ตอนที่ 577 ควันหลงหลังสงคราม โดย ProjectZyphon
เสียงดังกึกก้อง เสามังกรจตุลักษณ์เปล่งแสงเจิดจรัสออกมา พันธนาการธิดาเทพหลินหลางเอาไว้ในพริบตา
สมบัติชุดนี้ก็เป็นสมบัติโบราณเช่นกัน แม้การใช้งานจะดูเรียบง่าย ทว่ากลับเร้นลับอย่างยิ่ง สามารถแปลงเป็นเขตแดนมายา กักขังคู่ต่อสู้เอาไว้ในนั้นได้
แม้ว่าราชาระดับสังสารวัฏจะมาช่วยชีวิต ภายในเวลาหนึ่งถ้วยชาก็ยากจะสั่นคลอนได้!
ปัง!
อีกด้านหนึ่ง เกาทัณฑ์วิญญาณแล่นผ่านห้วงอากาศ ภายใต้พลังจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่ของหลินสวินนั้น ชั่วพริบตาพลันเจาะทะลุแผ่นหลังของอวี่เซียวเซิง ทำให้ร่างกายครึ่งหนึ่งของเขาระเบิดเป็นเสี่ยง เลือดเนื้อสาดกระเซ็น
หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกปราณคนอื่น ลำพังแค่การโจมตีครั้งนี้ก็เพียงพอจะตายอนาถได้ ทว่าอวี่เซียวเซิงกลับต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัด ถึงขนาดอาศัยแค่ร่างกายที่แหลกลาญแข็งขืนยันตัวเอาไว้และเผ่นหนีต่อไปได้!
ขณะที่หลินสวินเพิ่มเกาทัณฑ์หนึ่งดอก อีกฝ่ายก็หนีไปอย่างไร้ร่องรอยตั้งนานแล้ว
สิ่งนี้ทำให้หลินสวินขมวดคิ้ว คราวนี้จึงตวัดสายตามองไปทางบุตรเทพเผ่าวานรนทีที่อยู่ไม่ไกล
ฝ่ายหลังหน้าซีดเผือด ในดวงตาเปี่ยมด้วยความหวาดผวา กล่าวพลางกัดฟันกรอด “บนกายข้ามียันต์กระดูกวิญญาณ เจ้าสังหารข้าไม่ตายหรอก ไม่สู้พวกเรามาทำข้อตกลงกันดีกว่าว่าอย่างไร”
เขากลัวแล้วจริงๆ เมื่อครู่บุตรเทพกลุ่มหนึ่งร่วมมือกันปิดล้อม ยังถูกหลินสวินสังหารจนล้มไม่เป็นท่า พ่ายแพ้ยับเยิน
ตอนนี้เหลือเขาเพียงคนเดียว ไหนเลยจะมีความมั่นใจไปประลองกับหลินสวินอีก
ไม่รอให้หลินสวินปริปาก เขายื่นแขนพลิกมือ บนฝ่ามือผุดกำไลเก็บของชิ้นหนึ่งพลางกล่าว “ในนี้คือโอสถวิญญาณและของมีค่าหายากส่วนหนึ่งที่ข้ารวบรวมได้หลังจากเข้าสู่แดนลับอสูรมารอริยะ ขอเพียงหนนี้เจ้าปล่อยข้าไป ของพวกนี้ล้วนยกให้เจ้าได้ทั้งสิ้น”
หลินสวินส่ายหน้า “ไม่พอ”
บุตรเทพเผ่าวานรนทีสีหน้าขึงขัง แต่ท้ายที่สุดก็อดกลั้นเอาไว้กล่าวว่า “เจ้าต้องการอะไรกันแน่ถึงจะปล่อยข้าไป”
“ได้ยินว่าเผ่าวานรนทีของพวกเจ้าครอบครองมรดกโบราณที่เรียกว่า ‘กายทองหลอมไฟ’ หากสามารถส่งมอบออกมา บางทีอาจจะแลกกับชีวิตน้อยๆ นี้ได้”
เวลานี้เจ้าคางคกไม่รู้ว่าถลาเข้ามาตั้งแต่เมื่อไร นัยน์ตาสีทองคู่นั้นจับจ้องบุตรเทพเผ่าวานรนทีตาเป็นมัน มองเสียจนฝ่ายหลังเริ่มผวาในใจ
“ไม่ได้! นี่เป็นมรดกสูงสุดในเผ่าข้า ยอมตายเสียดีกว่าจะยกให้ผู้อื่น!”
