ภาคที่ 4 ตอนที่ 29 ช่วงเวลาวิกฤติกองทหารถอย

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

เกรงว่าครั้งนี้คงโชคร้ายมากว่าโชคดีแล้ว 

 

 

แต่นั่นแล้วอย่างไร 

 

 

เรื่องมาจากถึงวันนี้สู้ถึงมีโอกาสรอด ไม่สู้กลับจะตาย 

 

 

“ทนอีกสามวัน ชาวบ้านที่ป้าโจวก็จะอพยพหนีเสร็จสิ้นแล้ว” เซี่ยหย่งเอ่ย เขารู้สึกถึงเสียงกีบเท้าม้าประหนึ่งอสนีบาตด้านหน้า มองดูทหารโจวรอบด้านเผยสีหน้าหวาดกลัวก็ตะโกนก้อง ชูคันศรในมือ “ฆ่า” 

 

 

เขานำหน้าคนเดียว นำกระบวนทัพพุ่งไป 

 

 

ทหารแม่ทัพทั้งหลายเกิดเป็นนิสัยคุ้นชินแล้ว เมื่อกระบวนทัพเคลื่อนที่ก็ขยับวิ่งอย่างไม่ลังเลสักนิด 

 

 

“ฆ่า!” 

 

 

พวกเขาไม่มีความคิดวุ่นวายอีกต่อไป ควบม้ารักษาขบวนรบ ติดตามเซี่ยหย่งตะลุยไปข้างหน้าประจันกับทหารจินที่พุ่งมา 

 

 

กีบเท้าม้าวุ่นวายฝุ่นดินลอยฟุ้งสองทัพปะทะกัน 

 

 

เข่นฆ่าสะเทือนฟ้า 

 

 

มองดูสองฝ่ายเข่นฆjากันดุเดือด นายหทารทั้งหลายในแถวกระบวนทัพยืนนิ่งไม่ขยับ ไร้ความเศร้าไร้ความเจ็บปวดไม่รู้สึกรู้สาสีหน้านิ่งเฉย รอเพียงสัญญาณคำสั่ง 

 

 

จ้าวฮั่นชิงควบม้าวนมาวนไประหว่างช่องว่างในกระบวนทัพ คล้ายร้อนรนทนไม่ได้อยู่บ้าง 

 

 

“ฮั่นชิง เจ้ากลัวหรือไม่?” คุณหนูจวินพลันเอ่ยถาม 

 

 

“กลัวอะไร?” จ้าวฮั่นชิงเอ่ย ดวงตาเป็นประกายมองด้านหน้า “พี่สาว เมื่อไรข้าถึงออกไปรบได้เล่า?” 

 

 

ไม่มีกะจิตกะใจฟังคำของคุณหนูจวินสักนิด 

 

 

คุณหนูจวินยิ้มแล้ว 

 

 

“ครั้งนี้เกรงว่าท่าจะไม่ดีอยู่บ้าง” นางเอ่ย สีหน้าเคร่งขรึมนิดๆ “ชาวจินมีกำลังคนจำนวนมากรวมตัวมาด้านนี้” 

 

 

จ้าวฮั่นชิงร้องอ้อ 

 

 

“เจ้ากลัวหรือ?” นางเอ่ยถาม 

 

 

คุณหนูจวินยิ้มพลางส่ายศีรษะ 

 

 

จ้าวฮั่นชิงก็ยิ้มพลางส่ายศีรษะบ้าง 

 

 

“ถ้าอย่างนั้นข้ากลัวอะไรเล่า” นางเอ่ยท่าทางทะนง “หรือข้าสู้เจ้าไม่ได้หรือ เรื่องที่เจ้าทำได้ข้าก็ล้วนทำได้” 

 

 

ให้พ่อข้าได้รู้ ข้าก็ไม่ด้อยกว่าคนอื่นได้เหมือนกัน 

 

 

คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่า วางคันศรลง 

 

 

“ฝีมือยิงศรของข้าสู้เจ้าไม่ได้” นางเอ่ยแล้วหยิบแส้ยาวเส้นหนึ่งออกมา “ข้าใช้เจ้านี่แล้วกัน” 

 

 

จ้าวฮั่นชิงร้องเอ๋ 

 

 

