ตอนที่ 161 แสงลูกกลม

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตอนที่ 161 แสงลูกกลม โดย Ink Stone_Fantasy

แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะจ้องมองกำแพงผลึกโดยตรงได้ไม่นาน แต่ก็ยังมองเห็นเงาร่างพร่ามัวที่นักพรตแซ่จงเคยพูดถึง

เงาร่างเหล่านี้ปรากฎตัวขึ้นหลังจากที่เขาหลงลึกอยู่ในภาพลวงตาที่กำแพงผลึกสร้างขึ้นมา สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงไม่แน่ใจว่าภาพที่เห็นเหล่านี้ปรากฏออกมาจากกำแพงผลึก หรือเป็นเพียงแค่ภาพมายาที่สมองเขาสร้างขึ้นมาเท่านั้น

ตามที่นักพรตแซ่จงได้กล่าวไว้ เงาร่างพร่ามัวเหล่านี้จะดูเหมือนจริงก็ไม่ใช่ จะดูไม่เหมือนจริงก็ไม่เชิง มีคนเคยเข้าใจอะไรบางอย่างจากเงาร่างเหล่านี้ แต่ส่วนมากจะหลงอยู่ในภาพลวงตาจนทำให้เสียเวลาทำความเข้าใจไปหนึ่งคืน ส่วนจะปฏิบัติอย่างไรนั้นย่อมต้องดูที่การเลือกของแต่ละคน

แต่กำแพงเก็บเงานี้ลี้ลับมหัศจรรย์เป็นอย่างมาก แม้แต่พลังจิตระดับเขาก็คงไม่อาจจ้องมองได้นาน ถ้าไม่อย่างนั้นก็จะตกอยู่ภาพลวงตา หรือไม่ก็ไม่อาจต้านทานความง่วงที่ค่อยๆ ครอบงำจนหลับใหลไปโดยไม่รู้ตัว

เมื่อครู่เขาต้องใช้จิตที่เด็ดเดี่ยวเป็นอย่างมากถึงได้หลุดพ้นออกมาได้

หลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญอยู่เงียบๆ ไปพักหนึ่ง จนเมื่อรู้สึกว่าพลังจิตฟื้นฟูมาพอประมาณแล้ว ถึงได้ทำท่ามือด้วยมือเดียวเพื่อส่งพลังเวทย์ไปที่ดวงตาทั้งสอง และเพ่งมองไปที่กำแพงผลึกต่อ

เขาทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนเวลาค่อยๆ ผ่านไปทีละน้อย

ผ่านไปครึ่งค่อนคืน หลิ่วหมิงเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองดูกำแพงไปแล้วกี่รอบ แต่นอกจากจะเห็นเงาร่างพร่ามัวในตอนแรกแล้ว เขาก็ยังไม่เจอสิ่งใดอีกเลย ส่วนเงาร่างพร่ามัวเหล่านั้น เขาเองก็เคยสังเกตอย่างละเอียด แต่มันก็พร่ามัวจนไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ยิ่งทำให้มองไม่ออกมาว่ามันมีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับร่องรอยบนผนังทั้งสี่ด้าน

และการจ้องมองกำแพงเก็บเงาหลายครั้งเช่นนี้ ทำให้สิ้นเปลืองพลังจิตไปไม่น้อย ถึงแม้จะไม่มีทางเลี่ยง แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกกลัดกลุ้มอะไร

เพราะมีอาจารย์จิตวิญญาณนิกายปีศาจจำนวนไม่น้อยที่มาทำความเข้าใจกำแพงเก็บเงาแห่งนี้ แต่มีน้อยมากที่จะทำความเข้าใจเคล็ดวิชาทั้งชุดได้ ตนเองเป็นแค่ศิษย์จิตวิญญาณ ถ้าจะออกไปมือเปล่าก็นับว่าเป็นเรื่องปกติ

หลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญอยู่เช่นนี้ และก็ไม่ฝืนตนเองอีก เขาลุกขึ้นมาแล้วเดินวนรอบกำแพงผลึกอยู่หลายรอบ

ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าเด็กน้อยผู้นั้นได้กำชับไว้ว่าห้ามสัมผัสของสิ่งนี้เป็นอันขาด และเขาเองก็กังวลว่าบนนั้นจะมีชั้นจำกัดอะไรหรือเปล่าล่ะก็ เขาคงจะใช้นิ้วแหย่ดูว่ามันจะมีปฏิกิริยาอะไรบ้าง

แต่สุดท้ายเขาก็ส่ายศีรษะแล้วกลับไปนั่งบนเบาะ จากนั้นก็หลับตาทั้งสองลงแล้วเริ่มกระตุ้นเคล็ดวิชากระดูกดำขึ้นมา

ในเมื่อกำแพงเก็บเงานี้ไม่มีวาสนาต่อเขา เขาเองก็ไม่คิดที่จะดึงดันอะไร ควรจะอาศัยโอกาสนี้ฝึกฝนเพิ่มอีกหน่อยจะดีกว่า

ไอสีดำพวยพุ่งออกจากร่างเขาในทันที และมันยังกลายเป็นหนวดสัมผัสโบกสะบัดอยู่รอบตัวเขา

เมื่อเขากระตุ้นเคล็ดวิชากระดูกดำเร็วขึ้น ไอสีดำบนร่างก็ยิ่งพวยพุ่งออกมามากขึ้น หนวดสัมผัสสีดำก็เริ่มขยายใหญ่ขึ้น

หลิ่วหมิงที่กำลังหลับตาฝึกฝนอยู่กลับไม่รู้ว่าชั่วพริบตาที่ไอดำพวยพุ่งออกมาจากร่างของเขานั้น กำแพงผลึกสีฟ้าที่ดูสงบก็เริ่มสั่นไหวขึ้นมา

ตอนแรกมันก็สั่นไหวช้าๆ แต่พอไอดำบนร่างหลิ่วหมิงยิ่งออกมามากขึ้น มันก็เริ่มสั่นไหวรวดเร็วและถี่ขึ้น

สุดท้ายเมื่อหนวดสัมผัสเส้นที่ใหญ่ที่สุดโบกสะบัดหนึ่งที ปลายของมันก็อยู่ห่างจากกำแพงผลึกแค่จั้งกว่าๆ ทันใดนั้นก็มีแสงสีฟ้าเปล่งประกายออกมาจากกำแพงผลึก และแสงสีฟ้าก็พุ่งออกมาปะทะกับหนวดสัมผัสสีดำ

เพียงแค่มีแสงเปล่งประกายออกมา ตรงปลายของหนวดสัมผัสก็สั่นไหวก่อนที่จะหายไป ตามด้วยแสงสีฟ้าที่สั่นไหวไม่กี่ทีก็กลายเป็นตาข่ายสีฟ้าห่อหุ้มหลิ่วหมิงไว้อย่างรวดเร็ว

ชั่วพริบตาที่หนวดสัมผัสสีดำหายไปนั้น หลิ่วหมิงลืมตาขึ้นมาด้วยความตกใจ

ผลลัพธ์คือเขาแค่รู้สึกว่าแสงสีฟ้าตรงหน้าเปล่งแสงแวววับ ไอสีดำกับหนวดสัมผัสก็ค่อยๆ สลายไปราวกับน้ำแข็งละลาย ท่ามกลางแสงสีฟ้าที่เปล่งประกาย

เมื่อแสงสีฟ้ากลืนกินไอดำไปหนึ่งส่วน ตัวมันก็จะเปล่งประกายเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งส่วน ราวกับว่าไอดำเป็นอาหารเสริมชั้นดี

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ตกใจจนหน้าถอดสี เขาคิดที่จะเปลี่ยนท่ามือเพื่อทำท่าป้องกันก็ไม่ทันเสียแล้ว

