143 หนึ่งศรทะลวงฟ้า

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล

Sign in Buddha’s palm 143 หนึ่งศรทะลวงฟ้า

 

“สบายใจได้”

 

ชายหน้าตาเฉยเมยส่ายหัวเล็กน้อย

 

ท่าทีของชายผู้ไม่แยแสสิ่งใดผู้นี้ทําให้เหล่าราชาหัวเมืองทั้งสิบเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ในยามที่อยู่ในสนามรบเช่นตอนนี้ พวกเขาก็ยังเริ่มพูดคุยหัวเราะต่อกระซิกกัน

 

“แต่ว่า”

 

“พูดก็พูดเถอะ อาณาจักรถังมีภูมิหลังอยู่ไม่น้อยจริงๆ มีบรรพบุรุษเก่าแก่ซ่อนตัวอยู่ภายในวังหลวง ถ้าไม่ใช่ว่ามีผู้อาวุโสมาด้วย ข้าก็คงไม่กล้าลุกขึ้นก่อกบฏ”

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของราชาฟ่านหยาง และกล่าวคําใส่อารมณ์

 

“ที่จริงอาณาจักรแห่งนี้ก็ก่อตั้งขึ้นมากว่าห้าร้อยปีแล้ว”

ราชาหัวเมืองคนอื่นๆ ก็รู้สึกเช่นเดียวกันและพยักหน้าเห็นด้วย

 

“ไม่เป็นไร บรรพบุรุษเก่าแก่จากวังหลวงจะไม่ปรากฏตัวจนกว่าทหารของพวกเราจะเข้าใกล้เมืองฉางอัน และหากพวกเขาปรากฏตัวขึ้นก็จะถูกผู้อาวุโสยับยั้งเอาไว้ เราก็ สามารถบุกทะลวงฆ่าสังหารอีกฝ่ายได้ด้วยกองทัพนับล้าน…”

 

ร่องรอยความโหดเหี้ยมปรากฏขึ้นบนใบหน้าของราชาเป่ยถิง

 

ในโลกที่จอมยุทธเป็นใหญ่ในยุทธภพ แต่อาณาจักรก็ยังเหนือกว่าจอมยุทธ เพราะเหตุใด?

 

แน่นอนว่าเป็นเพราะกองทัพ

 

ภายใต้ขอบเขตวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้น แม้ว่าจะเป็นยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุด ถ้าติดอยู่ในกองทัพทหารนับล้านนาย ก็ย่อมต้องตกตายอย่างไม่อาจหลีกหนี้ 

 

แน่นอนว่าโดยปกติคงไม่มียอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดคนไหนจะคิดที่จะกระโจนเข้าสู่วงล้อมกองทัพนับล้านหรอก 

 

ด้วยความเร็วอันน่าสะพรึงกลัวของยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุด หากต้องการจะจากไปกองทัพนับล้านก็ไม่มีทางไล่ตามไปทัน

 

แต่ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นคือในกรณีที่ไม่มียอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดคนอื่นมาปิดกั้นเส้นทางเอาไว้

 

หากมีการปิดกั้นเส้นทางจากยอดปรมาจารย์ระดับชั้น ที่หนึ่งขั้นสูงสุด การล้อมปราบปรามโดยกองกําลังนับล้านก็อาจจะเทียบได้กับตาข่ายฟ้าดินที่ล้อมจับได้แม้กระทั้งยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุด

 

“เมื่อเราบุกเข้าไปในเมืองฉางอัน ข้าจะตัดหัวจักรพรรดิถังมาด้วยตัวของข้าเอง เพื่อให้พวกมันรู้ว่าขุนนางหัวเมืองมิใช่จะนั่งรอเฉยๆ ให้ใครมาจูงจมูกก็ได้”

 

ราชาเจี้ยนหนานพูดเยาะเย้ย

 

“เอาล่ะ”

 

“พวกเจ้าคิดจะแบ่งดินแดนกันอย่างไรหลังจากอาณาจักรถังถูกทําลาย?” ในขณะนั้นชายหน้าตาเฉยเมยก็พูดขึ้น

 

“แบ่งดินแดน…”

 

ทันทีที่คําพูดนั้นถูกกล่าวออก ไฟปรารถนาอันร้อนแรงจู่ๆ ก็ลุกโชนอยู่ภายในดวงตาของราชาหัวเมืองทั้งสิบ

 

ไม่ใช่เพราะเรื่องนี้หรอกหรือที่พวกเขาถึงกับยอมเสี่ยงก่อกบฏ?

