บทที่ 1484 – เมืองเซี่ย เข้าพักโรงเตี๊ยม นางรู้จักการรักษา

เมื่อได้ยินคำพูดของหยินต่ง ชิงสุ่ยไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะทำเรื่องยุ่งยากเช่นนั้น เขายังคงยิ้ม “พวกเรามาใหม่ พวกเจ้าจะว่าอย่างไรหากพวกเราจะขอผ่านไปเลยตอนนี้? ไม่จำเป็นต้องอารมณ์เสียกับทุกๆคนด้วยปัญหาเล็กๆเช่นนี้ ถูกหรือไม่?”

“ปัญหาเล็กๆ? นี่เป็นปัญหาเล็กๆงั้นหรือ?” ชายอีกคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆชายร่างกายกำยำกล่าวเย้ยหยันไปที่ชิงสุ่ย

“เรื่องนี้ก่อให้เกิดผลเสียต่อตระกูลซื่อเช่นนั้นหรือ?” ชิงสุ่ยหัวเราะและจับตาดูการแสดงออกของพวกเขาที่เริ่มหันมาให้ความสนใจ

“มันจะทำให้ตระกูลซื่อดูไม่ดี ต้องปฏิบัติตามกำหนดที่วางเอาไว้ ไม่มีสิ่งใดสามารถทำได้โดยปราศจากแบบอย่างหรือข้อบังคับ ใครจะแสดงให้เห็นว่าตระกูลซื่อได้รับความเคารพนับถือในอนาคต ถ้าหากพวกเราไม่ปฏิบัติตามพวกเขา?” ชายหนุ่งยืนกรานหัวชนฝา

“ฮ่าๆ ข้าไม่แน่ใจว่าใครเป็นผู้ที่กำหนดกฏเกณฑ์เหล่านี้ พื้นที่บริเวณนี้กว้างใหญ่ หากมีผู้ใดดำเนินการเองเช่นเดียวกับตระกูลซื่อและไม่ยอมให้ผ่านไปบ้างหล่ะ? ข้าสงสัยว่าหากเป็นเทพเทวาผ่านมาที่นี่ พวกเจ้าจะหยุดพวกเขาด้วยหรือ?” ชิงสุ่ยยิ้มเยาะ

“บังอาจ! ข้าจะพูดซ้ำอีกครั้ง นี่คือกฎของตระกูล พวกเราจะปล่อยให้เจ้าผ่านไปหากมอบสิ่งของบางอย่าง ถ้าไม่ พวกเราจะต้องทำตามกฏ” ชายหนุ่มผู้ที่อยู่ตรงกลางก็โกรธเช่นกัน

พวกเขาอาศัยอยู่ด้วยความเหนือกว่ามาเสมอ มันเป็นกฏเกณฑ์ที่เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปว่าต้องปฏิบัติตามที่กำหนดไว้ พวกเขาถูกยกยอทุกที่ที่พวกเขาไป นั่นคือความเหนือกว่า เมื่อรวมเข้ากับความแข็งแกร่งที่มี พวกเขาเริ่มหยิ่งยโส

“เช่นนั้นพวกเราจะอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” ชิงสุ่ยยังคงสงบและใจเย็น ในความเป็นจริงเขาต้องการที่จะเห็นสิ่งที่หนุ่มสาวเหล่านี้ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อของพวกเขา อะไรที่ทำให้พวกเขายึดมั่นในคำพูด

“ทิ้งของมีค่ามากที่สุดของพวกเจ้าแต่ละคนไว้” หญิงสาวคนหนึ่งกล่าวอย่างเคร่งขรึม

“ข้าไม่ทำ นอกจากนี้ทุกคนล้วนมีสิ่งที่มีค่ามากที่สุดสำหรับตัวเองแตกต่างกัน ตัวอย่างเช่นผู้ชาย สิ่งที่มีค่ามากที่สุดสำหรับผู้ชายคืออะไร? ถ้าหากเขาบอกว่าจะยกเจ้าให้ผู้อื่น เจ้าจะยอมงั้นหรือ?” ชิงสุ่ยส่ายศีรษะและกล่าวอย่างจริงจัง

