ตอนที่ 160 สังเกตกำแพง

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตอนที่ 160 สังเกตกำแพง โดย Ink Stone_Fantasy

“ด้วยตำแหน่งของศิษย์พี่ในนิกาย ต่อให้เกาชงกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณจริงๆ ต่อหน้าท่านเขาก็ยังต้องเชื่อฟังท่านอยู่ดี จะว่าไปแล้วเหตุที่อุปนิสัยของเกาชงแตกต่างจากเดิมมากนั้น ครึ่งหนึ่งเป็นเพราะว่ามาจากตัวของเขาเอง อีกครึ่งหนึ่งเป็นเพราะว่าฝึกฝนวิชาพื้นฐานที่ศิษย์พี่ท่านประมุขได้รับถ่ายทอดจากอาจารย์โดยตรงชุดนั้น ถึงแม้วิชานี้จะลี้ลับมหัศจรรย์ และเป็นแค่ศิษย์จิตวิญญาณก็สามารถวางรากฐานได้ไม่ธรรมดา แต่มันมีผลกระทบต่ออุปนิสัยค่อนข้างรุนแรงมาก ต้องรอผ่านด่านเตาหลอมพลังก่อนถึงจะค่อยๆ ฟื้นฟูขึ้นมา และศิษย์พี่ท่านประมุขก็หาเตาหลอมพลังใหม่ได้แล้ว” หลินไฉอวี่อธิบายด้วรอยยิ้ม

“ศิษย์น้องไม่ต้องอธิบายอะไรมาก ต่อไปเกาชงจะเปลี่ยนไปอย่างไรก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้ามากนัก ต่อให้เขาจะกลายเป็นผู้ฝึกในระดับผลึก ถึงตอนนั้นข้าก็คงไม่มีชีวิตอยู่แล้ว นี่ก็นานมากแล้ว ศิษย์น้องก็ควรลงเขาไปได้แล้วล่ะ ข้าต้องการความสงบจริงๆ” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยโบกมือแล้วกล่าวอย่างเมินเฉย

หลินไฉอวี่เห็นเช่นนี้ก็ได้แต่ยิ้มขมขื่นแล้วก็ลาจากไป

……

หลิ่วหมิงกลับถึงที่พักก็หยิบป้ายหยกตรวจตรามาชื่นชม

บริเวณขอบป้ายหยกไม่เพียงแต่มีอักขระที่งดงาม แต่ยังมีคำว่า ‘ตรวจตรา’ สลักไว้บนแผ่นป้ายด้านหนึ่ง ส่วนอีกด้านหนึ่งก็สลักคำว่า ‘นิกายปีศาจไว้’ และพอส่งพลังเวทย์เข้าไปในนั้นเล็กน้อย ก็มีค่ายกลอักขระหกชั้นที่มีสีสันแตกต่างกันปรากฏออกมา

ไม่คาดคิดว่าของสิ่งนี้จะเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำ

แต่พอหลิ่วหมิงมองดูลักษณะสิ่งของที่อยู่ในมือแล้ว กลับแสดงสีหน้าราวกับคิดอะไรอยู่

ของสิ่งนี้ดูคล้ายกับป้ายสีฟ้าที่เขาได้มาจากปีศาจครึ่งมังกรตนนั้น เพียงแต่ระดับของมันอยู่ห่างกันมาก

อย่างนี้แสดงว่าป้ายสีฟ้านั้นก็เป็นสิ่งของแทนสถานะบางอย่างเหมือนกัน แต่ทำไมถึงมาอยู่ในตัวของปีศาจมังกรแดงตนนั้นได้นะ

ต่อให้หลิ่วหมิงจะคิดด้วยสติปัญญาอันเฉียบแหลมสักร้อยรอบ ก็คิดไม่ถึงว่าจะมีเผ่าเจ้าสมุทรปรากฏตัวอยู่ในแดนลึกลับ และถูกปีศาจครึ่งมังกรตนนั้นสังหาร และสุดท้ายสิ่งของของพวกเขาก็ตกอยู่ในมือของตนเอง

หลังจากที่เขาชื่นชมป้ายอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็เอาแผ่นหยกมาแปะไว้บนหน้าผาก จากนั้นก็เริ่มใช้พลังจิตตรวจดูสิ่งที่บันทึกอยู่ในนั้น

ผ่านไปไม่นานหลิ่วหมิงก็หยิบแผ่นหยกออก สีหน้าของเขาดูเคร่งขรึมขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

“คิดไม่ถึงว่า เมืองเสวียนจิงจะซับซ้อนกว่าที่คิดไว้มาก แม้แต่คนต่างเผ่าก็เคยปรากฏตัวในนั้น แต่ในเมื่อเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว ย่อมไม่มีเหตุผลที่จะถอย”