 

“ผู้อาวุโส”

 

“พวกเราคงต้องคิดเรื่องนี้ในภายหลัง”

 

“ในเวลานั้นเราจะแบ่งอาณาจักรถังกันอย่างเท่าเทียม”

 

ราชาชวอฟางกะพริบตาและพูดอย่างสุภาพกับชายผู้ไม่แยแสสิ่งใด

 

“โอ้?”

 

“แบ่งแยกอย่างเท่าเทียม?”

 

ชายหน้าตาเฉยเมยมองราชาหัวเมืองคนอื่นๆ ด้วยรอยยิ้ม

 

ถ้าเป็นเรื่องอื่นมันก็คงแบ่งให้เท่าเทียมได้ แต่กับเรื่องอย่างแบ่งอาณาจักร ใครเล่าจะไม่อยากครอบครองพวกมันทั้งหมด?

 

พระราชวังถัง

 

ตําหนักไท่จี๋

 

มีทหารนําข่าวจากแนวหน้ามารายงาน

 

“ในบรรดากองกําลังพันธมิตรของราชาหัวเมือง สงสัยว่าอาจมียอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดอยู่ด้วยงั้นหรือ?”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงเหลือบมองรายงาน

 

“ทั้งยังมีมากกว่าหนึ่งคน?”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงเคร่งเครียดอย่างยิ่ง

 

แม้ว่าพระองค์จะเดามานานแล้วว่าที่ราชาหัวเมืองก่อกบฏขึ้นมาอย่างกะทันหันจะต้องมีเหตุผลบางอย่าง ความเป็นไปได้สูงสุดคือพวกเขามีความมั่นใจล้นปรี่ 

 

แต่จักรพรรดิถังหลี่เชิงไม่ได้คาดคิดว่าความมั่นใจที่อีกฝ่ายมีจะเป็นยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดที่มาด้วยมากกว่าหนึ่งคน

 

รู้หรือไม่ว่าแม้แต่ตอนที่จักรพรรดิพระองค์ก่อนยังมีชีวิตอยู่ ยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดภายในพระราชวังถังก็ยังมีแค่จ้าวกงกงเท่านั้นเลย

 

“สั่งทหารให้ถอยกลับมาให้หมด อย่าเข้าไปประชิดอีกฝ่าย”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงสูดลมหายใจเข้าแล้วพูดด้วยน้ําเสียงลุ่มลึก

 

ถึงแม้วิธีการนี้จะเท่ากับสละดินแดนบางส่วนของราชวงศ์ถังให้กองทัพราชาหัวเมืองรุกคืบเข้ามาได้ แต่มันก็ไม่มีทางเลือกอื่น

 

ฝ่ายตรงข้ามมียอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดและกองทัพทหารจํานวนนับล้าน กองทัพของอาณาจักรถังเป็นธรรมดาที่จะไม่สามารถต้านทานได้

 

ในกรณีนี้เหตุใดจึงไม่รวมกําลังทั้งหมดกลับมาสู้ตายที่ด้านนอกเมืองฉางอันเล่า?

