ภาคที่ 4 ตอนที่ 28 ไม่มีใครช่วยก็ช่วยกันเอง

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

เทียบกับความตึงเครียดหนักหน่วงด้านในเขตแดนอย่างเป่าโจวกับป้าโจวเป็นต้น แนวแม่น้ำจวี้หม่าชายแดนที่แท้จริงยังเป็นเหมือนเช่นก่อนหน้าเวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา 

 

 

แม่น้ำใหญ่สายหนึ่งแบ่งเหนือใต้แยกจากกันชัดเจนดุจแม่น้ำจิงเว่ย 

 

 

สองฝั่งน้ำเป็นแผ่นดินอุดมสมบูรณ์ที่สุด แต่ร้อยปีมานี้กลับไม่ได้กลายเป็นที่นาอุดมสมบูรณ์เพราะที่แห่งนี้ตลอดมาเป็นแผ่นดินที่ทหารแย่งชิงกัน ไม่เคยหยุดทำสงคราม 

 

 

ตัวอย่างเช่นตอนนี้สองฝั่งแม่น้ำล้วนเป็นธงปักทั่ว กระโจมทหารมากมายถี่ยิบมองไปไม่สิ้นสุด ที่สายตามองเห็นไม่น้อยกว่าหลายหมื่นนาย 

 

 

เวลานี้อสนีบาตวสันต์ฤดูคำราม หยาดฝนเท่าเม็ดถั่วร่วงลงจากฟ้า ชั่วพริบตาปกคลุมสองฟากฝั่งไว้ท่ามกลางหมอกฝนจนขมุกขมัวไปหมด 

 

 

ด้านหน้ากระโจมหลังใหญ่สุดในค่ายทหารฝั่งใต้ของแม่น้ำ นายทหารยืนอยู่เต็ม พวกเขาล้วนสวมหมวกสวมเกราะ เม็ดฝนเท่าเม็ดถั่วกระทบบนเกราะดังเปาะแปะ บรรดานายทหารกลับยังคงนิ่งไม่ขยับประหนึ่งรูปสลักหิน 

 

 

ผ้ากระโจมถูกเลิกขึ้น กั้นขวางด้วยหมอกฝนมองเห็นศีรษะคนสุมกันอยู่ด้านในได้ พวกเขาล้วนสวมชุดเกราะแม่ทัพ คนหนึ่งที่สวมชุดเกราะสีเงินยวงนั่งสง่าอยู่ตรงกลางพอดี ผ้าคลุมสีแดงสดสว่างตาเป็นพิเศษ เพียงแต่สลัวอยู่บ้างจึงมองเห็นใบหน้าไม่ชัด เสียงพูดเอะอะคล้ายโต้เถียงอะไรอยู่ 

 

 

“เป็นเช่นนี้สินะ” 

 

 

เสียงอ่อนโยนทั้งยังมีความน่าเกรงขามเสียงหนึ่งทะลุผ่านหมอกฝนดังขึ้น ทำให้ความเอะอะในกระโจมฉับพลันสลายไป 

 

 

“กำลังพลสามหมื่นนายล้วนถอนกำลังไปแล้ว น่าสงสารประชาชนในเขตสามเมืองต้องประสบเคราะห์” 

 

 

ในกระโจมเงียบงันไปพักหนึ่ง นอกกระโจมเสียงฝนดังซู่ซ่า 

 

 

“ท่านหญิงกับท่านชายน้อยช่วยคุ้มกันไปได้ไม่น้อย” มีเสียงแม่ทัพดังขึ้น “นับรวมแล้วมีประชาชนสิบหมื่นกว่าคนอพยพหนีไปที่ปลอดภัยแล้ว” 

 

 

“แต่ยังมีชาวบ้านอีกมากมายรอคอยการปกป้องอยู่” เสียงอ่อนโยนเอ่ยขึ้น “กำลังพลสามหมื่นถอนกำลังแล้ว ชาวจินเกือบหมื่นจะแห่เข้ามา พวกเขาคงต้านไม่อยู่” 

 

 

ในกระโจมเงียบงันพักหนึ่งอีกครั้ง 

 

 

ชุดเกราะส่งเสียงดังเคร้งคร้าง แม่ทัพที่นั่งอยู่ลุกขึ้นยืน รูปร่างประหนึ่งขุนเขาขยับ 

 

 

“อย่างไรก็ไม่อาจมองดูประชาชนทุกข์ร้อนเช่นนี้ได้ พวกเขาไม่มีคนช่วยแล้วก็ให้พวกเราช่วยกันเองเถอะ” เสียงอ่อนโยนทุ้มนุ่มดังขึ้นในกระโจม 

 

 

สิ้นเสียง ผู้คนในกระโจมก็คุกเข่าข้างหนึ่งลงพรึบพรับ ชุดเกราะส่งเสียงดังวุ่นวาย 

 

 

“รับทราบ!” 

