บทที่ 157 ไม่เกี่ยวข้องกับคุณออกัส

ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง

นัยน์ตาหยุดอยู่บนตัวของเธอ เลอแปงมองเธออย่างเงียบๆ หลังจากผ่านไปนานมาก เขาเอ่ยปากด้วยเสียงต่ำ “หลังจากนี้ ผมจะไม่เรียกคุณว่าคุณครูเชอร์รีนแล้ว ยิ่งไม่มีทางเรียกว่าพี่สะใภ้แล้ว จะเรียกคุณว่าเชอร์รีนอย่างโจ่งแจ้ง……”

ระหว่างที่พูดออกจากปาก ผู้ชายทั้งเกรี้ยวกราดและยืนหยัด

สี่ปีก่อน เขาเรียกเธอว่าคุณครูเชอร์รีน แค่เรียกชื่อเธอก็ยังเป็นความเพ้อฝัน ได้แต่เรียกชื่อเธอในตอนที่ไม่มีคนอยู่ข้างหลัง

ทว่าขณะนี้ เขาสามารถเรียกชื่อเธอได้ต่อหน้าทุกคน อย่างโจ่งแจ้ง……

พอได้ยินแล้ว มือที่ถือหาต้นน้ำของเชอร์รีนก็สั่นเล็กน้อย หยุดอยู่ที่นั่น และวินาทีต่อไป มือใหญ่ที่แห้งและอุ่นของชายคนนั้นทาบไปยังหลังมือของเธอ……

ตะลึงไปเลย กาต้มน้ำในที่อยู่ในมือของเชอร์รีนสั่น น้ำดอกส้มหกออกมา หกเต็มโต๊ะเลย

ราวกับถูกไฟช็อต เธอรีบเก็บมือกลับมา จ้องเลอแปง พูดทีละคำทีประโยคออกมาว่า “เลอแปง เรื่องบางเรื่องไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว นายเข้าใจดี”

ร่างกายที่เรียวสูงแข็งทื่ออยู่ที่นั้น ทว่า ผ่านไปไม่นาน เลอแปงก็กลับมานิ่งสงบเหมือนเดิม ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น

ในขณะนี้ อาหารก็มาเสิร์ฟแล้ว ทั้งสองไม่ได้พูดหัวข้อการสนทนาก่อนหน้านี้ต่อ ทว่าเปลี่ยนไปพูดคุยเรื่องน่าสนใจที่เกิดขึ้นตอนอยู่โรงเรียนในหลายปีนั้น

ยังพูดเกี่ยวกับเรื่องการทำงาน ที่แท้ บริษัทนั้นคือบริษัทที่เลอแปงร่วมหุ้มเปิดกับเพื่อนสองสามคน และเขาก็เป็นผู้ถือหุ้น

ตั้งใจหลีกเลี่ยงหัวข้อการสนทนานั้น ดังนั้น บรรยากาศระหว่างทั้งสองจึงกลมกลืน และเข้ากันได้

อาหารมื้อหนึ่งทานไปเกือบจะหนึ่งชั่วโมงครั้ง เชอร์รีนก้มหน้ามองเวลา ในตอนที่ไม่รู้ตัว กลับเป็นเวลาสามโมงแล้ว

เลอแปงเสนอว่าไปเดินเล่นดูวิวเมืองS ไม่ได้กลับมาสี่ปีแล้ว เขาคิดถึงสถานที่บางที่ในเมืองSมากจริงๆ

“วันอื่นละกัน เย็นนี้ฉันยังมีธุระอื่นๆ ต้องจัดการ” จริงๆ แล้ว ในใจเธอรู้สึกไม่ค่อยวางใจซาราง

พอได้ยินแล้ว เลอแปงก็ไม่ได้ยืนหยัด ใบหน้าที่หล่อเหลายิ้มอย่างเบิกบาน “งั้นคุยกันแล้วนะ เธอติดค้างฉันหนึ่งอย่าง”

เชอร์รีนยิ้ม “ได้ ครั้งหน้าฉันเดินเป็นเพื่อนนายทั้งวันเลย”

“ไปเอาเอกสารกับฉyนที่บริษัทก่อน แล้วค่อยส่งเธอกลับบ้าน” เลอแปงไม่ได้เผยความผิดหวังนั้นออกมา