 

แม้ว่าจักรพรรดิหลีเชิงจะรู้ว่ามีผู้ที่แข็งแกร่งอยู่ในวังหลวงแต่เนื่องจากองค์ชายกล้าที่จะก่อกบฏแสดงว่าพวกเขาคาดการณ์เรื่องต่างๆ มานานแล้วและถึงกับมีวิธีแก้ไขสถานการณ์

 

เพราะอย่างไรการที่ตัวตนผู้แข็งแกร่งภายในวังหลวงออกมาช่วยเหลือหลายต่อหลายครั้งก่อนหน้า ก็ไม่ได้เป็นความลับใด

 

แม้ว่าองค์ชายเหล่านั้นจะทะเยอทะยานแต่ก็มิใช่คนโง่ พวกเขาต้องชั่งน้ําหนักผลดีผลเสียก่อนจะก่อกบฏเรียบร้อยแล้ว

 

ยืนยันจนมั่นใจ แล้วจึงก่อกบฏ

 

ภายในตําหนักชุนฝั่งขวา

 

ฮองเฮาซูเยว่หยุนดูเศร้าหมอง

 

“พี่สาม ไม่นานมานี้เพราะเรื่องพวกกบฏ ฝ่าบาทจึงบรรทมหลับไม่ได้เลยทั้งคืน…” ฮองเฮาซูเยว่หยุนถอนหายใจออกมาเบาๆ

 

“ข้าก็ได้ยินมาบ้างเหมือนกัน”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อยและพูดคุยอย่างเป็นกันเอง “แต่ไม่ต้องกังวล ทุกอย่างจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว…”

 

“อย่างรวดเร็ว…” ฮองเฮาซูเยว่หยุนจะหัวเราะก็ไม่ได้ร้องไห้ก็ไม่ออก

 

ฮองเฮาซูเยวหยุนรู้จักจักรพรรดิหลี่เชิงดี ถ้ามันเป็นเรื่องง่ายดาย จักรพรรดิหลี่เชิงจะนอนไม่หลับทั้งคืนได้อย่างไร?

 

“ พี่สาม”

 

“ข้ามาที่นี่เพื่อคุยเรื่องราวบางอย่างกับพี่”

 

ฮองเฮาซูเยว่หยุนคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นอย่างระมัดระวัง

 

“เกิดอะไรขึ้น?” ซูฉินประหลาดใจเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเคยได้ยินน้องสาวของเขาพูดกับเขาด้วยน้ําเสียงเช่นนี้

 

“คืนนี้ช่วยพาหว่านเอ๋อกับหยวนเอ๋อออกจากเมืองนี้ไปได้หรือไม่…” ซูเยว่หยุนพูดด้วยดวงตาที่แดงก่ํา

 

“ออกจากเมืองฉางอัน?”

 

ซูฉินก็คิดได้ถึงสิ่งที่ซูเยว่หยุนกําลังกังวลอยู่

 

ราชาหัวเมืองทั้งสิบมีกําลังพลนับล้าน สถานการณ์ภายในอาณาจักรถังก็ดูไม่ค่อยสู้ดี หากเมืองฉางอันถูกตีแตก ถ้าซูฉินพาหลี่หยวนกับหลีหว่านไปด้วย พวกเขาก็คงพอจะหลบหนี้ได้

 

“อย่าได้กังวลไปเลย”

 

ซูฉินยิ้มแล้วกล่าวขึ้นว่า “กลับไปนอนซะ แล้วทุกอย่างจะ ดีขึ้นเมื่อเจ้าตื่นมาอีกครั้ง”

 

“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”

 

ฮองเฮาซูเยว่หยุนถอนหายใจเบาๆ และหลังจากพูดคุยกันอีกนิดหน่อยกับซูฉิน นางก็ออกจากตําหนักขุนฝั่งขวาไป

 

หลังจากที่ซูเยวหยุนจากไปอย่างสมบูรณ์ ซูฉินก็ค่อยๆ เดินออกจากตําหนักขุนฝั่งขวาและมองไปทางกองทัพของเห ล่าราชาหัวเมือง

 

“ก่อกบฏ?”

 

“กองทัพนับล้าน?”

 

เกิดวังวนที่ยากจะอธิบายขึ้นในม่านตาของซูฉินมันหมุนวนไปอย่างช้าๆ

 

ดวงตาแห่งสัจจะถูกเปิดออกจับตามองพลังฉีฟ้าดิน และ เปิดใช้ควบคู่ไปกับวิชาปราณีฟ้ากําหนด เมื่อทั้งสองซ้อนทับกันก็เพียงพอแล้วที่ซูฉินจะมองทะลุทะลวงครึ่งหนึ่งของพื้นที่ในอาณาจักรถังส่วนเล็กๆ นี้ได้อย่างรวดเร็ว

 

“ถ้าราชาหัวเมืองอยู่แต่ในดินแดนของตนเองอย่างสงบเสงี่ยม ข้าก็คร้านจะสนใจ”

 

ซูฉินดูสงบนิ่ง

 

“แต่ตอนนี้พวกเขากลับคิดก่อกบฏงั้นหรือ?”