 

 

เสียงดั่งอสนีบาต 

 

 

เวลาใกล้พลบค่ำ สายฝนค่อยๆ เบาบางลง ฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำจวี้หม่าทหารจินนายหนึ่งยืนอยู่บนหอสังเกตการณ์ฉับพลันดวงตาเบิกตาเปล่งประกาย จากนั้นรีบร้อนวิ่งลงมา 

 

 

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ในค่ายทหารก็วุ่นวายพักหนึ่ง บุรุษร่างกายกำยำแข็งแกร่งประหนึ่งขุนเขาสวมชุดเกราะสีทองคนหนึ่งมาถึงหอสังเกตการณ์ท่ามกลางทหารจินฝีมือดีดุร้ายห้อมล้อม 

 

 

“ต้าเผิงอ๋อง! ต้าเผิงอ๋อง!” 

 

 

นี่ก็คือต้าเผิงอ๋องทั่วป๋าอูแห่งแคว้นจิน 

 

 

ฝนหยุดแล้ว ท่ามกลางแสงอัสดงและม่านหมอก ค่ายทหารป้องกันแน่นหนาฝั่งตรงข้ามกำลังถอนออก กำลังพลหลายหมื่นขยับพร้อมเพรียงประหนึ่งขุนเขาเคลื่อนที่แผ่นดินสั่นไหว แต่กลับเป็นแถวเป็นแนวเป็นระเบียบ ไม่ได้วุ่นวายสักนิด 

 

 

“กำลังถอนค่ายจริงๆ” ทั่วป๋าอูหน้าเคร่งขรึมเอ่ย 

 

 

“ดูท่าจะถอยแล้ว” บุรุษคนหนึ่งข้างกายเขาอมยิ้มเอ่ย 

 

 

หากหวงเฉิงอยู่ที่นี่คงจำคนผู้นี้ได้ เขาก็คืออวี้ฉือไห่ที่เขาเคยพบ 

 

 

ยืนอยู่ข้างทั่วป๋าอูเขาแลดูผอมซูบบอบบบาง 

 

 

“สิบปีลบความมุ่งมั่นของเขาไปแล้วหรือ?” ทั่วป๋าอูสีหน้าโกรธแค้น “ข้าศึกประชิดกลับผละหนี” 

 

 

ประจันหน้ากันนานปานนี้ กองทัพใหญ่บุกสังหารหลายครา เจ้าไม่ใช่ก็ไม่กล้าสู้กับเขาเหมือนกันรึ? นอกจากนี้ยังเป็นเจ้าถอยก่อนสิบลี้อีก 

 

 

อวี้ฉือไห่อยู่ด้านข้างยิ้มๆ แน่นอนคำพูดนี้เขาโง่แค่ไหนก็ไม่มีทางเอ่ยออกมา 

 

 

“ท่านอ๋อง ชาวฮั่นมีประโยคหนึ่งกล่าวว่าปรบมือข้างเดียวไม่ดัง” เขาเอ่ย “ฮ่องเต้มีพระบัญชาแล้ว ตะวันออกตะวันตกสองด้านกำลังพลสิบหมื่นล้วนถอย กำลังคนสามหมื่นคนเล็กๆ นี้ของเฉิงกั๋วกงจะเป็นคู่ต่อสู้ของกองทัพใหญ่ห้าหมื่นของพวกเราได้อย่างไร  

 

 

พูดพลางก็หัวเราะอีกครั้ง 

 

 

“นอกจากนี้ภรรยากับบุตรชายของเฉิงกั๋วกงวันนี้กำลังคุ้มครองประชาชนที่ป้าโจวกับเป่าโจวอพยพ วันนี้กองทหารชาวโจวถอนกำลังอีก เสียปราการที่ชายแดน พวกเขาย่อมอันตรายแล้ว” 

