บทที่ 1483 – จักรวรรดิแดนน้ำแข็ง จักรวรรดิพฤกษาเทวะ ความแข็งแกร่งของระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจ

3 วันผ่านไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับงานแต่งที่จบไป ช่วง 3 วันที่ผ่านมาหยินต่งได้ทำการดูแลความเรียบร้อยของตระกูลหยินโดยรอบ เพื่อให้มั่นว่าตระกูลหยินจะอยู่รอดปลอดภัย

การเดินทางในครั้งนี้เป็นเรื่องที่บังเอิญ ชิงสุ่ยคิดขณะยืนอยู่ ที่แห่งนี้นั้นน่าเกรงขามและมีผู้ฝึกตนระดับปราณจักรพรรดิอยู่ ในมหาทวีปอุดรเทวา ระดับเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความแข็งแกร่งของพื้นที่นั้นๆ

หยินต่งทำทุกอย่างที่เขาทำได้ด้วยกำลังของตัวเองก่อนจากไป หยินต่ง ชิงสุ่ย และหลินเฟ่ยได้ตกลงกันว่าจะออกเดินทาง

แม้ตระกูลหยินจะเรียกร้องให้หยินต่งอยู่ต่อ แต่ว่าเขาได้ตัดสินใจไปนานแล้ว

ทั้งสามขี่มังกรไอยราเกล็ดทองคำของชิงสุ่ย อย่างไรก็ตามเป็นความจริงที่หยินต่งได้รับมรดกของเทพสงคราม

“พี่ชาย นี่เป็นครั้งแรกที่ข้ามาถึงมหาทวีปอุดรเทวา ทำไมท่านไม่แลกเปลี่ยนความรู้กับข้าสักหน่อยหล่ะ?” ทั้งสามนั่งอยู่บนหลังของมังกรไอยราเกล็ดทองคำ

“จริงๆแล้วมันก็เหมือนกับทุกที่ที่เจ้าไป ตามกฏของป่า เจ้าจำเป็นต้องมีพลัง ข้ารู้ว่าเจ้าเข้าใจมันดียิ่งกว่าข้า มหาทวีปอุดรเทวานั้นกว้างใหญ่มาก จักรวรรดิ นิกาย หรือแม้กระทั้งฝักฝ่ายใดมักจะไม่เป็นปรปักษ์ต่อกัน” หยินต่งตอบอย่างไม่อ้อมค้อม

ชิงสุ่ยหัวเราะ “นอกเหนือจากอำนาจของจักรวรรดิราชวงศ์เซีย มีฝ่ายใดที่แข็งแกร่งอีก? สถานที่ไหนบ้างที่น่าไป? ท่านมีแผนอะไรหรือ?”

“นอกเหนือจากจักรวรรดิราชวงศ์เซีย มีจักรวรรดิแดนน้ำแข็งและจักรวรรดิพฤกษาเทวะ ทั้งสองแข็งแกร่งพอสมควร ที่นี่มีกองกำลังขนาดเล็กนับไม่ถ้วน แต่พวกเขายังไม่พอที่จะทำให้เกิดคลื่นกระทบใดๆ นอกเหนือจากผู้ฝึกตนบางคนที่ปกปิดตัวเอง มีพูดที่นิยมในมหาทวีปอุดรเทวากล่าวว่า วางตัวให้ต่ำต้อยมากเท่าที่จะทำได้และใช้ชีวิตด้วยจิตใจที่สงบ” หยินต่งกล่าวด้วยรอยยิ้ม

ในมหาทวีปอุดรเทวา คนผู้หนึ่งอาจไม่เคยได้ยินถึงความแข็งแกร่งของนิกาย 5 พยัคฆ์อมตะในช่วงชีวิตของเขา อาจมีความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะซ่อนตัวอยู่ ผู้ที่มีความสามารถเลือกที่จะหลบหนีจากความสับสนวุ่นวายของโลก อย่างไรก็ตามผู้ที่ทรงพลังเหล่านี้มีอยู่จริง แต่ส่วนใหญ่มักจะอยู่จักรวรรดิหรือตระกูลที่ยิ่งใหญ่