เมื่อไอดำชั้นสุดท้ายบนตัวเขาหายไป แสงสีฟ้าทั้งหมดก็จมหายเข้าไปในร่างของเขา และพุ่งเข้าไปที่ทะเลจิตวิญญาณของเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นมันก็กลายเป็นแสงลูกกลมสีฟ้าขนาดเท่าเม็ดถั่ว และหมุนวนอย่างรวดเร็ว

ตอนนี้หลิ่วหมิงรู้สึกชาไปทั้งร่างจนไม่สามารถควบคุมพลังเวทย์และมือเท้าทั้งสี่ได้เลยแม้แต่น้อย แม้กระทั่งนิ้วมือก็ไม่อาจกระดิกได้ แต่ในขณะเดียวกันไอเย็นก็แผ่ขึ้นในจิตรับรู้ของเขา ทันใดนั้นคัมภีร์โบราณปกหนังสีดำเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาอย่างเลือนลาง จากนั้นมันก็ค่อยๆ เปิดทีละหน้า แต่รอยอักขระบนนั้นค่อนข้างจะพร่ามัว

“ข้าไปสัมผัสโดนสิ่งของบนกำแพงเก็บเงาเข้าแล้ว ทั้งยังดูเหมือนว่าจะเป็นวิชาฝึกพลังแบบครบถ้วน!” ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น เขาทั้งรู้สึกตกตะลึงและดีใจเป็นอย่างมาก เขาหยุดคิดเกี่ยวกับเรื่องอื่นๆ เพื่ออ่านดูคัมภีร์โบราณอย่างละเอียด แต่ไม่ว่าจะใช้พลังมากมายแค่ไหนอักขระบนคัมภีร์ก็ยังพร่ามัวจนไม่สามารถมองเห็นอะไรได้อย่างชัดเจน

“ไม่ดี! สถานการณ์เช่นนี้ดูเหมือนว่าพลังเวทย์ของข้าไม่เพียงพอ! มิน่าล่ะ! ปรมาจารย์ลิ่วยินท่านนั้นถึงได้ทิ้งคำพูดไว้ว่าจะต้องก้าวสู่ระดับของเหลวเท่านั้นถึงจะมีโอกาสสังเกตกำแพงเก็บเงาหนึ่งคืน” ภายใต้ความร้อนรนใจ เขาถึงตระหนักได้ว่าเป็นเพราะอะไร

อย่างไรก็ตามภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ได้แต่มองคัมภีร์ที่ปรากฏอยู่ใต้จิตรับรู้ของเขาพลิกไปถึงหน้าสุดท้าย แล้วมันก็แตกสลายกลายเป็นจุดแสงสีฟ้า และหายไป

และในขณะเดียวกัน แสงลูกกลมที่อยู่ในทะเลจิตวิญญาณก็หยุดการเคลื่อนไหว จากนั้นมันก็พุ่งออกไปจากร่างเขาอย่างลางเลือน และพุ่งกลับไปยังกำแพงผลึก

ในใจหลิ่วหมิงรู้สึกขมขื่น ขณะที่กำลังคิดว่าตนเองพลาดโอกาสอันดีไปนั้น ทะเลจิตวิญญาณก็พลันพวยพุ่งขึ้นมา ฟองอากาศลึกลับปรากฏออกมาโดยไม่มีสัญญาณเตือนมาก่อน และมันค่อยๆ เปล่งประกายแสงแวววาวออกมา

ครู่ต่อมา หลิ่วหมิงรู้สึกว่าทุกสิ่งที่อยู่บริเวณรอบๆ เงียบสงัดลงในฉับพลัน ขณะเดียวกันสิ่งของรอบตัวทั้งหมดก็ดูเคลื่อนไหวช้าลง แสงลูกกลมสีฟ้าที่พุ่งกลับไปยังกำแพงผลึกก็ดูคล้ายกับหอยทากที่ค่อยๆ คืบคลาน ขณะเดียวกันเขาก็มองออกว่าแสงลูกกลมสีฟ้าประกอบขึ้นมาจากอักขระจำนวนมากที่ไม่รู้ว่าหดตัวลงไปกี่เท่า