 

 

ทั่วป๋าอูมองดูกองทัพใหญ่ด้านนั้นวิ่งจากไป 

 

 

“นี่ก็คือที่พวกเจ้าชาวฮั่นเรียกว่าวีรบุรุษอายุสั้นความรักหนุ่มสาวยืนยาวสินะ?” เขาเอ่ย บนหน้ายิ้มหยันอยู่บ้าง 

 

 

อวี้ฉือไห่ลูบเครายิ้มแล้ว 

 

 

“นี่ก็เป็นโอกาสครั้งหนึ่ง อย่างน้อยก็ได้อ้างช่วยคุ้มครองประชาชนถอนทัพกลับป้องกันไม่ให้เสื่อมเสียชื่อเสียง แล้วก็พอดีเชื่อฟังพระประสงค์ของฮ่องเต้ ยิงทีเดียวได้นกสองตัว” เขาเอ่ย 

 

 

พูดถึงตรงนี้ก็ส่ายศีรษะอีก ใบหน้าเต็มไปด้วยความเสียดาย 

 

 

“ข้ายังอยากให้เฉิงกั๋วกงขัดราชโองการไม่ทำตามจริงๆ หากได้เห็นเขามีจุดจบเป็นกบฏตายในมือคนของตนเอง คงทำให้คนที่ได้ยินปวดใจจนหลั่งน้ำตาจริงๆ” 

 

 

แต่บนหน้าของเขาไม่มีความปวดใจจนหลั่งน้ำตาสักนิด แต่ลูบเคราหัวเราะฮ่าฮ่าขึ้นมา 

 

 

“ที่แท้เฉิงกั๋วกงก็แค่นี้” เขาหุบยิ้ม ดวงตาเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน “แต่ต่อให้เป็นเข่นนี้ ขัดบัญชาซ้ำแล้วซ้ำล่าแล้วไร้ความชอบกลับไป หลังกลับไปเขาต้องไม่ได้ผลดีแน่” 

 

 

ทั่วป๋าอูจดจ่อมองดูกองทหารที่ถอนค่ายด้านนั้น ธงผืนใหญ่สูงผืนหนึ่งปลิวสะบัดช้าๆ ตัวอักษรคำว่าเฉินด้านบนแม้พลบค่ำมีม่านหมอกกั้นขวางด้วยแม่น้ำก็มองเห็นได้ชัดเจน เสียงกีบเท้าม้าย่ำประหนึ่งสายฟ้า 

 

 

แม้ว่าทิศทางที่พวกเขามุ่งไปไม่ใช่ที่นี่ ทั่วป๋าอูก็อดไม่ได้หัวใจเต้นตึกตัก 

 

 

ก็เป็นกองทหารเหล่านี้ที่ขวางเขาอยู่ที่นี่เนิ่นนาน หากไม่ใช่ทหารรอบด้านถอนกำลังกลับทำให้โอกาส วันนี้ก็คงยังไม่มีหนทางทะลุแนวป้องกันมาได้ 

 

 

กำลังพลในปกครองของเฉิงกั๋วกงไม่อาจดูแคลนได้จริงๆ 

 

 

ทั่วป๋าอูได้ยินคำพูดของอวี้ฉือไห่พลันหันหน้าไปมองเห็นรอยยิ้มของเขา 

 

 

ตนเองสู้แม่ทัพเช่นนี้ไม่ได้ แต่ต้องอาศัยลูกไม้ตกุติก รอยยิ้มของอวี้ฉือไห่ทำให้เขารู้สึกคล้ายเย้นหยันตนเอง แน่นอนเขายังคงดีใจยิ่งที่เฉิงกั๋วกงเคราะห์ร้าย เพียงแค่ในใจอับอายหงุดหงิดบ้างเท่านั้น 

 

 

“พวกเจ้าชาวฮั่นดาบจริงหอกจริงไม่ได้เรื่อง เล่นลูกไม้เช่นนี้ล่ะเก่งนัก” เขาเอ่ยเย็นชา สบถทีหนึ่งคล้ายทำเช่นนี้ถึงลดความไม่มั่นใจให้เบาบางลงได้ 

 

 

อวี้ฉือไห่สีหน้าไม่อับอายสักนิด 

 

 