คำพูดของชิงสุ่ยนั้นดูหยาบคายเล็กน้อยเมื่อเขาพูดถึงหญิงคนนั้น

“เจ้ามันรนหาที่ตาย อย่าได้ตำหนิผู้ใดกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น พวกเจ้าจัดการมันซะ”ชายหนุ่มโกรธมาก ผู้ที่มาใหม่ได้ล้อเล่นกับผู้หญิงของเขา เขาจะทนอยู่ได้อย่างไร? ตอนนี้ไม่มีคำพูดอื่นใดที่จะกล่าว

ชิงสุ่ยไม่ได้ตื่นตระหนก แม้กระทั่งเมื่อวิหคขนทองคำพุ่งเข้ามาหาเขา เขาหยิบระฆังสะท้านจิตออกมาและสั่นมัน

ระดับของระฆังสะท้านจิตในปัจจุบันแตกต่างจากอดีตอย่างเห็นได้ชัด ชิงสุ่ยไม่แน่ใจว่าระฆังสะท้านจิตระดับที่ 9 จะสูงสุดแล้วหรือไม่ แต่มันแทบจะไม่มีปฏิกิริยาของการพัฒนาเพิ่มเติมใดๆ การขัดเกลาดูเหมือนจะไม่มีผลมากนัก

ท่ามกลางวิหคขนทองคำนับ 30 ตัว วิหค 10 ตัวใกล้พวกเขาเจอกับปัญหา พวกมัน 3 ตัวตายในทันที วิหค 2 ตัวตกลงไปตาย ส่วนวิหค 3 ตัวโจมตีกันเองด้วยความคลุ้มคลั่ง ในขณะที่ 2 ตัวสุดท้ายไม่สามารถป้องกันเอาไว้ได้และได้รับบาดเจ็บ

การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันนี้ทำให้ฝ่ายตรงข้ามของเขาประหลาดใจ ด้วยความรวดเร็วที่มองตามไม่ทัน ชิงสุ่ยปรากฏตัวขึ้นหลังวิหคขนทองคำที่ใกล้ที่สุดและโจมตี

ปัง!

ด้วยเสียงระเบิดดังกึกก้อง วิหคขนทองคำที่ถูกโจมตีตายลง โดยขณะนี้การโจมตีนับไม่ถ้วนได้ถาโถมเข้าใส่ชิงสุ่ย แต่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ

“กลับมา!”

ในขณะนั้นชายหนุ่มผู้ยืนอยู่กลางอากาศร้องตะโกนออกมา

ถึงอย่างนั้นมังกรไอยราเกล็ดทองคำของชิงสุ่ยก็ยังจัดการวิหคขนทองคำไปได้ 2 ตัวและอีก 1 ตัวด้วยฝีมือของหยินต่ง โชคดีที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ ในเวลาเดียวกันผู้อาวุโสสองคนก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าพวกเขา

“ขอบคุณท่านสำหรับความเมตตา!” พวกเขากล่าวอย่างสุภาพ

ไม่ใช่ว่าชิงสุ่ยกลัวที่จะสังหารพวกเขา เพียงแต่เขาไม่ต้องการที่จะทำตัวเหี้ยมโหดต่อคนเหล่านี้ เขาไม่อยากเพิ่มจำนวนคนที่เขาฆ่าอีกต่อไป อย่างไรก็ตามถ้าหากพวกเขาไม่ได้เรียนรู้กับสิ่งที่เกิดขึ้น เช่นนั้นชิงสุ่ยก็ไม่ลังเลที่จะกำจัดพวกเขา

เหตุผลเดียวก็คือเนื่องจากชิงสุ่ยไม่ได้มองว่าพวกเขาเป็นศัตรูที่คู่ควร มิฉะนั้นเขาคงไม่แสดงความเมตตาใดๆ