“เลอแปง ฉันสามารถนั่งแท็กซี่จากที่นี่ได้ สะดวกมาก”

“รถจอดอยู่ที่นอกร้านแล้ว นี่เป็นมารยาทพื้นฐานของผู้ชายคนหนึ่งเลย ฉันยืนหยัด” หาวอย่างเกียจคร้าน ในคำพูดของเลอแปงมีความยืนหยัดที่ไม่สามารถละเลยได้

ดังนั้น จึงไม่ได้ปฏิเสธ ขึ้นรถ แล้วกลับไปที่บริษัท

ในตอนที่จอดรถ เลอแปงสังเกตเห็นข้างๆ มีรถสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ไม่เหมือนว่าเป็นของพนักงาน ดูถ่อมตน เก็บตัว แต่กลับสง่า หรูหรา และมีความคุ้นเคยอย่างอธิบายไม่ถูก ทว่า เขาไม่ได้คิดมาก

ออกจากประตูลิฟต์ไป จึงเดินตรงไปทางห้องประธาน ทว่าไม่รู้ว่าเพราะอะไร จู่ๆ เชอร์รีนก็รู้สึกเริ่มหมดสติ หัวใจเริ่มเต้นเร็วขึ้น

มือของเธอจับไปยังตรงหน้าอกด้วยความแปลกใจ เธอขมวดคิ้ว ไม่ค่อยเข้าใจ

จากนั้น วินาทีที่เลอแปงเปิดประตูออก ร่างกายของเชอร์รีนยืนนิ่งอยู่กับที่ดั่งก้อนหิน การเหม่อลอยในเมื่อกี้ หาสาเหตุเจอแล้ว

ทว่า ความตะลึงของเลอแปงก็ไม่ได้น้อยไปกว่kเชอร์รีนเลย จากนั้นก็รีบกลับมาสงบสติ เอ่ยถามขึ้น “พี่”

เก้าอี้หนังค่อยๆ หันกลับมา ออกัสดับบุหรี่ที่อยู่ระหว่างนิ้วทิ้ง เผยใบหน้าที่หล่อเหลาออกมา

ในตอนที่นัยน์ตากวาดไปเห็นเชอร์รีน เขาเผยนัยน์ตาที่เย็นชา ลึกซึ้งมาก ดำขลับ ราวกับว่าจะกลืนเธอทั้งคนไป จากนั้นจึงจะมองไปทางเลอแปง ตอบกลับด้วยเสียงเบา “อื้ม”

“พี่มาได้ยังไง?”

“ให้ฉันพานายไปทานอาหารเย็นที่บ้านตระกูลสิริไพบูรณ์ด้วยกัน……” เก็บสายตาที่อยู่บนตัวของเชอร์รีน สีหน้าบนใบหน้าที่หล่อเหลาของออกัสเฉยชามาก ราวกับว่าเห็นคนแปลกหน้าที่ไม่เกี่ยวข้องกันเท่านั้น

คนคนนั้นคือใครไม่ได้เอ่ยปากพูด ทว่าเลอแปงรู้ว่าหมายถึงสุนันท์ หยิบเอกสารสองสามฉบับ เขาเอ่ยขึ้น “งั้นพี่กลับก่อนเลย เดี๋ยวผมตามไป”

ตอบกลับไปด้วยเสียงเบา ออกัสก้าวขาที่ยาว เดินออกไปทางข้างนอกสำนักงาน ทว่า ในตอนที่เดินผ่านเชอร์รีนไป เหมือนว่าเท้าของเขามีการสั่นอย่างไม่รู้ตัว

การพบเจอในระยะเวลาสั้นๆ ความรู้สึกที่นำพามาให้กลับรุนแรงมาก จนกระทั่งร่างกายของเขาหายไปจากสายตาของเธอ เชอร์รีนจึงจะแอบสูดหายใจลึก ให้ร่างกายที่ตึงแน่นของตัวเองผ่อนคลาย เป็นกันเอง และการเต้นของหัวใจในตอนนี้เมื่อเทียบกับเมื่อกี้แล้ว กลับรุนแรงมากขึ้น เหมือนว่าจะเต้นออกมาเลย

ในตาของเขา เธอเทียบไม่ได้แม้กระทั่งอดีตภรรยา มากสุดก็แค่คนแปลกหน้าเท่านั้นเอง นัยน์ตาเมื่อกี้ของเขาชัดเจนมากพอแล้ว

และในแววตาของเธอ ก็คือคนแปลกหน้าเช่นกัน ดังนั้น อารมณ์ไม่จำเป็นต้องผันผวนเพราะคนแปลกหน้า ไม่ใช่เหรอ?