“จักรวรรดิแดนน้ำแข็งและจักรวรรดิพฤกษาเทวะแข็งแกร่งแค่ไหนกัน?” ชิงสุ่ยไม่ได้ถามเกี่ยวกับนิกาย 5 พยัคฆ์อมตะ เขารู้ว่าหยินต่งไม่ตระหนักถึงการมีตัวตนของพวกเขา

ข่าวเพียงข่าวเดียวก็เพียงพอที่จะเปลี่ยนความคิดของผู้คน ถ้าชิงสุ่ยไม่ได้รู้อะไรเพิ่มเติม จากการคำนวณของเขา เขาอาจจะได้พบมันในครั้งต่อไปที่เขาพบอุปสรรคบางอย่างหรืออาจมากกว่านั้น

ชิงสุ่ยเติบโตขึ้นโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้หลังจากที่เขาได้รับอสูรนรกรัตติกาล ชิงสุ่ยรู้สึกแข็งแกร่ง มันสามารถปกป้องตัวเองได้แม้ต้องเจอกับระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจ มันยังคงไม่เป็นไร แต่ถึงกระนั้นหากระดับปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ปรากฏตัว เขาคิดว่าตัวเองคงจะถูกฆ่าทันที

“จักรวรรดิแดนน้ำแข็งและจักรวรรดิพฤกษาเทวะถือว่าแข็งแกร่งที่สุดในแถบนี้ เนื่องจากที่นี่ใกล้กับมหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำและมหาทวีปมังกรอหังกาล ผู้คนที่นี่ย่อมได้รับการยกย่องว่าแข็งแกร่งและยอดเยี่ยม” หยินต่งกล่าวหลังจากคิดบางอย่าง

“พวกเขาแข็งแกร่งระดับไหน? พี่ชายรู้หรือไม่?” ชิงสุ่ยกังวลอย่างมากเกี่ยวกับเรื่องนี้

“มันน่าจะเป็นระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจขั้นสูงสุด พวกเขาเผชิญหน้าทัณฑ์สวรรค์พินาจนับสิบครั้งหรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ”

ทัณฑ์สวรรค์พินาศเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการได้มาซึ่งพลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความยากลำบากของระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจขั้นสูงสุด จำนวนและความยากของปราณบัญชาสวรรค์พินาจขั้นสูงสุดเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง

ชิงสุ่ยไม่มีเบาะแสเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจขั้นสูงสุด เขาไม่แน่ใจเกี่ยวกับความถูกต้องของข้อมูลที่ประมาณเอาไว้ก่อนหน้านี้

===

ระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจขั้นที่ 5 = 16 ล้านสุริยา

ระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจขั้นที่ 6 = 32 ล้านสุริยา

ระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจขั้นที่ 7 = 64 ล้านสุริยา

ระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจขั้นที่ 8 = 128 ล้านสุริยา

ระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจขั้นที่ 9 = 256 ล้านสุริยา

ระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจขั้นที่ 10 = มากกว่า 500 ล้านสุริยา

===

คนผู้หนึ่งจะต้องทะลวงผ่านระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจขั้นที่ 10 ไปจนถึงขั้นสูงสุด แม้ว่าชิงสุ่ยจะไม่แน่ใจเกี่ยวกับความต่างระหว่างพวกมัน แต่หลังจากระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจขั้นที่ 5 วิธีเดียวที่จะก้าวหน้าขึ้นคือความแข็งแกร่งของคนผู้นั้นจะต้องไปถึงระดับต่อไป

โดยเฉพาะอย่างยิ่งพลังระดับ 516 ล้านสุริยาที่เป็นจุดแข็งสำหรับระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจขั้นที่ 10 สำหรับเงื่อนไขของการไปถึงขั้นสูงสุดนั้นยังไม่ทราบ มันต้องใช้พลังมากถึงสองเท่าเพื่อให้บรรลุถึงระดับถัดไป นั่นเป็นความต้องการอย่างน้องที่สุดตามหลักการ แม้กระนั้นความแตกต่างระหว่างผู้อ่อนแอและแข็งแกร่งในหมู่ระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจขั้นสูงสุดย่อมมีมาก

