ภาคแคว้นติ้ง บทที่ 29 บุญคุณความแค้นในอดีต (2)

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

“ซูซู!” ตงฟางเจ๋อหน้าเปลี่ยนสี รีบลุกขึ้นยืน

เซี่ยอวิ๋นเซวียนเองก็ไม่อยากเชื่อเช่นกัน นาง นางกลับคืนกระบี่ให้เขาง่ายๆ เช่นนี้? เขารับกระบี่ดุจสายน้ำกลับไปราวกับฝันไป เนิ่นนานก็ยังไม่พูดอะไร

“กระบี่ล้ำค่าคู่ควรกับหญิงงาม มีเพียงซูซูที่คู่ควรกับกระบี่ล้ำค่าแห่งยุคเล่มนี้ มันเป็นคู่กับกระบี่ประกายแสงแต่แรกอยู่แล้ว! กระบี่ดุจสายน้ำอยู่กับเซี่ยอวิ๋นเซวียนก็ไม่มีประโยชน์อันใด เป็นได้เพียงเครื่องประดับเท่านั้น!” ใบหน้าของตงฟางเจ๋อเคร่งเครียด สายตาคมปลาบดั่งมีด “ยิ่งไปกว่านั้นด้วยโทษที่สกุลเซี่ยทรยศชาติบ้านเมือง เซี่ยอวิ๋นเซวียนแม้นตายร้อยครั้งก็ยังไม่อาจชดใช้ความผิด! หากมิใช่เซี่ยหย่วนหางใช้กลยุทธ์หลี่ตายแทนเถา[1] ตามหาคนมาเป็นตัวตายตัวแทนให้เขา เขาจะอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ได้เช่นไร?!”

“ข้า ข้าไม่รู้” เซี่ยอวิ๋นเซวียนใบหน้าซีดเผือด กำกระบี่ดุจสายน้ำในมือแน่น กล่าวอย่างตกตะลึง “ตอนนั้นข้าถูกท่านพ่อขังไว้ในห้องต้องห้ามหลังเขา บ่าวรับใช้ไม่มาส่งอาหารตามเวลา ข้ารอแล้วรอเล่า รู้สึกไม่ชอบมาพากล จึงแอบลงจากเขา แล้วก็เห็นทหารมากมายล้อมสวนอย่างแน่นหนาจากที่ไกลๆ…”

เขาพลันหยุดพูดไปครู่หนึ่ง หลับตาอย่างเจ็บปวด ลมหายใจไม่สม่ำเสมอ ถอยหลังไปสองสามก้าวแล้วเสียหลักล้มนั่งบนเก้าอี้ ราวกับไม่อยากหวนนึกถึงภาพอันโหดร้ายอีก ผ่านไปครู่หนึ่งจึงฝืนกล่าวต่อว่า “ข้าไม่กล้าวู่วามเข้าใกล้ จึงแอบดำน้ำจากทะเลสาบด้านนอกเข้าไปในบ่อน้ำกลางสวน ตอนนั้นท่านพ่อกับท่านแม่…ตายแล้ว สถานการณ์โกลาหลมาก ไม่มีใครสังเกตเห็นข้าที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ภูเขาจำลอง คืนนั้น สำนักกระบี่เหล็กนองไปด้วยเลือด ทั่วสวนเต็มไปด้วยศพไร้วิญญาณ…”

ตงฟางเจ๋อก้าวเท้าไปข้างหน้า แล้วแค่นเสียงกล่าวว่า “ตอนนับจำนวนศพหลังจบเรื่อง ค้นพบว่าคนที่ตายแทนเจ้าเป็นเพียงศิษย์ที่เพิ่งเข้าสำนักมาได้ไม่นาน เจ้าต้องขอบคุณบิดาเจ้า ที่เบี่ยงเบนสายตาของข้าออกไป มิเช่นนั้นเจ้าคิดว่าเจ้าจะหนีรอดไปได้งั้นหรือ?”

เซี่ยอวิ๋นเซวียนจ้องหน้าเขาอย่างโกรธแค้น เขากัดฟันจนเลือดแทบไหล เอ่ยด้วยน้ำเสียงเคียดแค้น “หากอยากลงโทษผู้ใด ย่อมมีเหตุผลหรือหาข้ออ้างได้เสมอ! ตงฟางเจ๋อ! วันนี้ข้าจะแก้แค้นแทนคนในสำนักของข้า!” เอ่ยจบ กระบี่ดุจสายน้ำก็พวยพุ่งออกจากฝักอย่างรวดเร็ว จนเห็นเป็นลำแสงสีเงินดั่งทางช้างเผือก!