 

ดวงตาของซูฉินนั้นลึกล้ํายิ่ง

 

“เจอตัวแล้ว”

 

ดูเหมือนว่าซูฉินจะค้นพบบางสิ่ง และจับจ้องสถานที่นั้นในทันที มันอยู่ห่างออกไปหลายพันลี้

 

ชั่วครู่เดียวหลังจากนั้น

 

ซูฉินก้าวเท้าออกไป ยื่นมือขวาไปข้างหน้า สะบัดมือเล็กน้อยไปมาในอากาศ

 

หวึ่ง!!

 

ประกายแสงจํานวนมากจู่ๆ ก็ไหลมารวมกัน

 

ทันใดนั้นแสงประกายที่ดูศักดิ์สิทธิ์ก็กลายเป็นคันธนูที่โผล่ออกมาจากความว่างเปล่า บัดนี้ได้มาอยู่ในมือของซูฉินแล้ว

 

ในเวลาต่อมา

 

มือขวาของซูฉินถือคันธนู มือซ้ายทาบไปบนเส้นเชือก

 

ปึด!!

 

ธนูเปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นทรงคล้ายพระจันทร์เต็มดวง

 

ฟู่ว!!!

 

พลังฉีฟ้าดินในรัศมีหลายสิบจู่ๆ ก็กลายเป็นโกลาหล ก่อตัวเป็นคลื่นพลังขนาดยักษ์โถมเข้ามาหาซูฉินอย่างต่อเนื่อง

 

พูดให้ถูกก็คือมันกําลังมารวมตัวกันที่ธนูเก้าประกายในมือของซูฉิน

 

เป็นฉากที่ตระการตาอย่างยิ่ง

 

พลังที่น่าสะพรึงกลัวแผ่ขยายออกไปทั่วรัศมีหลายสิบลี้ในชั่วพริบตา

 

ยอดฝีมือที่อยู่ในขอบเขตสามระดับบนต่างก็รู้สึกถึงแรงกดดัน

 

“นั่นคือ?”

 

ด้านนอกศาลบรรพชนของวังหลวง สีหน้าของผู้ดูแลศาลฯ ก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก

 

ในเวลานี้เขารู้สึกได้ว่าพลังฟ้าดินนั้นหลุดการควบคุมพุ่ง เข้ามาภายในวังหลวงอย่างรวดเร็ว

 

“เกิดอะไรขึ้น?”

 

ผู้ดูแลศาลฯ ตกใจตัวสั่นไปทั้งตัว

 

ไม่เพียงแต่ผู้ดูแลศาลฯ เท่านั้น แต่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งหลายสิบคนในวังหลวงต่างก็ตื่นตระหนกไม่แพ้กัน ในยามนี้พวกเขาดูเหมือนจะต้องเผชิญกับพลังที่แท้จริงของฟ้าดิน

 

และในเวลานั้นเอง

 

ที่ด้านหน้าตําหนักชุนฝั่งขวา

 

ซูฉินถือธนูด้วยมือขวาและรั้งสายธนูด้วยมือซ้าย พลังอันไร้เปรียบของฟ้าดินเข้ามารวมตัวกันกลายเป็นลูกศร วางพาดไปตามคันธนู

ทันทีที่ลูกศรก่อตัวขึ้นมามันก็ควบแน่นจากสารพลังงานกลายเป็นสิ่งของรูปธรรมอย่างรวดเร็ว จิตสังหารอันน่าหวาดผวาหมุนวนรอบลูกศรจนทําให้เกิดแสงวูบวาบ ที่น่ากลัวเสียยิ่งกว่าสายฟ้าฟาด