ตอนที่ 413 : คล้อยเคลิ้ม

Black Tech Internet Cafe System

ขอแสดงความิยนดีกับผู้เข้าแข่งขัน หลูซือฉีที่ได้รับรางวัลแชมป์การแข่งขันคิงออฟไฟเตอร์!

 

“สุดยอด!” 

 

“เธอพลิกจากหน้าเป็นหลังด้วยกลยุทธ์และตัวละครที่ไม่ธรรมดา!”

 

“เธอสามารถพลิกสถานการณ์ในการแข่งขันได้”

 

เสียงผู้ชมต่างเชียและมองไปยังทั้งสองด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ

 

ตงชิงลี่ที่นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นถามด้วยความงงใจว่า “เกิดอะไรขึ้น?”

 

“นั่นสิ เกิดอะไรขึ้น!?” องค์หญิงผู้สวมชุดเกราะเบามัดผมหางม้าแต่งตัวเป็นชาวป่าอเมซอนจาก Diablo ที่หลายคนมองข้ามไป

 

“ใครพูดอะไร!?” สาวๆ ทุกคนหันหน้าไปมองฟางฉี, มูตงไลและเซียวหยู

 

“ข้าไม่ได้พูด” ยูจิปิดปากตัวเอง “ข้ามักจะระมัดระวังเพราะไม่รู้ว่าผลลัพท์จะออกมาเช่นไร”

 

สายตารวมอยู่ที่มูตงไหล

 

“หึ ..” ใบหน้าขององค์หญิงกระตุก

 

“ข้าได้ยินมาว่าผู้คนในหอดวงดาวของเขานั้นสามารถทำนายชะตากรรมของประเทศเราได้ด้วยข้อมูลที่อ้างอิงในนเอกสารม้วนโบราณที่จักรพรรดิองค์ก่อนทิ้งไว้” องค์ชายสองแต่งตัวเป็ยพาลาดินในชุดเกาะสีเงินกล่าว “ผู้คนจากหอสังเกตการณ์ไม่เคยออกจากหอ พวกเขาไม่เคยเดินทางไปทั่วโลกมาก่อน”

 

“เจ้าหมายถึง ..” องค์หญิงเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้เขามากขึ้น

 

“จากนั้นสัญญาณก็ปรากฏขึ้นจากหอคอยดวงดาว ยิ่งกว่านั้นผู้ที่ฉลาดหลักแหลมที่สุดก็ค่อยๆ เริ่มออกมาเพื่อท่องโลกมนุษย์”

 

“เดี๋ยวนะนั่นไม่ใช่แค่ข่าวลือหรอกหรือ?” องค์หญิงกระซิบ

 

“มีการเล่ากล่าวกันมาว่าอะไร?”

 

“ชู่! ระวังด้วย มีการบอกกันว่าประเทศดาจินกำลังจะถูกทำลาย ..” องค์ชายสองมองไปรอบๆ พบว่าตาจินที่รุ่งเรืองกลับเงียบสงบในทันตา

 

“ชายที่รู้เรื่องราวนี้คือ ..”

 

“เขาคือ ..” องค์หญิงมองไปที่มูตงไหลที่กำลังนั่งอยู่ไม่ไกลจากพวกเขา “นั่นเป็นเพียงข่าวลือเท่านั้น แต่ที่รู้ๆ คือร้านนี้ดีมาก”

 

องค์ชายสองกล่าวว่า “หลังจากที่มีคนพูดแบบเขา จู่ๆ ร้านก็ถูกคว่ำบาตรโดยคนเกือบทั้งเมือง”

องค์หญิงกล่าวว่า “ทุกคนรู้ดีว่าการมีส่วนร่วมของท่านมูที่มีต่อประเทศเรา เช่นเขาเดินทางมาจากเซิงจิ้งเพื่อดูการทดสอบระดับชาติ”

 

“.. แต่แล้วต้องถูกยกเลิก”

 

“อะแฮ่ม!”