ซูหลีตกตะลึง หากประมือกันเมื่อใด มีหรือที่เซี่ยอวิ๋นเซวียนจะรอดชีวิตไปได้? นางพุ่งตัวเข้าไปขวางด้านหน้าเซี่ยอวิ๋นเซวียนด้วยความเร็วดุจสายฟ้า ยกมือกุมไหล่ขวาเขา ออกแรงผลักเล็กน้อย เซี่ยอวิ๋นเซวียนถอยหลังไปตามแรงผลักของนาง และนั่งลงบนเก้าอี้เช่นเดิม

ซูหลีพลิกมือซ้าย กระทุ้งแขนซ้ายของเซี่ยอวิ๋นเซวียนขึ้นข้างบนเล็กน้อย วินาทีถัดมา กระบี่ดุจสายน้ำก็หลุดจากมือเขาลอยขึ้นกลางอากาศ จากนั้นก็ร่วงลงมาอยู่กลางฝ่ามือนาง ประกายสีเงินที่ไหววูบวาบถูกเสียบเก็บเข้าไปในฝัก

ใบหน้านางเคร่งขรึมลงหลายส่วน “คุณชายเซี่ย ที่ข้าคืนกระบี่ดุจสายน้ำให้ท่าน มิใช่เพื่อให้ท่านใช้ฆ่าคน!”

เซี่ยอวิ๋นเซวียนลุกขึ้นยืน คำรามเดือดดาลคล้ายสติหลุดไปแล้ว “ศัตรูอยู่ตรงหน้า หากไม่แก้แค้นก็ถือเป็นบุตรอกตัญญู!!!”

ซูหลีรีบกล่าว “สกุลเซี่ยเป็นราษฎรของแคว้นเฉิง รับใช้บ้านเมืองถือเป็นเรื่องสมควร โทษฐานทรยศชาติบ้านเมืองมีหลักฐานหนักแน่นดั่งขุนเขา ที่สำนักกระบี่เหล็กถูกสังหารมิใช่ถูกปรักปรำ! ท่านในฐานะบุตรชายสุกลเซี่ย ถึงแม้โชคดีรอดชีวิตมาได้ แต่กลับไม่อาจหลุดพ้นจากโทษนี้ไปได้! ข้าพูดผิดสักครึ่งประโยคหรือไม่?”

ดวงตาของเซี่ยอวิ๋นเซวียนรื้นไปด้วยน้ำตา เขาถมึงตาจ้องนางพร้อมกับหอบหายใจอย่างหนักหน่วง กลีบปากสั่นเทาจนพูดอะไรไม่ออก

ตงฟางเจ๋อยืนอยู่ด้านหนึ่งเนิ่นนานก็ยังไม่พูดอะไร เขาจ้องมองซูหลีด้วยสายตาครุ่นคิด แม้แต่ละประโยคของนางกำลังตำหนิสกุลเซี่ย แต่จริงๆ แล้วนางต้องการเปลี่ยนใจของเซี่ยอวิ๋นเซวียน ดูท่า…วันนี้นางคงอยากพยายามปกป้องชีวิตของเซี่ยอวิ๋นเซวียนอย่างสุดความสามารถ กลีบปากผุดยิ้มเล็กน้อยจนแทบสังเกตไม่เห็น จู่ๆ เขาก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ซูซูกล่าวถูกต้อง โทษหนักเพียงนี้ไม่อาจอภัยให้ได้ง่ายๆ ทหาร ลากตัวเซี่ยอวิ๋นเซวียนออกไปตัดหัวเดี๋ยวนี้!”

ลมหายใจของเซี่ยอวิ๋นเซวียนพลันหอบกระชั้น เขารู้ว่าวรยุทธ์ของตนเองไม่อาจหนีออกไปจากที่นี่ได้ ผงะถอยหลัง ตั้งท่าระวังตัวเล็กน้อย

“ท่าน!” ซูหลีถมึงตาจ้องเขาอย่างไม่พอใจ! รู้ทั้งรู้ว่านางตั้งใจจะทำอะไร กลับจงใจเข้ามาป่วนเรื่อง? นางกล่าวด้วยน้ำเสียงโกรธเคืองเล็กน้อย “สังหารคนมิใช่การกระทำของผู้นำที่ปราดเปรื่อง ถึงแม้สำนักกระบี่เหล็กมีความผิด แต่ฝีมือของคนในสำนักยอดเยี่ยมไร้เทียมทาน กระบี่ประกายแสงของท่าน ก็มาจากสำนักกระบี่เหล็กเช่นกัน!”