หลังจากเขาพูดพึมพำไม่กี่ประโยค ก็คิดใคร่ครวญอยู่นานสองนาน ในที่สุดก็เก็บป้ายกับแผ่นหยกเข้าไป จากนั้นก็ทำท่ามือด้วยมือทั้งสองพร้อมกับกำหนดลมหายใจเข้าออก

……

สามวันผ่านไป ด้านหน้าของหุบเขาที่เป็นเขตต้องห้ามที่อยู่ตรงด้านหลังยอดเขาหลักของนิกายปีศาจ หลิ่วหมิงยืนเก็บมืออย่างเรียบร้อยอยู่ตรงปากทางเข้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม กองหญ้าแห้งที่อยู่ไม่ไกลออกไปมีแมวดาวหิมะขาวลำตัวยาวครึ่งจั้งกว่านอนขดตัวอยู่

ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใดถึงมีเสียงฝีเท้าดังมาจากในหุบเขา และมีเด็กน้อยสวมชุดสีเหลืองอายุราวๆ สิบเอ็ดถึงสิบสองปีเดินออกมา

พอเขาเดินมาถึงตรงหน้าหลิ่วหมิงก็กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม

“ศิษย์พี่ไป๋ คืนนี้อาจารย์ปู่อนุญาตให้ท่านเข้าหุบเขาเพื่อทำความเข้าใจกำแพงเก็บเงาได้ แต่ในช่วงเวลากลางวันนี้ท่านต้องรออยู่ด้านนอก พอถึงเวลากลางคืนแล้วข้าจะนำท่านไปสังเกตกำแพงเก็บเงา”

“ขอบใจศิษย์น้องมาก ข้าจะรออยู่แถวนี้” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เขารีบหาต้นไม้ใหญ่ที่อยู่บริเวณนั้นแล้วนั่งขัดสมาธิลงไป

ในเมื่อเขาวางแผนที่จะไม่กลับนิกายปีศาจเป็นเวลาหลายปี โอกาสในการทำความเข้าใจกำแพงเก็บเงานี้ย่อมไม่อาจละทิ้งได้ ดังนั้นหลังจากที่เขาสะสมพลังมาหลายวัน ในที่สุดวันนี้เขาก็มาขอทำความเข้าใจกำแพงเก็บเงาในเขตต้องห้ามของอาจารย์ปู่เยี่ยนหนึ่งคืน

แต่ที่น่าเสียดายก็คือ เดิมทีหลิ่วหมิงจะถือโอกาสมาคารวะอาจารย์ปู่เยี่ยนผู้นี้สักหน่อย แต่ดูเหมือนว่าท่านไม่คิดที่จะพบผู้ฝึกฝนระดับศิษย์จิตวิญญาณเลย ท่านเพียงแค่ให้เด็กน้อยเฝ้าหุบเขาตอบรับคำขอของเขาเท่านั้น

ขณะนี้ เด็กน้อยชุดเหลืองผู้นั้นก็นั่งลงด้านข้างแมวดาวหิมะขาวตัวนั้น และเอนตัวพิงขนอ่อนนุ่มของมัน ไม่นานเขาก็หลับสนิท

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก

แมวดาวตนนั้นทำให้เขารู้สึกถึงอันตรายเป็นอย่างมาก และระดับการฝึกฝนของเจ้าเด็กชุดเหลืองก็ดูเหมือนจะไม่สูงมากนัก แต่ทั้งสองกลับสนิทสนมกันเช่นนี้ ช่างเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อจริงๆ

แต่หลิ่วหมิงก็รีบปิดตาดึงพลังจิตกลับมาอย่างรวดเร็ว และเริ่มทำการฝึกฝน

เวลาค่อยๆ ผ่านไปทีละน้อย เมื่อท้องฟ้าใกล้จะมืดลงนั้น ในที่สุดเด็กน้อยที่หลับไปทั้งวันก็พลิกตัวขึ้นจากลำตัวของแมวดาวหิมะขาว หลังจากที่บิดขี้เกียจแล้วก็หันมาทักทายหลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้ม

“ศิษย์พี่ไป๋ ได้เวลาแล้ว ข้าจะนำท่านไปที่กำแพงเก็บเงา แต่ตอนที่เข้าไปในหุบเขาศิษย์พี่จะต้องตามหลังข้ามาติดๆ มิเช่นนั้นถ้าหากไปโดนชั้นจำกัดที่อาจารย์ปู่วางไว้จะทำให้เกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นได้”

“ย่อมได้! ศิษย์น้องนำทางอยู่ด้านหน้าก็พอแล้ว” หลิ่วหมิงได้ยินก็รีบลืมตาทั้งสอง และลุกขึ้นมากล่าว