“ท่านอ๋องพูดผิดแล้ว” เขาเอ่ยอย่างเคารพจริงใจ “ไม่พวกเจ้า เป็นพวกเขา” 

 

 

ยื่นมือวางตรงหน้าอก 

 

 

“ข้าเป็นชาวจิน” 

 

 

ทั่วป๋าอูอึ้งนิดหนึ่งจากนั้นก็หัวเราะฮ่าฮ่า 

 

 

“ดี” เขาหัวเราะเสียงดังเอ่ย ยื่นมือชี้ด้านหน้า “พวกเราชาวจินร่วมใจ ลงใต้ชนะหมื่นศึก เหยียบราบทุกทิศ” 

 

 

“ชนะหมื่นศึก!” 

 

 

“ชนะหมื่นศึก!” 

 

 

ทหารจินรอบด้านเหวี่ยงสะบัดอาวุธตะเบ็งตะโกนสุดเสียง เสียงดังขึ้นต่อเนื่องเริ่มสะท้อนก้องทั้งค่ายทหาร ถาโถมทรงพลังประหนึ่งคลื่นยักษ์อำนาจยิ่งใหญ่ 

 

 

พร้อมกับเสียงตะโกนนี้ กองทหารฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำที่กำลังถอนค่ายอยู่ดูไปแล้วจนตรอกขึ้นมาก 

 

 

………………………………………. 

 

 

“โจรจินมาอีกแล้ว!” 

 

 

รอบด้านเสียงร้องประหลาดดังขึ้น พร้อมกับเสียงโห่ร้องประหลาด เสียงกีบเท้าม้าก็ดังเร็วรี่ ทหารจินนับพันวิ่งบ้าคลั่งประหนึ่งสายลมจู่โจมมาด้านหน้า 

 

 

นี่เป็นการโจมตีครั้งที่เท่าไรแล้ว? 

 

 

หลี่กั๋วรุ่ยมองดูนายทหารข้างกายที่น้อยลงไปครึ่งหนึ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย 

 

 

การบาดเจ็บล้มตายครานี้เทียบกับเวลาอื่นน้อยลงมากแล้ว เพราะกระสุนหินกับรถยิงศรของกองทหารชิงซาน รวมถึงกระบวนทัพทหารที่ดุดันเคร่งครัดด้วย 

 

 

พวกเขาถึงเฝ้าป้องกันชายแดนมาได้นานปานนนี้ 

 

 

ความเสียหายล้มตายบาดเจ็บไม่ใช่เพราะทหารแม่ทัพของพวกเขางุ่มง่ามสู้โจรจินไม่ได้ แต่เพราะโจรจินยิ่งมากขึ้นทุกที 

 

 

“สุนัขดีสู้สุนัขเลวมากไม่ได้ล่ะนะ” เหลยจงเหลียนมองดูทหารจินที่โห่ร้องเข้ามาพลางถอนหายใจเอ่ยขึ้น 

 

 

ทหารจินเหล่านั้นจากช้ากลายเป็นเร็ว ระหว่างวิ่งก็รวมตัวกลายเป็นสามกอง ชุดเกราะทิ่มแทงตา กีบเท้าเหล็กย่ำกระจุย เสียงร้องประหลาด เสียงคำรามโกรธเกรี้ยว อำนาจน่าครั้นคร้าม 

 

 

พวกนี้เป็นทหารจินฝีมือดีที่ข้ามชายแดนมาใหม่ ไม่ว่าความสามารถในการต่อสู้หรืออาวุธล้วนแข็งแกร่งกว่าเดิม 

 

 

ในดวงตาเหลยจงเหลียนไม่หวาดกลัวสักนิด เขาหันหน้ามองไปด้านข้าง 

 

 

“ดูแล้ว สถานการณ์เช่นนี้ เจ้าคงหนีไม่ได้แล้ว” เขาเอ่ย “คิดไม่ถึงว่าเจ้าถึงกับมีโอกาสตายด้วยกันกับข้า” 

 

 

จินสือปาสีหน้าเย็นชาเพียงมองไปด้านหน้า  

 

 

“ข้าไม่ได้ตายด้วยกันกับเจ้า” เขาเอ่ย “ข้าตายด้วยกันกับผู้หญิงคนนั้น นางตาย ข้าก็ต้องตาย” 

 

 

เหลยจงเหลียนหันหน้ามองไป หลังร่างไกลๆ ในกระบวนทัพสี่เหลี่ยม แม้มองไม่เห็นแต่เขารู้ว่าคุณหนูจวินสั่งการอยู่ข้างใน 

 

 

“ที่จริงนางควรไปด้วยกันกับนายหญิงอวี้” เขาเอ่ยพึมพำ 

 

 

ทว่าก็หัวเราะขึ้นมาอีก หากเป็นเช่นนั้น นางก็ไม่ใช่นางแล้ว 

 

 

………………………………………. 