ตงฟางเจ๋อกอดอก เลิกคิ้วเอ่ยว่า “แล้วอย่างไรเล่า?”

ซูหลีสาวเท้ามาหาเขาทีละก้าวๆ “ท่านบอกว่าตนเองเป็นผู้นำที่ปราดเปรื่องเสมอมา ในเมื่อเป็นผู้นำที่ปราดเปรื่อง ก็สมควรเห็นค่าบุคคลที่มีความสามารถ มหาสมุทรจุน้ำได้มากเพราะน้อมรับมวลแม่น้ำ ท่านควรใจกว้างอภัยในความผิดที่ไม่อาจให้อภัย!”

ตงฟางเจ๋อแสร้งทำท่าครุ่นคิด พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ซูซูพูดจามีเหตุผล เช่นนั้นข้าควรทำเช่นไร?” เขาขยับเข้ามาใกล้ ในดวงตาดำขลับดั่งน้ำหมึกแฝงไว้ด้วยรอยยิ้ม

ซูหลีชำเลืองมองเซี่ยอวิ๋นเซวียนเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจแล้วบอกว่า “คุณชายเซี่ยเป็นนายน้อยแห่งสำนักกระบี่เหล็ก มากด้วยความสามารถ มิสู้…ให้เขาสร้างผลงานเพื่อไถ่โทษ เป็นเช่นไร?”

ตงฟางเจ๋อยังไม่ทันเปิดปาก เซี่ยอวิ๋นเซวียนพลันตะโกนเสียงดัง “ไม่มีทาง! แม้ตายข้าก็ไม่มีทางรับใช้ปีศาจตนนี้!”

ซูหลีชะงักงัน นางเริ่มมีน้ำโห เซี่ยอวิ๋นเซวียนผู้นี้ช่างดื้อรั้นยิ่งนัก เหตุใดเขาจึงมองไม่เห็นความหวังดีของนางเลยเล่า?

ในตอนนั้นเอง เสียงหนึ่งก็ดังเข้ามาจากด้านนอก “ฉางเล่อ!” หลางฉ่างเดินเข้ามาพร้อมกับเสียงขานเรียกอันอ่อนโยน

ทุกคนตกตะลึง ซูหลีหันกลับไป กล่าวด้วยน้ำเสียงตกตะลึง “เสด็จพี่? ท่านอยู่กับคุณชายเซียงในงานเลี้ยงมิใช่หรือ เหตุใด…”

หลางฉ่างเอ่ยอย่างเป็นห่วง “อย่าตำหนิพี่เลย เพราะพักนี้เกิดเรื่องขึ้นมากมาย พี่ไม่อาจวางใจ จึงได้ตามเจ้ามา” เขาหันไปมองตงฟางเจ๋อที่ยืนอยู่ด้านหนึ่ง ประสานมือกล่าวว่า “ข้าเป็นห่วงฉางเล่อ ไม่อาจรายงานท่านล่วงหน้า ก็เข้ามาโดยพลการ ฮ่องเต้แคว้นเฉิงโปรดอภัยด้วย!”

“องค์รัชทายาทเกรงใจเกินไปแล้ว” ตงฟางเจ๋อทำหน้าจริงจัง ประสานมือคารวะตอบ “คืนนี้เกิดเรื่องขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน จับตัวโจรหลบหนีผู้นี้ได้กะทันหัน จึงไม่อาจไปตามนัด ขอองค์รัชทายาทโปรดอภัยที่ข้าเสียมารยาทด้วยเช่นกัน”

“ทำให้ฮ่องเต้แคว้นเฉิงผิดนัดได้ เรื่องที่คนผู้นี้กระทำผิดจะต้องใหญ่หลวงมากแน่นอน! ไม่ทราบว่าเขากระทำผิดอะไรหรือ?” หลางฉ่างพิจารณาใบหน้าเยาว์วัยของเซี่ยอวิ๋นเซวียน สายตาเต็มไปด้วยคำถาม

ซูหลีถอนหายใจเบาๆ แล้วกล่าวว่า “คุณชายเซี่ยผู้นี้…ก็คือทายาทรุ่นหลังของสำนักกระบี่เหล็กแห่งแคว้นเฉิง นามว่าเซี่ยอวิ๋นเซวียน”