มันเป็นความโล่งใจที่เขามีเกราะทองคำวชิระ รวมทั้งอสูรรัตติกาลนรก ชิงสุ่ยคิดว่าเขาสามารถรับมือได้… ขอแค่เพียงไม่ใช่ผู้ที่น่ากลัวระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจขั้นสูงสุดซึ่งสามารถใช้ทักษะสังหารไร้ปรานี

ชิงสุ่ยรู้สึกสบายใจมากขึ้นเมื่อคิด มันยังเป็นความจริงที่ว่าเขาแข็งแกร่ง นอกจากนี้ฝ่ายตรงข้ามก็ไม่ใช่ว่าจะเข้ามาสังหารเขาได้อย่างง่ายดาย

“ลองไปดูที่เมืองหลวงในจักรวรรดิราชวงศ์เซียกันเถอะ ที่นั่นน่าจะเหมาะกับพวกเรา” หยินต่งมองไปที่ชิงสุ่ยด้วยรอยยิ้ม

เมื่อเทียบกับชิงสุ่ย พลังของหยินต่งด้อยกว่ามาก บางทีอาจเป็นเพราะเขายังได้รับมรดกมาไม่นานมากนัก อย่างไรก็ตามตอนนี้เขาอยู่ในระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจขั้นที่ 7 การได้รับมรดกแห่งเทพสงครามเป็นเรื่องที่พิเศษและเขาเผชิญหน้าความทรมานแห่งสวรรค์พินาจมาเพียงแค่ 2 ครั้งเท่านั้น

ไม่มีอะไรในชีวิตที่เป็นเรื่องแน่นอน บางคนอาจไม่เคยเผชิญกับความทรมานแห่งสวรรค์พินาจ ขณะที่คนอื่นอาจผ่านมันมาหลายรอบ มันมักจะมีข้อดีและข้อเสียเสมอ นี่เป็นเรื่องของมุมมอง

ทุกการเผชิญกับความทรมานแห่งสวรรค์พินาจเป็นเหมือนการเผชิญกับความตาย การเสี่ยงชีวิตเป็นผลทำให้ได้รับพลังเพิ่มขึ้นหากมันสำเร็จ

……

พวกเขาพูดคุยแลกเปลี่ยนกันระหว่างเดินทางเป็นอย่างดี ในท้ายที่สุดมันก็มาถึงหัวข้อของหลินเฟ่ย ความแตกต่างด้านพลังของเธอกับชายหนุ่มอีกสองคนนั้นมีมาก เสน่ห์มนตราของเธอ การเคลื่อนไหวอันลึกลับ และการใช้พิษทำให้เธอสามารถต่อกรกับหลายๆคนได้เกินกว่าระดับความแข็งแกร่งของเธอ ถ้าหากใครรู้ถึงขีดจำกัดความสามารถของเธอ แม้กระทั่งผู้ที่แข็งแกร่งบางคนก็ไม่กล้าที่จะตอแยด้วย นี่เป็นเรื่องจริงสำหรับผู้ชายโดยเฉพาะ สำหรับมนต์เสน่ห์ของเธออย่างเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาหูตามืดบอด

ในทันทีทันใดเสียงนกร้องก็ดังมาจากข้างหน้า

คิ้วของชิงสุ่ยพับย่นตามเสียงที่ได้ยิน นี่ไม่ใช่เสียงร้องของนกตัวเดียว เขาสรุป แม้ว่าจะมองไม่เห็นสิ่งใดด้วยเมฆที่ปกคลุม ระยะทาง และสิ่งที่ขีดขวางสายตาของพวกเขา

ในไม่ช้าพวกเขาก็เห็นว่ามันคืออะไร ฝูงของสิ่งมีชีวิต 30 กว่าตัว วิหคขนทองคำ

วิหคขนทองคำเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ นอกจากรูปร่างที่สวยงามของพวกมันแล้ว พวกมันยังได้รับการยกย่องว่าเป็นสัญลักษณ์ของความเคารพนับถือ ผู้ที่ขี่มันอาจไม่จำเป็นต้องทรงพลัง