บุตรเทพเผ่าวานรนทีปฏิเสธโดยไม่ลังเลสักนิด
“เช่นนั้นก็มอบไม้กระดูกขาวในมือเจ้าด้ามนั้นออกมา อันนี้น่าจะพอได้อยู่กระมัง”
ดวงตาเจ้าคางคกชั่วร้ายเต็มกำลัง หน้าตาแลดูน้ำลายหก
บุตรเทพเผ่าวานรนทีโกรธจนหน้าเขียว บุคคลระดับบุตรเทพผู้สง่างามอย่างเขา มีหรือจะเคยกล้ำกลืนฝืนทนเยี่ยงนี้มาก่อน
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการถูกคนขู่กระโชกและปล้นทรัพย์เลย!
“นี่คือ ‘กระบองมรรคกระดูกศักดิ์สิทธิ์’ อาวุธบรรพบุรุษของเผ่าข้า และก็ไม่สามารถยกให้คนนอกได้เช่นเดียวกัน พูดอย่างไม่เกรงใจก็คือต่อให้ข้ายกมันให้พวกเจ้า พวกเจ้าก็ไม่สามารถใช้งานได้อยู่ดี”
บุตรเทพเผ่าวานรนทีปฏิเสธอย่างเด็ดขาดอีกครั้ง
ทันใดนั้นเจ้าคางคกเริ่มจะหงุดหงิด “เจ้าลิงเฮงซวยนี่ไฉนจึงหัวรั้นเพียงนี้ เชื่อหรือไม่ว่าพวกเราจะฆ่าเจ้าก่อน จากนั้นค่อยกวาดสมบัติทั้งหมดในตัวของเจ้าจนเกลี้ยง”
บุตรเทพเผ่าวานรนทีหัวเราะเย็นชา เขาไม่กลัวเจ้าคางคก คนเดียวที่หวาดกลัวคือหลินสวิน
“เอาอย่างนี้” เจ้าคางคกลูบปลายคาง ดวงตากลิ้งกลอกหมุนเคลื่อนไปมา กล่าวอย่างไม่แยแส “นอกจากมรดกและอาวุธบรรพบุรุษในมือเจ้า จงทิ้งสมบัติอื่นๆ ในตัวเจ้าเอาไว้ให้หมด ครั้งนี้ก็จะปล่อยเจ้าไป”
เดิมทีหลินสวินเตรียมจะสังหารแล้ว ทว่าพอได้ยินเจ้าคางคกกล่าวเช่นนี้ กลับตัดสินใจชมดูอยู่ข้างสนามไปพลางๆ ก่อน
คางคกตัวนี้เป็นถึงคางคกทองคำสามขา สามารถจำแนกของมีค่าทั้งปวง เขาจะต้องต้องตาสมบัติบางอย่างบนตัวของบุตรเทพเผ่าวานรนทีผู้นี้เป็นแน่!
“ได้!”