ถึงแม้เด็กน้อยตรงหน้าจะอายุยังน้อย แต่กลับทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกผิดปกติเป็นอย่างมาก ทำให้หลิ่วหมิงไม่กล้าเมินเฉยต่อคำพูดของเขา

จากนั้นเด็กน้อยก็พาหลิ่วหมิงเดินไปตามทางหินสีขาวเล็กๆ เพื่อเข้าไปในหุบเขา แต่เจ้าแมวดาวหิมะขาวตนนั้นยังคงเฝ้าอยู่ด้านนอก

ทางเดินทั้งสองด้านเต็มไปด้วยไอหมอกมืดครึ้ม และท่ามกลางไอหมอกจะเห็นต้นไม้ ก้อนหิน และสิ่งของอื่นๆ อยู่รำไร แต่ถ้ายิ่งจ้องมองมันอย่างละเอียดกลับยิ่งรู้สึกว่าสิ่งของเหล่านี้กลายเป็นสีดำไปหมด จนไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน

หลิ่วหมิงเดินตามเด็กน้อย จนเดินผ่านบ่อน้ำหนึ่งแห่งกับป่าดงดิบอีกผืน หลังจากที่เดินคดเคี้ยวไปมาหลายรอบก็มาถึงด้านหน้าของหน้าผาสูงชัน

และด้านล่างสุดของหน้าผามีประตูหินสีเขียวที่ถูกแสงสีขาวปกคลุมอยู่

เด็กน้อยหยิบป้ายออกมาจากอกแล้วแกว่งไปทางประตูหินเบาๆ ทันใดนั้นแสงสีเงินเส้นหนึ่งก็พุ่งยิงออกไป และจมหายเข้าไปในประตูหิน

ครู่ต่อมาแสงสีขาวบนประตูหินก็ส่งเสียงดังหวึ่งๆ และหลังจากที่มันกะพริบเพียงไม่กี่ที มันก็ส่งเสียงดัง “ฟู่!” ก่อนที่จะหายไป

“ศิษย์พี่จำไว้ให้ดี ท่านมีเวลาแค่คืนเดียวเท่านั้น พรุ่งนี้เช้าเมื่อชั้นจำกัดบนประตูหินหายไปอีกครั้งท่านจะต้องออกมาจากข้างในทันที อีกอย่างอาจารย์ปู่ได้กระตุ้นกำแพงเก็บเงาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อท่านเข้าไปก็สังเกตแลย แต่จำไว้อีกหน่อยว่ากำแพงเก็บเงานี้เป็นของล้ำค่าของนิกาย ห้ามใช้มือไปสัมผัสมันเด็ดขาด มิเช่นนั้นถ้าหากว่ามันเสียหายแม้เพียงเล็กน้อย ท่านจะต้องถูกทำโทษตามกฎของนิกาย” เด็กน้อยหันมากล่าวด้วยสีหน้าที่จริงจังเป็นอย่างมาก

“ศิษย์น้องวางใจเถอะ! ข้าจะกล้าฝืนกฎได้อย่างไร” หลิ่วหมิงตอบรับด้วยท่าทีจริงจัง

พอเด็กน้อยได้ยินเช่นนี้ถึงได้พยักหน้าด้วยความพอใจ เขาก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้วค่อยๆ ผลักประตูหินออก จากนั้นก็หันมากล่าวกับหลิ่วหมิง “เชิญ!”

หลิ่วหมิงสูดหายใจเข้าไปลึกๆ แล้วเดินเข้าประตูหินไป

ตอนที่เขาก้าวเข้าไปนั้น ประตูหินก็ปิดเข้าหากันเอง ขณะเดียวกันก็มีแสงเปล่งประกายออกมา และแสงสีขาวที่หายไปก็กลับมาปกคลุมอีกครั้ง

หลิ่วหมิงส่ายศีรษะแล้วถึงสังเกตดูทุกสิ่งที่อยู่รอบด้านอย่างละเอียด

เขาพบว่าตนเองอยู่ในห้องหินที่มีความกว้างสามสิบกว่าจั้ง บนพื้นกับผนังรอบด้านเป็นหินผาสีขาว มันดูแข็งแกร่งจนยากจะหาที่เปรียบได้ และนอกจากจะมีกำแพงผลึกสีฟ้าที่ดูคล้ายฉากกั้นแล้วตั้งอยู่ตรงกลางห้องแล้ว ก็ยังมีเบาะสีเหลืองอ่อนวางอยู่ตรงมุมห้อง นอกจากนี้ก็ไม่มีสิ่งของอื่นใดอีกเลย

หลิ่วหมิงเดินไปที่กำแพงผลึกด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป จากนั้นเขาก็ค่อยๆ เดินวนอยู่หลายรอบ