มังกรไอยราเกล็ดทองคำของชิงสุ่ยมีแรงกดดันทางจิตวิญญาณอันรุนแรง มันสะดุดตาและเป็นที่จับตามอง

เสียงร้องบ่งบอกถึงความไม่พอใจหรือไม่ชื่นชอบ ไม่นานนัก วิหคฝูงใหญ่ก็กระจายตัว มันแสดงถึงเจตนาที่จะเข้าล้อมรอบมังกรไอยราเกล็ดทองคำ

ชิงสุ่ยเห็นได้อย่างชัดเจนว่าผู้ที่กำลังขี่พวกมันเป็นอย่างไร ส่วนใหญ่จะเป็นชายหนุ่มกับชายชรา 2 คน ผู้ที่อยู่ด้านหลังดูเหมือนจะเป็นคนคอยสั่งการ

เสียงคำรามดังขึ้น!

ถ้าไม่ใช่เพราะชิงสุ่ยยับยั้งเอาไว้ เขาคิดว่ามังกรไอยราเกล็ดทองคำคงจะพุ่งเข้าใส่ตามลำพัง การต่อสู้ของสัตว์อสูรเป็นเรื่องทั่วไปของสวรรค์และโลก

ประมาณ 30 คนที่ล้อมรอบชิงสุ่ยและพวกเอาไว้ มันผ่านมาแล้ว 6 เดือนนับตั้งแต่ที่พวกเขาได้ออกมาจากตระกูลหยิน เหล่าวิหคดูเหมือนจะกล้าหาญเป็นพิเศษ ชิงสุ่ยสงสัยว่าคนกลุ่มนี้วางแผนจะทำอะไร

“มองดูพาหนะที่น่าประทับใจนั้นสิ  บุรุษจะดูสมชายชาตรีมากขึ้นเมื่อได้นั่งบนมัน ดังนั้นทำไมเจ้าไม่ไปถามเขาว่าจะมอบมันให้เจ้าได้หรือไม่หล่ะ!” ชิงสุ่ยได้เสียงอันไพเราะที่ดังขึ้น

เขาตกตะลึง ชิงสุ่ยมองไปยังแหล่งที่มาของเสียงและพบหญิงสาว เธอน่ามองและมีเสน่ห์ มีอย่างหนึ่งที่สังเกตเห็นได้อย่างรวดเร็ว มันเห็นได้ชัดว่าเธอเป็นคนที่หัวสูง

ข้างหญิงสาวเป็นชายหนุ่มร่างกายกำยำที่สวมชุดปักลาย มันทำให้เขาดูดี แต่เขาก็มีกลิ่นอายอันน่ากลัว

แทนที่จะสนใจคำของหญิงสาว ชายคนนั้นกลับมองดูชิงสุ่ยและมังกรไอยราเกล็ดทองคำด้วยความสนใจ

“พาหนะของเจ้านั้นทรงพลังมากจนแม้แต่พาหนะของพวกเรายังถูกข่มเอาไว้” ชายคนนั้นพูดอย่างอบอุ่น

ชิงสุ่ยไม่คาดคิดว่าจะได้ยินคำดังกล่าวจากชายคนนั้น เขาหัวเราะและตอบกลับ “ข้าสงสัยว่าทำไมพวกเจ้าถึงเข้ามาขวางพวกเราไว้?”

“นี่คืออาณาเขตของตระกูลซื่อ ไม่สามารถผ่านเข้าไปได้ ใครก็ตามที่ปรารถนาจะผ่านเข้าไปต้องมอบของที่ระลึกสักเล็กน้อย” ชายคนนั้นบอกอย่างสุภาพ

ชิงสุ่ยมองไปที่หยินต่งและเห็นการแสดงออกที่ไม่พึงพอใจของเขา ขณะนั้นชิงสุ่ยรู้สึกถึงความจริงในคำพูดของคนพวกนั้น

“ชิงสุ่ย มีการพูดถึงกันว่าตระกูลซื่อเป็นหนึ่งในผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรรดิเซี่ย นี่คงเป็นน่านฟ้าของตระกูลเซี่ย พวกเขาจะไม่อนุญาตให้คนทั่วไปผ่าน แม่แต่ฝูงสัตว์บินได้ก็ยังถูกยิงลงมา”