“เจ้าใช้เจ้านี่เป็นหรือ? ทำไมไม่เคยบอกมาก่อน” นางเอ่ย “ข้าก็อยากเรียนบ้าง” 

 

 

คุณหนูจวินยิ้มพลางพยักหน้า 

 

 

“เอาสิ รอครั้งนี้กลับไป ข้าจะสอนเจ้า” นางเอ่ย 

 

 

หยางจิ่งด้านข้างหลุบตาลง 

 

 

หากกลับไปได้ล่ะก็นะ 

 

 

คุณหนูจวินยังจะออกศึกแล้ว เห็นได้ว่าตัดสินใจเดินสู่ความตายแล้ว 

 

 

รบห้ำหั่นนานปานนี้ ไม่ว่ากำลังคนหรืออาวุธล้วนเสียไปมากนักแล้ว ทหารจินที่ลงใต้กลับยิ่งมากขึ้นทุกที ครั้งนี้อันตรายจริงๆ แล้ว 

 

 

………………………………………. 

 

 

ในเขตเป่าโจว โหดร้ายยิ่งกว่าป้าโจว 

 

 

ประการแรกเพราะเฉิงกั๋วกงประจำการอยู่ใกล้เป่าโจว ด้วยเชื่อมั่นในตัวเฉิงกั๋วกง ประชาชนทั้งหลายจึงอพยพหนีช้า ประการที่สองเมืองใกล้เคียงตั้งแต่แรกก็ระแวงป้องกันจึงปฏิเสธไม่เปิดประตูเมือง 

 

 

รอจูจั้นพากำลังพลของเซินโจวมาถึงเป่าโจว การเจรจาสงบศึกก็สิ้นสุดอย่างเป็นทางการแล้ว ทหารโจวถอนกำลัง ทหารจินประหนึ่งน้ำหลากแห่เข้ามา 

 

 

ในเขตเป่าโจวทุกหนทุกแห่งล้วนเป็นประชาชนวิ่งหนี หลังร่างทหารจินตามมาติดๆ 

 

 

หมู่บ้าน อำเภอ เมืองถูกเหยียบย่ำทลาย สายตามองไปล้วนเป็นควันไฟลอยวนเวียน กำแพงถล่มเมืองพังย่อยยับ 

 

 

หน้าหมู่บ้านแห่งหนึ่งเสียงเข่นฆ่าดังขึ้น 

 

 

เมื่อทหารจินคนสุดท้ายถูกดาบฟันม้าสะบั้นเป็นสองท่อน การต่อสู้ก็สิ้นสุดลง 

 

 

บนพื้นซากศพกลาดเกลื่อน มีทหารจินแล้วก็มีทหารโจว 

 

 

จูจั้นทั้งร่างอาบเลือดมองรอบด้าน เจ็ดร้อยคนยามออกมา ตอนนี้เหลือเพียงไม่ถึงสามร้อยแล้ว แต่ละคนๆยังบาดเจ็บอีก 

 

 

เขายกแขนเสื้อเช็ดเลือดบนใบหน้า 

 

 

มีของตนเองแล้วมีของทหารจิน 

 

 

แต่เพราะบนแขนเสื้อก็ย้อมไปด้วยเลือด เช็ดหน้าครั้งนี้กลับยิ่งดูดุร้าย 

 

 

แบ่งคนส่วนหนึ่งเก็บสหายร่วมชาติที่ตายและบาดเจ็บแล้ว จูจั้นก็โบกมือให้คนที่เหลือ 

 

 

“ไปดูสิหมู่บ้านนี้ยังมีคนรอดชีวิตหรือไม่” เขาเอ่ย 

 

 

บ้านเรือนในหมู่บ้านเพิ่งถูกทหารจินกวาดปล้นยังลุกไหม้อยู่ กลิ่นไหม้กระจายออกมา 

 

 

นี่เหม็นเกินไปแล้ว 

 

 

นายทหารหลายคนอดไม่ได้ปิดจมูก แต่จูจั้นรวมถึงคนตัดฟืนพลันหน้าถอดสี เพิ่มความเร็วฝีเท้าดมกลิ่นพุ่งเข้าไปด้านใน 

 

 