 

 มูตงไลกระแอมและหัวเราะเบาๆ “ช่างน่าประหลาดใจ เธอเข้าใจแบบนั้นหรือ? การต่อสู้นั้นไม่สามารถคาดเดาได้ ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าข้าเองนั้นคำนวณผิดพลาด ไปแลปกใจที่อาจารย์ของข้ามักจะบอกให้ข้ากลับไปยังหอดวงดาวเพื่อเรียนรู้”

 

เหงื่อเย็นๆ เริ่มผุดขึ้นบนหน้าของฟางฉี “…”

 

ขณะนี้ถึงเวลาของพิธีมอบรางวัล

 

“ต่อไปเจ้าของร้านจะเป็ยผู้มอบรางวัลให้กับผู้ชนะทั้งสามอันดับแรกของเรา”

 

“เราขอเชิญผู้ชนะสามอันดับแรง เคียวคุซานากิ เพื่อขึ้นมาตรงนี้ด้วยค่ะ” ในร้านจิวหัวขาวน้อยสัมภาษณ์เขาทันทีที่ขึ้นมา “เคียวคุซานากิ ตอนนี้คุณคิดอย่างไรบ้าง?”

 

ฟางฉีนำกล่องสีี่เหลี่ยมมมสีแดงยาวเกือบครึ่งเกตรออกมา

 

“เคียงคุตอบว่า “เป็นการต่อยที่นับไม่ถ้วนจริงๆ ไม่คิดเลยว่าจะได้ตำแหน่งนี้มา”

 

ความเห็นท่วมท้นหน้าจอ

 

[ฮ่าๆๆ ข้าไม่อยากจะเชื่อเลย]

 

[โอ้ยเกมนี้ช่างสนุกเกินไป ต่อยอีกสิ]

 

[แล้วโอโรชิละไปไหน!?]

 

“…”

 

ต่อไปเจ้าของร้านจะมอบรางวัลให้แก่ผู้ชนะอันดับที่สอง ไป่เหยา!

 

ไป่เหยาจากเมืองครึ่งกล่าวว่า “เนื่องจากพิธีกรขาวน้อยไม่สามารถมาที่นี่ได้ ข้าจึงข้อพูดทั้งหมดด้วยตัวเองในฐานะพิธีกรและเจ้าบ้านที่นี่ อยากบอกว่าทุกคนได้เต็มที่กับมันมาก!”

 

ข้อความยังคงเด้งขึ้นอย่าดุเดือด

 

[ช่างน่าแปลกใจ]

 

[ข้ารู้สึกอึ้ง!]

 

[การเล่นครั้งนี้มีความคล้ายคลึงกับการเล่นของเจ้าของร้านมาก!]

 

“สุดท้ายนี้เราขอเชิญแชมป์ผู้เข้าแข่งขัน หลูซือฉีขึ้นมาบนเวลาที!” พิธีกรขาวน้อยได้เดินขึ้นมา “ข้าได้ยินมาว่านี่เป็นครั้งที่สองของเขาที่ได้แชมป์ นอกจากนี้ผู้เข้าแข่งขันของเรา หลูซือฉีของเรายังเป็นอัจฉริยะที่อายุน้อยที่สุดในตาจิน เจ้ามีอะไรอยากบอกกับทุกคนมั้ย?”

 

“อันที่จริงแล้วข้ารู้สึกประหลาดใจเหมือนกัน” หลูซือฉีเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ตอนที่ข้าฝึกซ้อมข้าไม่ได้ซ้อมเพื่อเอาชนะใครเลย นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ข้าเลือกตัวละครที่ไม่คาดคิดมาลงสนาม”

 

เธอพูดอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว

 

“ขอแสดงความยินดีกับผู้ชนะ!”

 

“ผู้ชนะ!? เธอทำได้ยังไง”

 

“ไร้เทียมทาน!”