 

 

หน้าเขตเมืองเหอเจียน ประชาชนนับไม่ถ้วนสีหน้าหวาดหวั่นเดินเร็วรี่ 

 

 

ยกครอบครัวมา แบกพาดไหล่มือหิ้ว บนรถขนเด็กน้อยผู้เฒ่าสตรี 

 

 

ประตูเมืองด้านหน้าเปิดกว้าง บรรดานายทหารสวมชุดเกราะสีหน้าเคร่งเครียดมองด้านหน้าพลางเร่งประชาชนทั้งหลายให้เร็วขึ้น 

 

 

มองไปไกลๆ ขบวนแถวของชาวบ้านทอดยาวไม่ขาดคล้ายไม่มีที่สิ้นสุด 

 

 

ขบวนแถวย่อมมีสุดปลาย ตรงสุดปลายนี่เอง มีรถม้าคันหนึ่งจอดอยู่ข้างทาง รอบด้านทหารสิบกว่าคนรายล้อม สีหน้าเคร่งเครียดระแวดระวังมองไปรอบด้าน พูดให้ชัดมองด้านหลังร่าง 

 

 

“ท่านหญิง ไม่มีคนแล้ว ไปเถิดขอรับ” เหลียงเฉิงต้งเอ่ย 

 

 

ในรถม้านายหญิงอวี้เลิกม่านรถขึ้น 

 

 

“ไม่รีบ” นางเอ่ย “รออีกสักหน่อย” 

 

 

ยังรออีกหรือ ทหารจินอยู่แค่ด้านหลังแล้วนะ เหลียงเฉิงต้งสีหน้าร้อนรน 

 

 

“ท่านหญิงพวกเราข้ามเขตเข้าเมืองไปก่อนค่อยรอเถิดขอรับ” เขาเอ่ย 

 

 

นายหญิงอวี้สีหน้าเรียบเฉย 

 

 

“ไม่ หากข้าเข้าเมืองไป ประตูเมืองฝั่งนี้ย่อมไม่มีทางเปิดให้ประชนชนเหล่านี้แล้ว” นางเอ่ย “อย่างน้อยฐานะของข้า พวกเขาก็ยังพะวงอยู่บ้าง” 

 

 

นางเอ่ยพลางก้าวลงจากรถม้ามองไปทางทิศเหนือ 

 

 

“เจ้าดูสิ ยังมีคนอีก” นางยื่นมือชี้พลางเอ่ย 

 

 

บนทุ่งกว้างเงาคนสองคนสามคนดินกะเผลก 

 

 

“สักคนก็ไม่อาจตกหล่นได้” นายหญิงอวี้เอ่ย สายตามองไกลออกไปอีก “ไม่อาจให้พวกเขายืนหยัดปกป้องสูญเปล่า” 

 

 

ยืนหยัดปกป้อง 

 

 

เหลียงเฉิงต้งก็มองไปทางทิศเหนือบ้าง สีหน้ายุ่งยากใจ 

 

 

ยังปกป้องได้อีกหรือ? 

 

 

ยังรอจนพวกเขากลับมาได้อีกหรือ? 

 

 

………………………………………. 

 

 

แรงสะเทือนใต้เท้ายิ่งรุนแรง เสียงคำรามยิ่งดุดัน 

 

 

“มีทหารจินมาอีกแล้ว” เหลยจงเหลียนมองดูควันไฟที่ลอยขึ้นบนท้องนภาเบื้องหน้า หน้าถอดสี 

 

 

มาอีกแล้ว นอกจากนี้จำนวนคนยังไม่น้อย 

 

 

นี่วันที่เท่าไรแล้ว? 

 

 

เขากวาดตามองรอบตัว กำลังคนของพวกเขาไม่มากแล้ว เกรงว่าครั้งนี้….