ครั้งนี้บุตรเทพเผ่าวานรนทีลังเลอยู่พักหนึ่ง ท้ายที่สุดก็ยังตกปากรับคำ ส่งมอบสมบัติบนตัวออกมา
“จะปล่อยเขาไปจริงๆ หรือ”
หลินสวินมุ่นคิ้ว บุตรเทพเผ่าวานรนทีจากไปแล้ว แต่หากไล่ตามสุดกำลังก็ยังสามารถตามทันอยู่
“เฮ้อ ปล่อยเขาไปเถิด”
ท่าทีเจ้าคางคกออกจะซับซ้อน ผ่านไปสักพักถึงได้เอ่ยวาจา “บรรพบุรุษของเผ่าวานรนที อันที่จริงเป็นลูกหลานสายวานรหกหูในสมัยบรรพกาล ถึงจะบอกว่าทั้งเผ่าวานรนทีในปัจจุบันแทบจะไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับสายเลือดวานรหกหูตั้งนานแล้ว แต่ทางที่ดีเจ้าอย่าได้ยั่วโมโหพวกเขาเป็นดีที่สุด”
หลินสวินนิ่งงัน “เพราะเหตุใด”
เจ้าคางคกเคาะกบาลตนเอง กล่าวหน้านิ่วคิ้วขมวด “นึกไม่ออกแล้ว เอาเป็นว่าสัญชาตญาณบอกข้า เผ่านี้น่าจะเกี่ยวโยงกับเคราะห์กรรมพลิกฟ้าอย่างหนึ่ง อย่าได้ไปข้องเกี่ยวกับพวกเขาเป็นดีที่สุด มิเช่นนั้นไม่ว่าจะเป็นศัตรูหรือสหายของพวกเขา จะต้องชักนำภัยมาถึงตัวอย่างแน่นอน”
เคราะห์กรรมพลิกฟ้า?
หลินสวินใคร่ครวญในใจ
จากนั้นเจ้าคางคกเริ่มนับทรัพย์หลังศึกที่รีดไถมาจากตัวของบุตรเทพเผ่าวานรนทีด้วยใบหน้าเบิกบานใจ ราวกับคนโลภในทรัพย์
ส่วนเงาร่างของหลินสวินกลับไหววูบ เข้าสู่เขตแดนมายาที่แปลงจากเสามังกรจตุลักษณ์
กลางเขตแดนมายา ธิดาเทพหลินหลางกำลังตะลีตะลานกระตุ้นระฆังสำริดสีเลือด โหมซัดโจมตี พยายามทะลวงเขตแดนมายาลง น่าเสียดายที่ต้องเสียแรงเปล่า
ครั้นหลินสวินปรากฏตัวก็ไม่ลังเลใดๆ ลงมือเต็มกำลังเริ่มต้นกำราบอีกฝ่าย
เขาไม่เพียงแต่ไม่มีความรู้สึกดีต่อผู้หญิงคนนี้ ยังเกลียดชังถึงขีดสุด!
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บนเกาะอริยะปัญจธาตุ ทั้งสองก็ผูกพยาบาทกันเนื่องด้วยคัมภีร์อริยมรรคเล่มหนึ่ง และในช่วงหลบหนีหลายวันมานี้ เขายังเกือบตายด้วยน้ำมือผู้หญิงคนนี้หลายต่อหลายครั้งอีกด้วย
ตอนนี้แม้แต่อาการบาดเจ็บสาหัสที่จ้าวจิ่งเซวียนและเจ้าคางคกประสบมา ผู้หญิงคนนี้ก็มีส่วน แล้วอย่างนี้หลินสวินจะไม่ชิงชังได้หรือ
กลางเขตแดนมายา เสียงร้องแหลมมาดร้ายหาใดเปรียบของธิดาเทพหลินหลางดังขึ้น เวลานี้นางทั้งตกใจทั้งโกรธแล้วจริงๆ ซ้ำยังมีความหวาดผวาที่ไม่อาจอธิบายได้อย่างหนึ่งด้วย
ถึงขั้นส่งเสียงหลายครั้ง ต้องการเจรจากับหลินสวิน
ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบหลินสวินไม่เคยพูดเลย โจมตีอย่างดุเดือด ไม่ปรานีแม้เพียงเศษเสี้ยว
ท้ายที่สุดธิดาเทพหลินหลางถูกสังหารตายคาที่ และถูกตัดหัวทิ้ง
ทว่าสิ่งที่ทำให้หลินสวินจนปัญญาคือยันต์กระดูกวิญญาณในมือของอีกฝ่ายถูกเปิดใช้งาน รวบจิตวิญญาณกลุ่มหนึ่งของนางเคลื่อนออกไป แม้แต่เสามังกรจตุลักษณ์ก็ขวางไม่อยู่
สิ่งที่ทำให้หลินสวินประหลาดใจยิ่งกว่าก็คือระฆังสำริดสีเลือดใบนั้น ถึงขนาดไม่อาจถูกสยบและริบเอามาได้ อันตรธานหายไปกลางอากาศประหนึ่งมีจิตวิญญาณ
นี่ก็คือพลังของอาวุธบรรพบุรุษ ลึกลับไม่อาจหยั่งถึง ทำให้หลินสวินยังจนด้วยเกล้า
แต่เคราะห์ดีที่กายเนื้อของธิดาเทพหลินหลางถูกทำลาย สมบัติอื่นๆ ที่พกติดตัวย่อมไม่อาจถูกเคลื่อนย้ายออกไปได้
หลินสวินค้นเจอแหวนเก็บของวงหนึ่งอย่างรวดเร็ว ภายในแสงสมบัติส่องประกาย มีโอสถวิญญาณและวัตถุดิบวิญญาณหลากชนิดดั่งเนินเขาลูกเล็ก ต่างเรียกได้ว่าเป็นของล้ำค่าไม่อาจประเมินราคาได้ ทำให้ผู้คนละลานตา
แม้แต่หลินสวินยังอดทอดถอนใจไม่ได้ ดังคาด ทรัพยากรบนร่างบุคคลระดับบุตรเทพพวกนี้มีมากมายสมบูรณ์อย่างที่สุด
สุดท้ายสายตาของหลินสวินไปตกที่คัมภีร์อริยมรรคที่ขาดแหว่งเล่มหนึ่ง มันส่องแสงทองเป็นประกาย โปร่งใสเกลี้ยงเกลา คละคลุ้งด้วยกลิ่นอายของอริยะลี้ลับ
มันเป็นอีกส่วนหนึ่งของคัมภีร์อริยมรรคนั่นเอง!
นี่เป็นการเก็บเกี่ยวยิ่งใหญ่ที่สุดในครั้งนี้อย่างไม่ต้องสงสัย รอภายหน้ามีโอกาสฉกฉวยคัมภีร์อริยมรรคอีกเสี้ยวในมือ ‘คุณชายน้อย’ บนเกาะอริยะปัญจธาตุมา ก็สามารถหยั่งรู้ปริศนาแท้จริงที่ซ่อนอยู่ในคัมภีร์อริยมรรคเล่มนี้ได้แล้ว!
ยามเก็บเสามังกรจตุลักษณ์และเดินออกมาจากเขตแดนมายานั้น หลินสวินก็มองเห็นเจ้าคางคกนั่งยองๆ อยู่บนพื้น กำลังแย้มยิ้มหน้าระรื่น ยิ้มจนปากจะฉีกไปถึงใบหูอยู่แล้ว
เห็นได้ชัดว่าสมบัติที่บุตรเทพเผ่าวานรนทีทิ้งเอาไว้เหล่านั้น ทำให้เจ้าคางคกกอบโกยได้เป็นกอบเป็นกำเหมือนกัน
“เจ้าบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ ยังมีแก่ใจคิดถึงสมบัติอยู่อีกหรือ”
หลินสวินอดถามไม่ได้
กลับเห็นว่าเจ้าคางคกกล่าวอย่างชอบธรรมน่าเกรงขาม “มหายุทธ์อย่างเราๆ หัวขาดได้ เลือดไหลได้ แต่สมบัติห้ามหล่นหาย!”
