Sign in Buddha’s palm 144 ขจัดทิ้ง

ภายในโถงชีวิตนิรันดร์

 

จักรพรรดิหลี่เชิงแห่งราชวงศ์ถังกําลังกังวลใจเกี่ยวกับเรื่องกองทัพพันธมิตรของเหล่าราชาหัวเมือง

 

ในตอนนั้นเอง จักรพรรดิถังก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาโดยพลัน

 

แม้คนธรรมดาจะมองไม่เห็นความผันผวนของพลังฟ้าดิน แต่เมื่อพลังฟ้าดินจากหลายสิบลี่มารวมตัวกัน พวกเขาก็จะรู้สึกถึงอันตรายเหมือนถูกสัตว์ร้ายจ้องมอง

 

“เกิดอะไรขึ้น?”

 

จักรพรรดิถังหลี่เชิงดูประหลาดใจและสงสัย

 

“ฝ่าบาท”

 

ร่างของหลิวกงกงปรากฏขึ้นต่อหน้าองค์จักรพรรดิหลี่เชิง และพูดออกมาด้วยเสียงอันสั่นเทา “พลังฟ้าดิน พลังฟ้าดินหลุดจากการควบคุมอย่างสมบูรณ์”

 

น้ำเสียงของหลิวกงกงเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

 

ในฐานะยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง หลิวกงกงย่อมสามารถรับรู้พลังฟ้าดินได้เป็นธรรมดา แต่ในตอนนี้เขาพลันรู้สึกถึงพลังฟ้าดินที่แต่เดิมอ่อนโยนและเรียบง่ายกลาย เป็นรุนแรงเกรี้ยวกราด

 

ถูกล้อมรอบไว้ด้วยพลังฟ้าดินเช่นนี้ หลิวกงกงรู้สึกได้ว่าความแข็งแกร่งเก้าในสิบส่วนของตนถูกสะกดเอาไว้ และยิ่งเวลาผ่านไปแรงกดดันนั้นก็ยิ่งเพิ่มขึ้น

 

พลังฟ้าดินที่จู่ๆ ก็มารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว สําหรับคนธรรมดาอาจทําให้รู้สึกว่าจิตใจหดหูรู้สึกไม่สบายใจ แต่ในสายตาของจอมยุทธขอบเขตสามระดับบนที่ต้องแบกรับพลังฟ้าดินเอาไว้ก็ไม่ต่างจากเอาร่างไปปะทะกับภัยธรรมชาติ

 

ไม่เพียงแต่จ้าวกงกงเท่านั้น แต่ยอดยุทธขอบเขตสามระดับบนในเมืองฉางอันต่างเป็นเช่นนี้กันหมด

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ด้านหน้าตําหนักชุนฝั่งขวา

 

ซูฉินกําลังถือธนูเก้าประกาย ดวงตาลุ่มลึก และตอนนี้ลูกศรที่พาดอยู่บนคันธนูก็ควบแน่นอย่างสมบูรณ์

 

ฟู!

 

ชี่!

 

ลูกธนูดูดกลืนพลังฟ้าดินจากทุกทิศทางราวกับมันมีชีวิต

 

“ใกล้แล้ว”

 

ซูฉินหรีตาลงเล็กน้อย ค่อยๆ ปรับระดับลูกศรให้เล็งไปยังตําแหน่งที่เขาจับจ้องด้วยดวงตาแห่งสัจจะควบคู่กับวิชาปราณฉีฟ้ากําหนด

 

และแล้ว

 

ผึง!!

 

ซูฉินปล่อยมือซ้ายออกจากสายรั้งของธนูเก้าประกาย

 

ฟิ่ว!!!

 

ราวกับโยนหินกระทบแม่น้ํา

 

ลูกธนูจากธนูเก้าประกายซึ่งเต็มไปด้วยเจตจํานงอันน่าหวาดหวั่น กลายเป็นเส้นแสงส่องประกาย ยิงไปยังทิศทางหนึ่งด้วยความเร็วที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง

 

ในขณะนั้น ไม่ว่าจะเป็นกองทัพทหารภายในวังหลวงหรือจะเป็นพลเรือนบางคนภายในเมืองฉางอัน พวกเขาต่างก็ได้เห็นฉากที่ไม่อาจลืมได้ลง

 

แสงอันงดงามพุ่งออกจากส่วนลึกของพระราชวังแล้วหาย ไปในท้องฟ้าและมวลหมู่เมฆ

 

ตําหนักขุนฝั่งขวา

 

ซูฉินคลายมือจากคันธนูแล้วจึงใส่กลับเข้าไปในคลังของ ระบบความคิดของเขาผันผวนเล็กน้อย

 

และเพราะธนูเก้าประกายได้หายไป พลังฟ้าดินที่จู่ๆ รุนแรงขึ้นมาก็สงบลงอย่างช้าๆ กระจายออกไปทั่วทุกทิศกลับไปยังรัศมีสิบสี่โดยรอบ

 

“ไม่คาดคิดเลยว่าพลังธนูเก้าประกายจะดูดพลังงานเยอะ มากขนาดนี้?”