และเขาสามารถมองเห็นอักขระแต่ละตัวได้อย่างชัดเจน

สถานการณ์อันแปลกประหลาดเช่นนี้ ย่อมทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก เขาอยากกะพริบตา หรืออ้าปากพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับค้นพบว่าการกระทำของตนเองถูกชะลอให้ช้าลงไปหลายเท่า

การกะพริบตาหนึ่งครั้ง ต้องใช้เวลาสักระยะถึงสามารถขยับเปลือกตาได้หนึ่งถึงสองในสิบส่วนเท่านั้น

สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกเสียวสะท้านขึ้นมา หลังจากที่คิดวกไปมาอย่างงรวดเร็วก็พอเข้าใจขึ้นมาบ้าง

สถานการณ์เช่นนี้ไม่ใช่เพราะว่าสิ่งของรอบด้านเคลื่อนไหวช้าลง แต่เป็นเพราะว่าสัมผัสทั้งห้าของเขาเร็วขึ้นกว่าปกติหลายเท่าตัว ถึงได้ทำให้เกิดปรากฏการณ์นี้ขึ้น

และขณะนี้พลังจิตของเขาก็กวาดดูไปทั่วทั้งร่างอย่างรวดเร็ว และก็ค้นพบว่าในทะเลจิตวิญญาณมีฟองอากาศลึกลับเปล่งประกายอยู่ สิ่งนี้ทำให้เขาเข้าใจได้ในทันที

เรื่องราวอันเหลือเชื่อนี้จะต้องเป็นการกระทำของฟองอากาศลึกลับนั่นอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงมาปรากฏตัวในตอนนี้ได้

ขณะที่หลิ่วหมิงมีคำถามอยู่เต็มไปหมดนั้น ฟองอากาศที่อยู่ในทะเลจิตวิญญาณก็ค่อยๆ สั่นไหว ทันใดนั้นมันก็ปล่อยไหมสีเงินพุ่งออกมาเป็นจำนวนมาก มันเคลื่อนไหวแค่ทีเดียวก็รัดพันแสงลูกกลมสีฟ้าไว้ และออกแรงลากเข้ามา

ถึงแม้แสงลูกกลมสีฟ้าจะดิ้นรนเอาชีวิตรอดราวกับมันมีชีวิต แต่ก็เห็นได้ชัดว่าไม่สามารถต้านทานพลังของไหมสีเงินได้ มันจึงค่อยๆ ถูกดึงมาทางหลิ่วหมิง

ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังตกตะลึงจนปากอ้าตาค้างนั้น กำแพงเก็บเงาก็ส่งเสียงดังหวึ่งๆ ขึ้นมา!

จากนั้นแสงสีฟ้าในกำแพงผลึกก็เปล่งประกายแสงจ้าเป็นอย่างมาก ไม่คาดคิดว่าจะมีแสงลูกกลมสีฟ้าออกมาอีกสิบกว่าลูก ทั้งยังเปล่งประกายแสง และพ่นไหมสีฟ้าไปพันแสงลูกกลมที่โดนดึงไปนั้น จากนั้นก็ออกแรงดึงมันกลับมาที่กำแพงผลึก

ไหมสีเงินยังคงรัดพันไว้แน่นไม่ยอมปล่อย แสงลูกกลมสีฟ้าที่ถูกแย่งชิงก็สั่นไหวท่ามกลางการต่อสู้ที่ดุเดือด จากนั้นมันก็หยุดนิ่งอยู่กลางอากาศไปชั่วขณะ

แต่หลิ่วหมิงรู้สึกว่าทะเลจิตวิญญาณของตนเองร้อนขึ้นมาเป็นอย่างมาก จากนั้นฟองอากาศลึกลับก็เปล่งประกายแสงขึ้นอีกเล็กน้อยแล้วมันก็พ่นไหมสีเงินออกไปมากกว่าเดิม