ถึงแม้ว่า จะนั่งอยู่บนรถ เธอคุยกับเลอแปงอยู่ตลอดเวลา ทว่าเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่ามีความใจไม่อยู่กับตัว

หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ก็มาถึงข้างล่างตึก หลังจากทักทายแล้ว เลอแปงก็ขับรถจากไป

หันหลัง ถอนหายใจเยือกยาว เชอร์รีนกดทับความกดดันและอารมณ์ผันผวนที่ไม่ควรมีในตอนแรกลงไป กลับมาสงบสติอารมณ์เหมือนเดิม

เมื่อกี้ เป็นเพียงแค่เพราะว่าการพบเจอกะทันหันเกินไป เธอยังไม่ได้เตรียมใจไว้ก่อน ดังนั้นถึงได้ทำตัวไม่ถูก หลังจากนี้ จะไม่เกิดขึ้นอีกแน่นอน!

ตรงมุมเลี้ยวของตึก ผู้ชายยืนนิ่งอยู่ที่นั่น จ้องผู้หญิงที่เดินมาด้วยนัยน์ตาที่เย็นชา ร่างกายที่สูงโตจมหายไปในเงาของตึกบันได รูปร่างดูเย็นชา นัยน์ตาที่ดำขลับนั้นมีแสงสว่างดั่งหมาป่าในยามราตรี

เดินตรงไปข้างหน้า เธอไม่ได้สังเกตรอบๆ ข้าง ทว่า ในตอนที่ก้าวเข้าบันได มีเสียงต่ำของผู้ชายคนหนึ่งดังเข้าหูมากะทันหัน “คุณหญิงเชอร์รีน!”

เสียงที่ดังผ่านมากะทันหันนั้นทำเอาเชอร์รีนตกใจใหญ่ ร่างกายสั่นเล็กน้อย รีบหันกลับไป

ในตอนที่นัยน์ตาของเธอสบตากับชายผู้นั้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ เธอมีความตะลึงเล็กน้อย

ทว่าผ่านไปไม่นาน เชอร์รีนดึงสติกลับมา สูดหายใจลึก ยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ นัยน์ตาไม่มีการหลบใดๆ เงยหน้าขึ้นมองเขา ขมวดคิ้ว เตือนเขาด้วยความเฉยชา

“คุณออกัส เราหย่ากันตั้งแต่สี่ปีที่แล้ว ในตอนนี้กรุณาเรียกชื่อฉันด้วยค่ะ”

ริมฝีปากบางยิ้มโค้งขึ้น ออกัสไม่พูดอะไร เดินขยับเข้ามา รูปร่างที่สูงโตห้อมล้อมเธอไว้ จ้องตาของเธอ เงียบสงบไปนานมาก น้ำเสียงที่ต่ำและดูเยาะเย้ยเสียดสีดังออกมา

“ตอนที่อยู่กับเลอแปง เธออ่อนโยนเหมือนเจ้าแกะตัวหนึ่ง ตอนนี้อยู่กับฉัน ทำไมทั้งตัวถึงดูมีหนามขึ้นมาเร็วขนาดนี้ล่ะ หืม?”

“นี่เหมือนว่าจะไม่เกี่ยวกับคุณออกัสนะคะ” เธอเม้มริมฝีปาก มองผู้ชายตรงหน้าด้วยความดูถูก

ยื่นนิ้วที่เรียวยาวออกไป ออกัสจับไปที่คางของเธอ หยิกลงไปดั่งทำโทษ นัยน์ตาที่เฉียบคม “ไม่ได้สิ่งที่ดีที่สุด ก็ยอมลดระดับมาเอาสิ่งที่ดีรองลงมา ดังนั้น ตอนนี้เธอกำลังตัดสินใจจะอ่อยเลอแปง หืม?”