ปัจจุบันชิงสุ่ยจะไม่สร้างความวุ่นวายอะไรมากมายหากเขายังรับไว้ ดังนั้นแม้คนเหล่านี้จะร้องตะโกนว่าจะจัดการเขา เขาก็ยังสามารถแสดงความเมตตาออกมา

“ตอนนี้พวกเราผ่านไปได้หรือยัง?” ชิงสุ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

“แน่นอน ครั้งนี้มันเป็นความผิดพลาดของตระกูลซื่อ ข้าไม่แน่ใจว่าพวกท่านยินดีที่จะไปเยี่ยมชมตระกูลซื่อหรือไม่?”ชายชราคนหนึ่งเชื้อเชิญ

ชิงสุ่ยไม่แน่ใจว่าสถานะของชายชราในตระกูลซื่อเป็นอย่างไร เขาปฏิเสธ “พวกเรายังคงมีสิ่งที่ต้องทำ เอาไว้เป็นครั้งหน้า หากพวกเราผ่านมาที่นี่อีกครั้ง”

ชายชรากล่าวขอบคุณชิงสุ่ยอีกครั้งก่อนที่พวกเขาจะจากไป

“ท่านปู่เฉา พวกเขาแข็งแกร่งแค่ไหนหรือ?” ชายหนุ่มที่เป็นผู้นำถาม

“ข้าไม่รู้ แต่การฆ่าพวกเรามันง่ายพอๆกับการที่พวกเขาหายใจ เชียน เฟิง เจ้าโตแล้วตอนนี้ บางสิ่งเจ้าต้องคิดก่อนที่จะทำ เช่นเดียวกับเหตุการณ์ในวันนี้ ไม่เพียงแต่จะหยุดพวกเขาไว้ไม่ได้ พวกเรายังดูแย่ลง มันส่งผลต่อสภาพจิตใจของพวกเราเช่นกัน” ชายชราถอนหายใจ

ชายหนุ่มหดหู่ใจ เช่นเดียวกับที่ชายชรากล่าว ไม่เพียงแต่เขาจะดูไม่ดีต่อหน้าผู้หญิงของเขา เขายังรู้สึกแย่ที่พ่ายแพ้เช่นกัน เขารู้สึกถึงคลื่นแห่งความสิ้นหวังและหมดหนทาง มันเป็นสิ่งที่ส่งผลต่ออารมณ์

……

ชิงสุ่ยไม่ได้รำคาญกับวิธีการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ของตระกูลซื่อมากนัก พวกเขาเป็นเพียงผู้ที่เดินตามเส้นทางของตัวเอง หลังจากวันนี้โอกาสที่พวกเขาจะได้พบกันอีกครั้งแทบจะเป็นศูนย์

ครึ่งปีหลังจากนั้น ทั้งสามคนก็ไปถึงเมืองหลวงของจักรวรรดิราชวงศ์เซีย มันเป็นที่ที่พวกเขาตัดสินใจจะใช้เวลาอยู่ที่นี่ก่อนจากไป ในขณะที่พวกเขาก็จะมองหาผู้สืบทอดคนอื่นๆของเทพสงครามไปด้วย พวกเขาค้นหาขุมทรัพย์เพิ่มเติมและฝึกฝนตัวเอง

นั่นเป็นวิธีเดียวที่จะมีชีวิตรอดในมหาทวีปอุดรเทวา บางทีพวกเขาอาจจะสามารถต่อกรกับฝ่ายตรงข้ามเช่นจอมอสูรได้ในอนาคต เขาสัญญากับเทพสงครามว่าจะพยายามอย่างสุดความสามารถ ข้อตกลงนี้ไม่ได้มีอะไรผูกมัด แต่เนื่องจากเขาได้ให้คำมั่นไว้แล้ว เขาจึงตัดสินใจที่จะทำมัน