กล่าวพลางเขาก็ร้องโอ๊ยหนึ่งที ตะโกนแหกปากลั่นขึ้นมา ที่แท้เป็นอาการเจ็บบนร่างกำเริบ ทำให้เขาเริ่มจะฝืนทนไม่ไหวนั่นเอง
หลินสวินแทบจะกลอกตา เมื่อครู่ตอนที่รีดนาทาเร้นสมบัติก็ไม่เห็นเจ้าหมอนี่มีท่าทีเหมือนจะยืนหยัดไม่อยู่ ตอนนี้กลับมีเสมือนเจ็บหนักร้องโอดโอย เห็นได้ชัดว่าเจ้าหมอนี่โลภทรัพย์มากแค่ไหน เพื่อสมบัติแล้ว ถึงขั้นลืมกระทั่งอาการบาดเจ็บไปสิ้น…
จิตวิญญาณโลภทรัพย์ที่ดื้อรั้นจนลืมตัวเช่นนี้ ทำให้หลินสวินไม่ยอมแพ้ไม่ได้แล้ว
สุดท้ายหลินสวินก็ให้เจ้าคางคกไปพักฟื้นในเจดีย์สมบัติไร้อักษรด้วย ส่วนเขากลับเงาร่างไหววูบ ตัดสินใจออกจากอาณาเขตนี้
ประสบการณ์ครั้งนี้ช่างน่าเขย่าขวัญจริงๆ หากไม่ใช่ได้รับ ‘เคล็ดวิชาตัดวิถี’ ในตอนท้าย ทำให้หลินสวินฟื้นตัวกลับมาอีกครั้ง ป่านนี้ผลที่ตามมาคงไม่อาจจินตนาการได้
ถึงแม้ท้ายที่สุดจะมีชัยเหนือพวกอวี่เซียวเซิง หลินหลาง ทว่ากลับทำให้จ้าวจิ่งเซวียนและเจ้าคางคกต่างได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่อาจไม่จดจ่อสมาธิต่อการรักษาอาการบาดเจ็บ ในช่วงสั้นๆ นี้กลัวแต่ว่าจะฟื้นตัวได้ยาก
นึกถึงทุกอย่างที่ประสบมาในช่วงหลายวันมานี้ ในใจหลินสวินก็มีความเคียดแค้นยากจะบรรยายได้
เขาเพิ่งจะก้าวข้ามด่านเคราะห์อสนีก็ถูกผู้แข็งแกร่งจากหลายเผ่าไล่ล่าสังหาร เกือบจะสิ้นชีพอยู่หลายครั้ง ในเมื่อตอนนี้ฟื้นคืนกลับมาได้ ก็ถึงเวลาคิดบัญชีนี้แล้ว!
……
ยามนี้พื้นที่ละแวกใกล้เคียงอึกทึกครึกโครมหาใดเปรียบ เหล่าผู้แข็งแกร่งรวมตัวกัน ยอดฝีมือจากเผ่าใหญ่ๆ แต่ละเผ่ารีบเร่งทยอยกันมา หมายจะโจมตีสังหารหลินสวิน ไขว่คว้าศุภโชค
ครึ่งเดือนมานี้ไม่ว่าจะเป็นในแดนลับอสูรมารอริยะหรือนอกแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ ต่างก็ปั่นป่วนเป็นแถบ สายตาทั้งหมดล้วนพุ่งความสนใจมาที่การไล่ฆ่าหลินสวินในครั้งนี้ทั้งสิ้น
“เด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนนี้ช่างเป็นสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งจริงๆ ครึ่งเดือนมานี้ทั้งที่เขาถูกไล่ฆ่าจนแทบต้านไม่อยู่ แต่เขาก็ยังหนีได้ ไม่เคยถูกฆ่าตายสักที”
“เขาย่อมยืนหยัดไม่อยู่แล้วเป็นแน่ หากไม่มีอะไรคลาดเคลื่อน ภายในไม่กี่วันนี้เขาต้องตายอย่างไร้ข้อกังขา ไม่เห็นหรือว่าบุตรเทพจำนวนมากต่างก็เร่งลงมือนำหน้า”
หลินสวินรอดตายจากการข้ามด่านเคราะห์อสนีหกรอบ ทั้งยังสังหารผู้แข็งแกร่งมากมายตายรายทาง ทำให้ผู้ฝึกปราณเผ่าต่างๆ รู้สึกหวั่นใจและสะทกสะท้าน ฉะนั้นไม่ว่าใครต่างก็ไม่คาดหวังให้เขามีชีวิตอยู่ต่อทั้งนั้น
ปีศาจระดับนี้หากผงาดขึ้นมา นั่นคงเป็นภัยพิบัติอย่างหนึ่งชัดๆ ภายหน้าคงไม่มีใครหยุดยั้งย่างก้าวที่เคลื่อนพลเข้าสู่มหามรรคแห่งมกุฎของเขาได้สักคน!