กำแพงผลึกก้อนนี้มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก กว้างยาวไม่เกินสองถึงสามจั้ง และหนาเพียงฉื่อกว่าๆ เท่านั้น แต่หลังจากที่เขามองออกไปก็รู้สึกว่ามีแต่มีลำแสงสีฟ้าละลานตาไปหมด จากนั้นเขาก็พยายามเพ่งมองอีกครั้ง แต่กลับรู้สึกหน้ามืดตาลายอย่างแปลกประหลาด

หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจเล็กน้อย เขารีบหลับตาทั้งสองเพื่อหลบแสงที่ส่องเข้ามา จนเมื่อเขารู้สึกดีขึ้นเล็กน้อยถึงค่อยลืมตาขึ้นอีกครั้ง

แต่ครั้งนี้เขากลับไม่ได้มองกำแพงเก็บเงาก้อนนี้ แต่กลับเดินไปสังเกตดูผนังหินด้านหนึ่งอยู่ไม่หยุด

บนผนังหินนี้มีร่องรอยแปลกประหลาดอยู่เป็นจำนวนมาก และบางรอยก็ตรงไปตรงมา บางรอยกลับโค้งงอ และบางรอยเป็นเครื่องหมายที่ดูคล้ายอักขระแต่ก็ไม่ใช่อักขระ พวกมันปรากฏอยู่เต็มไปทั่วผนังหิน

หลิ่วหมิงขมวดคิ้ว หลังจากที่เขาใช้นิ้วมือลูบรอยและเครื่องหมายเหล่านี้แล้ว ก็ละสายตาไปยังผนังหินอีกสามด้านที่เหลือ

ตอนนี้เขาถึงมองเห็นได้อย่างชัดเจน ผนังหินด้านอื่นก็มีร่องรอยแปลกประหลาดเหมือนกันไม่มีผิด

แน่นอนว่าผู้ที่มาทำความเข้าใจกำแพงเก็บเงาได้ทิ้งร่องรอยเหล่านี้ไว้ คนเหล่านี้ค้นพบอะไรบางอย่างจากกำแพงเก็บเงาในฉับพลันและกลัวจะลืมมันไป จึงได้สลักร่องรอยเครื่องหมายเหล่านี้ไว้ แน่นอนว่าคนส่วนมากก็ไม่ได้อะไรกลับไป แต่ก็ช่วยชี้ทางสว่างให้กับผู้มาทีหลังได้ไม่น้อย

นี่เป็นสิ่งสำคัญที่อาจารย์จงเคยพูดกำชับกับหลิ่วหมิงในตอนที่บอกเรื่องราวเกี่ยวกับกำแพงเก็บเงา

หลิ่วหมิงใช้เวลาครึ่งชั่วยามในการจดจำร่องรอยบนผนังทั้งหมดด้วยความรีบร้อน หลังจากที่หลับตาจดจำมันได้อย่างแม่นยำแล้วถึงได้เดินไปยังมุมห้อง เขาหยิบเบาะรองนั่งขึ้นมา จากนั้นโยนไปบนพื้นที่อยู่ห่างจากกำแพงเก็บเงาหลายจั้งแล้วถึงค่อยๆ นั่งขัดสมาธิลงไปอย่างไม่รีบร้อน

ขณะนี้เขาเอามือทั้งสองวางบนเข่าเหมือนตอนฝึกฝนปกติ จากนั้นค่อยๆ ส่งพลังเวทย์ไปยังดวงตาทั้งสอง แล้วถึงเบิกตาเพ่งมองกำแพงผลึกอยู่ไม่หยุด…

ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป แววตาของหลิ่วหมิงยังคงเปล่งประกายออกมาอยู่ไม่หยุด แต่แก้มทั้งสองข้างกลับแดงขึ้นมา เหงื่อเริ่มผุดออกมาตรงหน้าผาก และมีไอร้อนแผ่ออกมาจากแผ่นหลัง

ทันทีที่หลิ่วหมิงตะโกนเสียงต่ำออกมา แสงที่เปล่งประกายในดวงตาทั้งสองก็หายไป เขาหลับตาทั้งสองข้างอย่างรวดเร็ว ตอนนี้สีหน้าเขาถึงได้ดูผ่อนคลายขึ้นพร้อมถอนหายใจยาวออกมา และกล่าวพึมพำกับตัวเอง

“กำแพงเก็บเงาช่างร้ายกาจนัก ไม่คาดคิดว่ามันจะมีสร้างภาพลวงตาได้ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าข้ามีพลังจิตแข็งแกร่งมากพอ คงจะหลงเข้าไปจนไม่อาจถอนตัวได้ แต่เงาร่างพร่ามัวเหล่านั้นหมายถึงอะไรกันแน่?”

……………………………………….