 

“ถ้าข้ายิงธนูหลายสิบดอกติดต่อกัน มันจะมิกินพลังงานของจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของข้าไปหนึ่งส่วนสิบเลยหรอกหรือ…”

 

ซูฉินดูประหลาดใจ

 

ธนูเก้าประกายเป็นสมบัติจิตวิญญาณที่ละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง การที่จะสามารถรั้งสายธนูได้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับแรงกาย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับแก่นแท้แห่งพลังที่ต้องใช้มีเพียงจิต สัมผัสศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น

 

“ข้ารู้สึกได้ว่าลูกศรที่ยิงออกไปเมื่อครู่ยังไม่ใช่ขีดจํากัดของมัน หากข้ารั้งสายธนูเอาไว้พลังของลูกศรคงจะพุ่งขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ในขณะเดียวกันมันก็กินพลังงานจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เพิ่มขึ้นไปด้วย”

 

ซูฉันรู้สึกถึงสิ่งเหล่านี้ได้จากตอนที่เขายิงธนูออกไป

 

แม้แต่ซูฉินเองยังรู้สึกได้เลยว่า หากเขาใช้พลังงานจนหมดสิ้น ลูกศรที่ยิงออกไปก็สามารถจัดการกับขอบเขตตํานานยุทธได้เลย ยกเว้นแต่จะเป็นตํานานยุทธระดับนภา ชั้นที่เจ็ดที่สามารถควบแน่นอาณาเขต ” ขนาดเล็กของตนเองได้แล้ว ส่วนตํานานยุทธระดับอื่นๆ ไม่สามารถหยุดลูกศรนี้ได้เลย

 

และแน่นอนซูฉินจะไม่ทดลองทําสิ่งนั้นดูหรอก

 

ควรรู้ว่าสําหรับจอมยุทธที่ควบแน่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว และจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์หมดลง ความแข็งแกร่งของพวกเขาย่อมลดลงไปอย่างมาก แม้ว่าซูฉินจะมีไพ่ลับอีกมากมาย การที่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์หมดลงจริงๆ ก็คงจะมีวิธีการเอาตัวรอดอื่น แต่เขาคงไม่พาตัวเองไปตกอยู่ในอันตรายตั้งแต่แรกแน่

 

“ในตอนที่เอาธนูเก้าประกายออกมา พลังฟ้าดินที่ไหลมารวมตัวกันเสมือนถูกบีบบังคับ?”

 

ซูฉินแตะปลายคาง ใบหน้ามีแววครุ่นคิด

 

โดยปกติพลังของฟ้าดินที่ถูกรวบรวมโดยค่ายกลฟ้าดิน เช่น ค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์จะถูกกลั่นกรองมาแล้ว และซูฉินก็จะสามารถดูดซับมันได้อย่างมีเสถียรภาพ

 

แต่พลังฟ้าดินที่ธนูเก้าประกายชักนํามานั้นเป็นความเกรี้ยวกราดรุนแรงอย่างสมบูรณ์

 

ที่กองทัพของเหล่าองค์ชาย

 

“รายงาน กองทัพอาณาจักรถังล่าถอยกลับไปแล้ว เหมือนว่าจะวางแผนที่จะไม่ประชิดกับกองทัพของเรา”

 

ทหารคนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว คุกเข่าลงข้างหนึ่ง แล้วกล่าวรายงานด้วยความเคารพ

 

“ถอยกลับ?”

 

“เป็นไปได้ไหมว่าจักรพรรดิถังจะกลัวพวกเรา?”

 

ราชาอันหยางเยาะเย้ยเมื่อได้ฟังคํารายงาน

 

ยิ่งจักรพรรดิหลี่เชิงเป็นเช่นนี้ ก็พิสูจน์ได้ว่าอีกฝ่ายจิตใจไม่มั่นคง

 

“จักรพรรดิถังอาจจะต้องการรวบรวมกําลังพลทั้งหมด เพื่อเตรียมตั้งรับกับกองทัพขุนนางหัวเมืองของพวกเราที่นอกเมืองฉางอัน”

 

ราชาชวอฟางคิดอยู่ครู่หนึ่ง และกล่าวออกมาด้วยน้ําเสียงที่ส่อแววชื่นชมไม่น้อย

 