“ไป สำเร็จหรือล้มเหลวคงมาถึงในไม่ช้า ไปฆ่าเขาด้วยกัน!”
ไอสังหารของผู้แข็งแกร่งแต่ละเผ่าพวยพุ่ง ตามล่าเส้นทางการหลบหนีของหลินสวิน ไล่ตามมาตลอดทางและกำลังจะเข้าใกล้หนองน้ำผืนนั้นแล้ว
“ครั้งก่อนอีกนิดเดียวก็จะฆ่าเขาได้แล้วเชียว ครั้งนี้ต้องไม่ปล่อยให้เขาหนีไปได้อีกเด็ดขาด! กล้าสังหารคนในเผ่าวิญญาณสมุทรของข้า ก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิต!”
ชายหนุ่มสวมชุดคลุมขนนก นัยน์ตาสีครามกล่าวเสียงเย็นเยียบ เขาคือบุตรเทพเผ่าวิญญาณสมุทร
“เหอะๆ ครั้งก่อนพวกเรารวมพลังกัน แต่ท้ายที่สุดก็ยังปล่อยให้เขาหนีไปจนได้ ไม่พูดไม่ได้เลยว่าเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนนี้เป็นบุคคลชั้นยอดคนหนึ่งจริงๆ”
ชายหนุ่มในชุดศึกสีเงินที่อยู่ด้านข้างหัวเราะอย่างเย็นชา เขาก็เป็นบุคคลระดับบุตรเทพคนหนึ่งเช่นเดียวกัน มาจากเผ่าแสงเงิน
ระหว่างสนทนา พวกเขาต่างเร่งฝีเท้าไล่ล่าหลินสวินตลอดทาง
ตอนนี้ไม่ว่าใครต่างรู้ดี เด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนนั้นบาดเจ็บสาหัสปางตาย เจียนจะเป็นตะเกียงไร้น้ำมันอยู่แล้ว สัตว์ปีศาจตัวหนึ่งยังสามารถเอาชีวิตเขาไปได้ เป็นจังหวะเหมาะจะสังหารเขาที่สุด
ไกลออกไปยังมีผู้แข็งแกร่งมากมายกำลังเคลื่อนไหวอยู่ ในมุมมองของพวกเขา หลินสวินเป็นลูกแกะรอวันถูกเชือดเรียบร้อยแล้ว ไม่พอให้เป็นกังวล สิ่งที่ต้องกังวลจริงๆ ก็คือใครจะฉกฉวยวาสนาบนตัวของหลินสวินได้ก่อนกันแน่
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าใครต่างก็กำลังปฏิบัติการอย่างรวดเร็ว ไม่ได้ยืดยาดกันทั้งนั้น
เพียงแต่ไม่มีใครรู้ ในเวลานี้หลินสวินที่ทำได้เพียงนั่งนิ่งรอความตายในสายตาของพวกเขา ได้เปลี่ยนไปชนิดที่แตกต่างจากวันวานตั้งนานแล้ว…
——