นอกจากนี้ มันก็ไม่ได้มีอะไรให้เขาต้องทำในตอนนี้ เขาสามารถดำเนินการใดๆเกี่ยวกับนิกาย 5 พยัคฆ์อมตะได้หลังจากนี้ ตอนนี้เขาสามารถปล่อยวางมันไปก่อน ถานท่ายหลิงเยียนเป็นคนที่ฉลาดมาก เธอแสร้งทำเป็นไม่แยแสเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อหน้าชิงสุ่ย มันราวกับว่าเธอไม่มีความคิดใดๆถึงเรื่องนี้ แต่ชิงสุ่ยรู้ว่าเธอไม่ลืมและกำลังทำงานอย่างหนัก ตราบเท่าที่มีความเป็นไปได้ เธอจะไม่ยอมแพ้

นิกาย 5 พยัคฆ์อมตะมีผู้ฝึกตนระดับปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ในหมู่พวกเขา ดังนั้นชิงสุ่ยจึงตัดสินใจที่จะฝึกฝนอย่างหนักเพื่อเพิ่มพลังของเขา

เมืองหลวงเป็นที่รู้จักกันในชื่อเมืองเซี่ย จักรวรรดิราชวงศ์เซียเป็นจักรวรรดิที่แข็งแกร่งในบรรดาจักรวรรดิทั้งหลาย แม้ว่ามันไม่ได้ใกล้เคียงกับพลังของจักรวรรดิแดนน้ำแข็งและจักรวรรดิพฤกษาเทวะ แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังถือว่าอยู่ใน 5 อันดับแรก

“ลองดูโรงเตี๊ยมข้างหน้ากันเถอะ ทำไมพวกเราไม่หยุดพักเท้าและหาอะไรดื่มสักหน่อยหล่ะ?” หยินต่งชี้ไปที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งที่ห่างไกลออกไปและยิ้ม

“ตกลง!”

โรงเตี๊ยมเป็นสถานที่ที่ดี มีทั้งสุรา อาหาร ห้องพัก และข่าวสาร มันเป็นที่ที่ทุกคนจะไปเมื่อพวกเขามาถึงปลายทางใหม่ โรงเตี๊ยมแห่งนี้เป็นสถานที่ซึ่งมีผู้แวะเวียนมามากมาย แต่มันก็ปลอดภัยมาก

“ยินดีต้อนรับ! เชิญเข้ามาข้างในเลย!”

เมื่อมาถึงประตู พวกเขาได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากใบหน้าอันยิ้มแย้มของชายวัยกลางคน

ทั้งสามนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นบนชั้นที่หกของโรงเตี๊ยม มันไม่ใช่ชั้นที่สูงสุดของโรงเตี๊ยมแห่งนี้ แต่มันมีผู้คนอยู่เป็นจำนวนมาก สองชั้นแรกสำหรับชาวบ้าวทั่วไป ขณะที่ชั้นสามและสี่เป็นของร้านค้าที่ปราศจากการฝึกตน ชั้นที่สูงขึ้นไปตั้งตั้งชั้นห้าและหกเป็นของผู้ฝึกตน พวกเขาได้ขึ้นไปเยี่ยมชมชั้นที่เจ็ด แต่มันก็แทบจะว่างเปล่า ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงตัดสินใจเข้าพักที่ชั้นหก

การตกแต่งในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ค่อนข้างดี ผนังแต่ละด้านมีภาพเขียนให้ความรู้สึกที่สงบ นอกจากนี้พื้นไม้ก็ยังสะอาดและไม่มีสิ่งสกปรก

ข้อเสียคือด้วยจำนวนคนที่มาก มันย่อมเกิดเสียงดัง แต่ถึงกระนั้นผู้เข้าพักก็ยังจ่ายเงินเพื่อบรรยากาศเช่นนี้ ถ้าไม่ต้องการพวกเขาก็สามารถสั่งอาหารและกลับเข้าไปกินในห้องของตัวเองได้