แม้ว่าเขาจะยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับจักรพรรดิถัง ราชาชวอฟางก็รู้สึกว่าการตัดสินใจเลือกของจักรพรรดิถังนั้นไม่ได้ ผิดปกติ

 

ละทิ้งพื้นที่ผืนเล็กๆ เพื่อแลกกับความแข็งแกร่งของกองทัพ โอกาสในการชนะจะเพิ่มขึ้น อาจจะกล่าวได้ว่าจักรพรรดิถังทําทุกอย่างเท่าที่ทําได้แล้ว

 

“น่าเสียดาย…”

 

ราชาชวอฟางถอนหายใจเล็กน้อย มองไปยังชายหน้าตาเฉยเมยที่อยู่ไม่ไกลและกล่าวอย่างให้ความเคารพ “ด้วยการ มีผู้อาวุโสอยู่ด้วย จักรพรรดิถังมีแต่จะต้องเศร้า เสียใจเท่านั้น”

 

คําที่กล่าวออกมา

 

ทําให้รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของราชาหัวเมือง อีกเก้าคนที่เหลือ

 

ชายหน้าตาเฉยเมยก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยโดยที่ไม่พูดอะไร

 

ออกมา

 

ขณะที่ราชาหัวเมืองกําลังคิดกันอยู่ว่าจะแบ่งสมบัติจากวังหลวงอย่างไร หลังจากยึดเมืองฉางอันได้แล้ว

 

ทหารอีกคนก็รีบวิ่งเข้ามา

 

“ด้านนอกด้านนอก เกิดเรื่องขึ้นที่ด้านนอก…” 

 

น้ําเสียงของทหารคนนั้นดูร้อนรน เผยให้เห็นถึงความหวาดกลัว

 

“เกิดอะไรขึ้น?”

 

ราชาเจี้ยนหนานขมวดคิ้ว

 

จะมีอะไรเกิดขึ้นได้กัน ในเมื่อพวกเขาอยู่กันเป็นกองทัพขนาดนี้?

 

ราชาชวอฟางดูงงงวย จากมุมของเขาด้วยการคุ้มกัน จากกองทหารนับล้านในตอนนี้ ทั้งยังมียอดฝีมือมากมายที่อยู่กับพวกเขา สถานที่นี้ควรจะปลอดภัยที่สุด มันจะเกิดอะ ไรขึ้นได้กัน?

 

มีเพียงชายหน้าตาเฉยเมยเท่านั้นที่สีหน้าเปลี่ยนไป รีบลุกขึ้นยืนและเดินออกจากกระโจมไป

 

เมื่อเห็นเช่นนี้ราชาหัวเมืองทั้งสิบก็หันมองหน้ากันเองและ รีบเดินตามออกไป

 

เมื่อราชาหัวเมืองทั้งสิบเดินออกมาจากกระโจม พวกเขาก็สังเกตเห็นประกายแสงจางๆ มาจากปลายขอบฟ้า

 

ท่ามกลางสายตาที่ตื่นตะลึงของเหล่าราชา

 

แสงที่ดูศักดิ์สิทธิ์ยังคงใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดก็กลายเป็นลูกศรขนาดใหญ่สีจางๆ ซึ่งพุ่งทะลวงมาจากหลายพันล้ํา

 

“ไม่ดีแล้ว!”

 

ราชาชวอฟางขนหัวลุกชัน

 

ไม่ใช่เพียงแค่ราชาชวอฟางเท่านั้น แต่ชายหน้าตาเฉยเมยที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็เหงื่อไหลเย็นเยียบ

 

ในเวลาต่อมา

 

แสงสว่างที่ดูศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นลูกศรขนาดมหึมาในทันที และครอบคลุมค่ายทหารบริเวณที่ราชาหัวเมืองทั้งสิบกําลังยีนอยู่อย่างสมบูรณ์

 

ในขณะที่ถูกธนูแสงขนาดมหึมาครอบคลุมไว้ ภายในค่ายทหารก็มีเสียงร้องคํารามแว่วออกมา และถึงกับมีกลิ่นอาย ของยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดโผล่ขึ้นมา

 

อย่างไรก็ตามกลิ่นอายเหล่านั้นก็อยู่ได้เพียงชั่วครู่ ก่อนที่มันจะโดนทําลายล้างอย่างสมบูรณ์ด้วยศรแสงศักดิ์สิทธิ์ขนาดใหญ่

 

ไม่ว่าลูกศรจะผ่านไปที่ใด ทุกสิ่งก็ถูกกวาดทําลายด้วยอํานาจพลังที่แสนรุนแรง ราชาหัวเมืองทั้งสิบต่างไม่สามารถตอบสนองได้ทัน ร่างสลายกลายเป็นความว่างเปล่าไป ภายในบัดดล