดีเลยแฮะ

 

 

“ครับ” ลุงคนนั้นเดินออกไปโดยไม่พูดอะไรอีก ท่านที่เคารพไม่อยากพูดกับเขา เขาต้องรีบผละตัวออกไป

 

 

แต่นักเรียนผู้อ่อนแอคนนั้นกลับหน้าซีดไป พวกนักเรียนที่อยู่รอบๆ เองก็นั่งกันไม่ติด ท่านที่เคารพที่พวกเขาพูดถึงกันคือหลี่ว์ซู่งั้นเหรอ

 

 

พวกเขาคิดว่าหลี่ว์ซู่ไม่น่าจะมีฝีมืออะไรและก็คงไม่ใช่คนหัวดีเพราะเขาไม่มีโอกาสได้ไปสอบเข้าศึกษาต่อที่วิทยาลัยลั่วเฉิง ใครๆ ต่างก็บอกว่าคนที่จบจากลั่วเฉิงนั้นจะต้องเป็นพวกเก่งมากๆ แน่นอน ส่วนคนที่เรียนไม่จบจะถูกส่งไปอยู่หน่วยรักษาความปลอดภัยแต่จะได้อยู่ในระดับสูงๆ

 

 

แต่กลายเป็นว่าในสายตาของผู้บำเพ็ญลับแล้ว หลี่ว์ซู่คือคนที่แข็งแกร่งเทียบเท่ากับผอ.หลี่เลยเหรอ หลี่อีเสี้ยวเป็นถึงราชันฟ้าเลยนะ! นี่โลกเราเพี้ยนไปแล้วหรือไง เมื่อก่อนทุกคนคิดว่าหลี่ว์ซู่เป็นแค่มนุษย์ที่มีพลังพิเศษ ถ้าเขาไม่ได้ปะทุพลัง เขาก็ไปไกลได้ถึงแค่ระดับ C เท่านั้น ถึงแม้เขาจะได้เลื่อนระดับไปไกลกว่าเดิมได้ ก็มีคนจากมูลนิธิพูดไว้ว่า มีแต่ความแข็งแกร่งเพียงอย่างเดียวจะทำให้เขาเสียเปรียบผู้อื่นอย่างมาก

 

 

แล้วหลี่ว์ซู่กลายเป็นมือกระบี่ผู้เชี่ยวชาญได้อย่างไรล่ะ

 

 

ไม่นานมานี้คนที่ไม่พอใจหลี่ว์ซู่ อยู่ๆ ก็เห็นหลี่ว์ซู่ตั้งใจเรียนขึ้นมา เขาดูพยายามอย่างมากที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยปกติ ถึงแม้ว่าทุกคนจะไม่ได้พูดอะไรออกไป แต่ทุกคนก็รู้สึกดีใจขึ้นมานิดหน่อย

 

 

โลกเรามันก็เป็นแบบนี้แหละ จิตใจคนน่ากลัวกว่าสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติอีก คนบางคนอยู่ๆ ก็มุ่งร้ายได้ขึ้นมาโดยที่พวกเขาอาจจะไม่รู้ตัวเลยก็ได้ด้วยซ้ำ

 

 

และความมุ่งร้ายเหล่านั้นก็ถูก ‘ท่านที่เคารพ’ หรือผู้บำเพ็ญลับที่ชื่อว่าหลี่ว์ซู่ทำลายไปเสียสิ้น พวกเขากลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงและเรียนรู้หลี่ว์ซู่ในตอนนี้เสียใหม่

 

 

หลี่ว์ซู่เดินอย่างใจเย็นไปที่เส้นแบ่งอาณาเขต โลกทั้งสองโลกถูกแบ่งออกโดยการเข้ามาของยุคแห่งพลังพิเศษ พวกนั้นกับหลี่ว์ซู่ไม่ได้อยู่ในโลกเดียวกันอยู่แล้ว ดังนั้นก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่หลี่ว์ซู่จะไปสนใจว่าคนพวกนั้นจะคิดอย่างไรกับเขา

 

 

อยู่ๆ หลี่ว์ซู่ก็คิดได้ว่าตัวเองยังมีของวิเศษชิ้นหนึ่งที่ยังไม่รู้ว่ามันสามารถทำอะไรได้บ้าง เขากลับบ้านมาอาบน้ำและเดินเข้าห้องตัวเองไป เขาหยิบไข่มุกสีดำออกมาจากตราแผ่นดินเพื่อพิจารณาดูมันใกล้ๆ หมอกสีดำหมุนวนอยู่ภายในไข่มุกเหมือนกับวันแรกที่เขาได้มันมา

 

 

ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าออกในไข่มุกได้ตามใจนึก เขาไม่รู้หรอกว่ามีอะไรอยู่ในไข่มุกนี่ อาจเป็นจิตวิญญาณเก่าแก่แบบไห่กงจื่อก็ได้ คิดย้อนไปแล้ว เสียงนั้นดังมาจากที่ไกลๆ และมันก็ไม่ได้แสดงออกมาว่ามีเจตนาร้าย ถึงแม้ว่าเขาจะหยุดยั้งตัวเองไม่ให้สำรวจเข้าไปในไข่มุกสีดำนี่ คำพูดที่เขาได้ยินมามันยังก้องอยู่ในหัว

 

 

ทำไมมันถึงบอกว่าเขาเป็นสายเลือดที่คุ้นเคยนะ สายเลือดของเขาคือใครกัน

 

 

กลุ่มเทพเจ้าได้พิสูจน์แล้วว่าการสืบทอดทางสายเลือดนั้นมีอยู่จริง ไม่ว่าจะเป็นค้อนกุงเนียร์ของคอรัล หรือการที่เธอปล่อยพลังอสนีบาตได้จากการปะทุพลังทางสายเลือด สิ่งเหล่านี้ก็ช่างเหมือนสิ่งที่เทพโอดินมีทุกประการ