หลางฉ่างหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย เขาอุทานด้วยความตกใจ “ทายาทของสกุลเซี่ย?” เขาสาวเท้ายาวๆ เข้ามาตรงหน้าเซี่ยอวิ๋นเซวียน แล้วมองพิจารณาอย่างละเอียด เพราะเขาหันหลังให้ทุกคน จึงมีเพียงเซี่ยอวิ๋นเซวียนเท่านั้นที่มองเห็นแววตื่นตะลึงในดวงตาหลางฉ่างอย่างชัดเจน แล้วยังมีแววประหลาดใจระคนดีใจแฝงอยู่อย่างบอกไม่ถูก

ตงฟางเจ๋อเอามือไพล่หลังเดินไปเดินมา สายตาคมปลาบจ้องมองเงาด้านข้างของทั้งสอง แล้วถามคล้ายไม่ใส่ใจว่า “องค์รัชทายาทประหลาดใจถึงเพียงนี้ หรือรู้จักนักโทษผู้นี้?”

หลางฉ่างละสายตาออกไป ใบหน้าเรียบเฉยเป็นปกติ เขาสบตากับสายตาหยั่งเชิงของตงฟางเจ๋อ แล้วกล่าวอย่างเสียดาย “ข้าไม่เคยพบเขา ฝีมือการตีกระบี่ของสำนักกระบี่เหล็กยอดเยี่ยมไร้เทียมทาน มีชื่อเสียงเลื่องระบือไกลไปทั่วยุทธภพ หลางฉ่างเลื่อมใสมานาน น่าเสียดายที่ไม่เคยมีวาสนาได้พบเจอ!”

“ฝีมือตีกระบี่จะดีอีกเพียงใด ก็ไม่อาจต้านทานความละโมบในใจคน คนที่มีจิตใจทะเยอทะยานดุจหมาป่า แม้ตายก็ยังไม่สาสม!” กลิ่นอายเย็นยะเยือกพลันแผ่กำจายรอบตัวตงฟางเจ๋อ

หลางฉ่างกล่าวอย่างไม่เห็นด้วย “ฮ่องเต้แคว้นเฉิงกล่าวผิดแล้ว! นิสัยใจคอคนเราซับซ้อนยากจะควบคุม แต่ฝีมือการตีกระบี่มีความผิดใดกัน? ขอเพียงคนถือกระบี่มีปณิธานอันตั้งมั่น จะต้องสร้างประโยชน์ได้อย่างมหาศาลแน่นอน! ฮ่องเต้แคว้นเฉิง หลางฉ่างขอร้องท่านเรื่องหนึ่งได้หรือไม่?”

สายตาของตงฟางเจ๋อไหวระริก เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ท่านเป็นเสด็จพี่ของซูซู กล่าวเช่นนี้ฟังดูห่างเหินเกินไปหรือไม่ องค์รัชทายาทมีเรื่องใดโปรดกล่าวตรงๆ”

หลางฉ่างจ้องหน้าตงฟางเจ๋อตรงๆ ยกมือชี้ไปที่เซี่ยอวิ๋นเซวียนแล้วกล่าวว่า “หลางฉ่างจะพาตัวคุณชายเซี่ยกลับไปด้วย ฮ่องเต้แคว้นเฉิงโปรดอนุญาตด้วย!” ครั้นวาจานี้หลุดออกไป เซี่ยอวิ๋นเซวียนเงยหน้าด้วยความตกใจ วันนี้เขามาขโมยกระบี่ เพราะความจำเป็นบีบบังคับ จึงเตรียมใจตายไว้แล้ว นึกไม่ถึงว่าองค์รัชทายาทแห่งแคว้นติ้งผู้นี้กลับออกหน้าแทนเขา

ซูหลีลอบถอนหายใจ เสด็จพี่ทำเช่นนี้ก็เพื่อเซี่ยหมิงหยาง เพียงแต่พิรุณโปรยปรายเป็นเรื่องใหญ่ ตงฟางเจ๋อตามหาเบาะแสจนเจออย่างยากลำบาก จะยอมปล่อยไปง่ายๆ ได้เช่นไร?

ตามคาด ตงฟางเจ๋อปฏิเสธอย่างหนักแน่น “เซี่ยอวิ๋นเซวียนเป็นนักโทษหลบหนี ไม่มีเหตุผลให้ละเว้นโทษ! องค์รัชทายาททรงห่วงใยคนผู้นี้ถึงเพียงนี้ เกรงว่าจะไม่ใช่เพราะฝีมือการตีกระบี่ แต่เพราะมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงมากกว่ากระมัง!”

—————————————————————————–


[1] กลยุทธ์หลี่ตายแทนเถา เป็นกลยุทธ์จากสามก๊ก หมายถึงเสียสละบางอย่างเพื่อพลิกสถานการณ์