เกิดอะไรขึ้น? นายทหารเซินโจวรีบตามไป เพิ่งเข้าไปในหมู่บ้านก้าวเท้าพลันหยุดชะงัก คนทั้งหมดขนลุกขนชัน 

 

 

นายทหารทั้งหลายที่เห็นความเป็นความตายมาจนคุ้นอุทานเสียงเบาออกมาคำหนึ่ง มองดูเบื้องหน้าร่างกายแข็งทื่อ 

 

 

ปากทางเข้าหมู่บ้านฟืนกองหนึ่งกำลังลุกไหม้อยู่ กลิ่นเหม็นก็กระจายออกมาจากตรงนี้ 

 

 

แต่มองดูให้ละเอียดกลับไม่ใช่กองฟืน แต่เป็นกองศพมนุษย์ 

 

 

แม้ส่วนมากล้วนถูกเผาดำปิดปี๋ไปแล้ว แต่ส่วนน้อยก็ยังคงแยกชายหญิงผู้เฒ่าเด็กน้อยได้อยู่ เห็นชัดยิ่งว่าเป็นชาวบ้านที่นี่ 

 

 

แม้เป็นทหารที่แดนเหนือ เคยสังหารโจรจิน เคยเห็นสนามรบ เคยกวาดล้างโจรผู้ร้าย แต่นานปีปานนี้ก็ไม่เคยเห็นภาพที่โหดร้ายเช่นนี้มาก่อน 

 

 

นายทหารไม่น้อยปิดปากอาเจียนลมออกมา 

 

 

จุจั้นมองเห็นภาพนี้พลันหัวเราะลั่น หัวเราะจนสองตาประหนึ่งถูกย้อมด้วยเลือดแดงก่ำ 

 

 

“ดูสิ ดูสิ นี่ก็คือจุดจบยามเสียบ้านเสียเมือง” เขาตะโกนเสียงแหบพร่า ยื่นมือชี้กองศพที่ลุกไหม้อยู่ “ต้าโจวของข้า ต้าโจวของข้า! คนดั่งไม้ฟืน! คนดั่งไม้ฟืน!” 

 

 

ต้าโจวของข้า ทำไมกลายเป็นเช่นนี้ 

 

 

คนทั้งหมดยืนนิ่งอยู่หน้าหมู่บ้าน บาดแผลบนร่างไม่ได้ทำให้พวกเขาหลั่งน้ำตา เวลานี้มองเห็นภาพนี้คนมากมายสองตาล้วนน้ำตาคลอ 

 

 

จูจั้นหัวเราะเสียงดังหลายทีแล้วหมุนตัววิ่งทะยานไปทางนอกหมู่บ้าน 

 

 

“ฆ่าโจรชั่ว” เขาตะโกน 

 

 

ม้าที่วิ่งกระจายอยู่ถูกเรียกรวมอีกครั้ง บรรดานายทหารทั้งหลายพากันขึ้นม้า ติดตามจูจั้นวิ่งเร็วรี่ขึ้นเหนือ ด้านหน้าเห็นเมืองแห่งหนึ่งอยู่เลือนราง 

 

 

“ท่านชาย !” มีนายทหารไล่ตามมาจากด้านหลังตะโกนเสียงดัง “ไปข้างหน้าไม่ได้นะขอรับ” 

 

 

เขาทะยานม้าขวางไว้ สีหน้าร้อนรน 

 

 

“ทหารจินยึดเมืองไว้แล้ว ยังมีทหารจินนับหมื่นกำลังวิ่งมา” เขาเอ่ย “หัวหน้ากองกำลังฝึกฝนป้องกันเจียงเชิญท่านชายถอยกลับโดยเร็ว ที่นี่ไม่อาจรั้งอยู่ได้อีกแล้ว” 

 

 

จูจั้นรั้งม้ามองไปด้านหน้า บนทุ่งกว้างคล้ายมีเสียงร่ำไห้ตะโกนของชาวบ้านลอยมาแว่วๆ 

 

 

“จะทิ้งได้อย่างไร จะทิ้งได้อย่างไร” เขาเอ่ยเสียงแผ่วเบา พูดพลางก็เตะท้องม้า ดาบยาวในมือชี้ไปด้านหน้า ควบผ่านนายทหารคนนี้ไปข้างหน้า 