 

“…”

 

ผู้คนประมาเกือบหมื่นคนจากกลุ่มใหญ่และกองกำลังต่างมารวมตัวกันที่ร้านค้าทั้งสองแห่งพวกเขาจ้องมองการแข่งขัน ขณะเดียวกันความเห็นยังคงท่วมท้นหน้าจอแทบจะปิดบังการถ่ายสด

 

ลูกค้าจากทั้งสองร้านแหกปากและส่งเสียงเชียร์ไปพร้อมกัน

 

ริมฝีปากของเธอโค้งขึ้นเล็กน้อยหญิงสาวร่างสูงดูเย็นชาเธอยิ้มจางๆ รอยยิ้มของเธอดูมีเสน่ห์ไม่น้อย

 

ไม่นานกล้องก็หันไปหาพิฑีการทั้งสองพวกเขาประกาศว่า “ต่อไปคือเทศกาลดนตรีของพวกเรา!”

 

ผู้คนส่งเสียเชียร์อีกครั้งก่อนที่จะเริ่มเงียบเพื่อฟัง

 

หน้าจอขนาดใหญ่มืดลงทันทีแสงจากสปอตไลท์พุ่งลงกลางเวที สาวงามสวมชุดเดรสยาวสีเีขวยืนอยู่ตรงนั้นราวกับนางแบบ

 

ภายใต้แสงไฟนีออนหลากสีเหล่าผู้ฝึกฝนที่ยืนอยู่ข้างหลังเธอเตรียมพร้อมไปด้วยเครื่องดนตรี

 

“ไป้เหยา!?”

 

เมื่อเสียงเพลงที่คุ้นเคยดังขึ้นจากกีต้า ผู้ฟังหลายคนต่างประหลาดใจ

 

“!!??”

 

“ไป่เหยา กำลังเล่นเพลง!?”

 

พวกเขาทำหน้ามึน

 

ผู้ฝึกฝนและนักรบทุกคนรู้สึกตกตะลึงกับภาพที่เห็นไม่แพ้กัน

 

ไป่เหยาสวมชุดกระโปรงโบราณยาวพร้อมกีต้าในมืออย่างกระฉับกระเฉง

 

ทุกคนมองหน้ากันตะลึงแล้วตะลึงอีก

 

จากนั้นเธอก็เริ่มร้องเพลง ..

 

“นี่มันพลงที่เราได้ยินในคิวโซนนี่ ..”

 

พวกเขาส่วนใหญ่ไม่เพียงแต่จะเคยได้ยินเท่านั้น แต่ยังร้องได้อีกด้วย ผู้คนเริ่มสงบลงจากบรรยากาศที่ร้อนระอุ เสียงเพลงค่อยๆ กล่อมให้พวกเขาสงบลง โดยที่ไม่ทันรู้ตัวปากก็เอ่ยร้องคล้อยตามเพลงไปแล้ว

 

หลายคนส่งเสียงร้องตามและบางคนก็ฮัมเพลงตาม ดูเหมือนว่าเสียงเพลงมันนุ่มกัดกินหัวใจพวกเขาให้เคลิ้มตาม ความึนงงและโดหยหาอิสรภาพ .. ภาพที่พวกเขาคิดไว้ภายในหลายร้อยปีดูเหมือนจะหลั่งไหลออกมากลับแปรเปลี่ยนเป็นความหลงใหลแทน

 

ในไม่ช้าผู้คนก็เริ่มลุกและร้องเพลง

 

เสียงเชียร์และเสียงอุทานปะปนกันไป บรรยากาศของทั้งสองร้านถึงจุดสุดยอดอย่างที่พวกเขาเองก็ไม่เคยสัมผัสมาก่อน

 

“ช่างน่าประหลาดใจ .. พวกเขาทุกคนดูมีความสุขมาก ..” ฟางฉีเอ่ย