ไหมเงินเหล่านี้พุ่งยิงไปยังกำแพงผลึกอย่างพร่ามัว มันรัดพันแสงลูกกลมสีฟ้าอีกสิบกว่าลูกไว้

จากนั้นฟองอากาศลึกลับก็หมุนตัวติ้วๆ แล้วดึงแสงลูกกลมสีฟ้าทั้งหมดจากกำแพงผลึกมาหาหลิ่วหมิง

ประจักษ์ชัดว่าแสงลูกกลมทั้งหมดรวมพลังกันก็ยังไม่สามารถต่อต้านพลังของฟองอากาศลึกลับได้ พวกมันถูกดึงมาตรงหน้าหลิ่วหมิง จากนั้นก็พร่ามัวอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะค่อยๆ จมหายเข้าไปในทะเลจิตวิญญาณของเขา ราวกับว่ามันได้หลอมรวมเข้ากับร่างของเขาแล้ว

ต่อมาหลิ่วหมิงก็รู้สึกถึงศีรษะที่หนักอึ้ง ตาทั้งสองมืดลง แล้วตัวเขาก็มาปรากฏอยู่ในห้องผลึกที่แสงสีฟ้าสว่างไสว

ไม่ว่าจะเป็นผนังรอบด้าน หรือว่าพื้นด้านล่างกับเพดานด้านบน ล้วนเป็นวัสดุเดียวกันกับกำแพงเก็บเงาไม่มีผิด

และมุมห้องทั้งสี่มุมต่างก็มีโต๊ะหินอยู่หนึ่งตัว แต่ละตัวมีแสงสีฟ้าปกคลุมอยู่หนึ่งชั้น ในนั้นมีคัมภีร์โบราณที่มีรูปร่างแตกต่างกันไป

หนึ่งในนั้นมีคัมภีร์ปกสีดำอยู่เล่มหนึ่ง มันคือคัมภีร์เล่มที่ปรากฏอยู่ในจิตรับรู้ของเขาเล่มนั้น

แต่สำหรับหลิ่วหมิงแล้ว สิ่งของทั้งหมดนี้ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญสำหรับเขาอีกต่อไป

เพราะว่าใจกลางห้องที่อยู่ห่างจากเขาไปไม่ถึงจั้งกว่าๆ มีนักพรตสวมชุดสีดำที่ดูเหมือนจะอายุไม่เกินสามสิบกว่าปียืนอยู่ที่นั่น

แต่นักพรตผู้นี้มีใบหน้าขาวซีดไร้ซึ่งหนวดเครา สะพายกระบี่ไร้ฝักอยู่ตรงหลัง และกำลังจ้องมองเขาด้วยสายตาที่แปลกประหลาด

“ท่านคือ…” หลิ่วหมิงถอยหลังออกไปสองก้าวแล้วถามด้วยความตื่นตะลึง แต่ขณะเดียวกันกลับรู้สึกว่าค่อนข้างคุ้นเคยกับนักพรตชุดดำผู้นี้ ราวกับว่าเคยพบเห็นที่ไหนมาก่อน

“เจ้าเป็นศิษย์นิกายปีศาจ? ทำไมถึงมีระดับฝึกฝนอยู่แค่ศิษย์จิตวิญญาณ!” นักพรตชุดดำถามกลับไป

“ไม่ผิด! ผู้น้อยเป็นศิษย์นิกายปีศาจจริงๆ ผู้อาวุโสคือ…ท่านคือปรมาจารย์ลิ่วยิน!” หลิ่วหมิงค่อยๆ กล่าวออกมา แต่หลังจากคิดวกไปมาอย่างรวดเร็ว ก็พลันนึกถึงรูปภาพที่แขวนอยู่ตรงหอบูรพาจารย์

……………………………………….