พวกเขาสั่งอาหารจานพิเศษบางส่วนของโรงเตี๊ยม ทั้งหมดเป็นเนื้อชั้นเลิศและผัก พวกมันมีกลิ่นหอมที่ดีทีเดียว แต่ชิงสุ่ยไม่สามารถพูดได้ว่าเขาตื่นเต้นกับพวกมัน สำหรับทักษะการทำอาหาร เขายังไม่พบใครที่ดีกว่าตัวเอง แม้ว่าเขาจะมีความได้เปรียบในด้านคุณภาพวัตถุดิบ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเขามีความสามารถ

พวกยังได้สั่งสุราของที่นี่มาลิ้มลอง สุราบุปผา!

นั่นเป็นสุราพิเศษของทางโรงเตี๊ยม มันต้มด้วยดอกไม้บางชนิด รสชาติของมันสดชื่นหอมหวาน

เด็กรับใช้บริการด้วยความรวดเร็ว อาหาร 8 จานและซุปถูกนำมาวางไว้ ทั้งสามคนเริ่มเข้าใจบางอย่างจากการเดินทางของพวกเขา ไม่มีความจำเป็นที่พวกเขาจะต้องมากพิธีต่อกัน มันทำให้พวกเขาพูดคุยกันได้อย่างสบายใจ

“พี่ชาย พวกเราควรจะทำอะไรบางอย่างขณะที่อยู่ที่นี่ พวกเราไม่ควรก้าวไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย” หยินต่งและชิงสุ่ยชนถ้วยสุรากันอย่างมีความสุข

ในสถานที่อื่นที่ชิงสุ่ยเคยไป เขาได้สร้างหอคอยจักรพรรดิขึ้นและพวกมันก็ประสบความสำเร็จอย่างมาก เขาไม่ได้กังวลกับมันในตอนที่เขาอยู่ในมหาทวีปมังกรอหังกาล เขาสงสัยว่าเขาควรกลับไปอาชีพเดิมต่อขณะที่พวกเขาอยู่ที่นี่หรือไม่

สถานะของหมอนั้นสูง ตราบเท่าที่มีทักษะทางการแพทย์ การได้คลุกคลีกับผู้ที่แข็งแกร่งไม่ใช่ปัญหา มันขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น แม้ว่าเป็นหมอจะปลอดภัย แต่มันก็ยังคงมีความเสี่ยง อย่างไรก็ตามชิงสุ่ยไม่กลัว

“พี่ชาย ท่านมีอะไรจะแนะนำหรือไม่?” ชิงสุ่ยเหลือบมองไปที่หยินต่งและถาม

“ข้าเป็นคนที่ไม่สามารถรับอะไรได้ หลินเฟ่ยมีความรู้ด้านการแพทย์อยู่บ้าง ทำไมพวกเราไม่ตั้งโรงหมอหล่ะ?” หลังจากพิจารณาแล้ว หยินต่งตอบ

ชิงสุ่ยตกตะลึง เขาไม่ได้ตระหนักว่าผู้หญิงคนนี้รู้จักการรักษาทางการแพทย์ สำหรับการกล่าวว่าเธอมีความรู้อยู่บ้างนับว่าทักษะของที่มีย่อมไม่เลวร้าย ดูเหมือนว่าเขาจะหลีกเลี่ยงไม่ได้กับการกลับไปทำอาชีพเดิมในตอนนี้

“ตกลง มาเปิดโรงหมอกันเถอะ พี่สะใภ้ ทำไมท่านไม่ลองตรวจชีพจรของข้าดูหล่ะ!” เขากางแขนออกด้วยต้องการเห็นความสามารถของหลินเฟ่ย

ตอนนี้มันเป็นคราวของหลินเฟ่ยที่ต้องลงมือ เธอยืนแขนออกไปและจับชีพจรของเขา ข้างๆหยินต่งมองด้วยความมั่นใจ