 

 

คนด้านหลังร่างก็ไม่รั้งหยุดสักนิดเช่นกัน ตามหลังร่างจูจั้นไปติดๆ ตะลุยไปข้างหน้า 

 

 

“พวกเจ้าบ้าไปแล้ว!” นายทหารตะโกน ร้อนรนและไม่เข้าใจ “ทหารจินจะมาแล้ว” 

 

 

ก็เพราะทหารจินจะมาแล้ว ดังนั้นถึงพุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่ลังเลสักนิด 

 

 

ทิ้งไม่ได้ ทิ้งไม่ได้ ช่วยได้คนหนึ่งก็คนหนึ่ง ไม่เช่นนี้ประชาชนเหล่านี้จะมีจุดจบอย่างไร พวกเขาเห็นมากับตาแล้ว 

 

 

ม้าศึกควบทะยาน เบื้องหน้าเมืองยิ่งชัดเจนขึ้นทุกที 

 

 

นายทหารทุกคนกำดาบยาวในมือแน่น รอคอยศึกชโลมเลือดที่กำลังจะมาถึง 

 

 

เสียงฮูมฮูมคล้ายลอยมาจากขอบฟ้า 

 

 

กองทหารที่ควบม้าเร็วรี่อยู่ตะลึงเล็กน้อย จูจั้นเงยศีรษะขึ้น ในดวงตาเผยความประหลาดใจจางๆ 

 

 

นี่เป็นแตรสัญญาณถอยทัพ? 

 

 

………………………………………. 

 

 

นี่เป็นแตรสัญญาณถอยทัพของชาวจิน 

 

 

หยางจิ่งมั่นใจมาก ได้ยินเสียงแตรสัญญาณฮูมฮูมเบื้องหน้าพลันมองเห็นทหารจินหลังสู้รบระลอกหนึ่งเหล่านั้นถอยหลังไปจริงๆ 

 

 

นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้น? 

 

 

ส่วนพวกเซี่ยหย่ง หลี่กั๋วรุ่ยด้านหน้าที่หลังสู้รบมารวมกลุ่มกันใหม่ก็สีหน้าฉงนสนเท่ห์ 

 

 

พวกเขาหอบหายใจ บนร่างบนหน้ารอยเลือดเป็นลายพร้อย มองดูทหารจินที่ผละถอยประหนึ่งน้ำหลากเหล่านี้สีหน้าไม่ได้ผ่อนคลายลง 

 

 

“ใช่กำลังพลทหารจินรวมตัวพร้อมเตรียมโจมตีระลอกใหม่หรือเปล่า?” แม่ทัพคนหนึ่งเอ่ย 

 

 

เป็นไปได้อย่างที่สุด 

 

 

เซี่ยหย่งใช้แขนที่ได้รับบาดเจ็บกำดาบยาวแน่น 

 

 

“จัดแถว ตั้งกระบวนทัพ” เขาตวาด 

 

 

………………………………………. 

 

 

ตะวันฉายส่องแสงแรงกล้า สายลมฤดูใบไม้ผลิโชยไล้ใบหน้า เสียดายแต่ในอากาศอบอวบกลิ่นคาวเลือด ไม่อาจทำให้คนลุ่มหลง 

 

 

กระบวนทัพสี่เหลี่ยมยืนนิ่งไม่รู้นานเท่าไร ตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่เห็นทหารจินพุ่งมาอีก 

 

 

เลือดไหลร่วงจากหน้าผากมาถึงหางตา กะพริบตาแล้วก็ยังไม่อาจทำให้สายตากระจ่างชัด เซี่ยหย่งไม่อาจไม่ยกมือขึ้นเช็ด 

 

 

การเคลื่อนไหวนี้ท่ามกลางกระบวนทัพสี่เหลี่ยมอันเคร่งครัดเป็นระเบียบสะดุดตาเป็นพิเศษ 

 

 

ในฐานะหัวหน้านี่เป็นการเคลื่อนไหวที่ไม่อาจอภัยได้ แต่เซี่ยหย่งตอนนี้ไม่คิดสืบสาวเรื่องนี้ 

 

 

“เรื่องราวไม่ถูกต้องอยู่นะ” เขาหันหน้ามาเอ่ยขึ้น