หลางฉ่างขมวดคิ้วกล่าวว่า “ฮ่องเต้แคว้นเฉิงหมายความว่าเช่นไร?”
ตงฟางเจ๋อสาวเท้าเข้ามา สายตาแฝงแววคมปลาบเล็กน้อย “ตอนนั้น ที่วัดบนเนินเขาสือหลี่ซึ่งอยู่ที่เมืองหลวงแคว้นเฉิง คนที่นัดรับภาพวาดและวัสดุเหล็กในการทำพิรุณโปรยปรายจากคนยกโลงศพ ก็คือองค์รัชทายาทเองกระมัง!”
หลางฉ่างเงียบงันไปชั่วขณะ ทว่ายังคงสบตากับสายตาตั้งคำถามของเขาอย่างไม่เกรงกลัว กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถูกต้องแล้ว”
ในที่สุดการคาดเดาที่เก็บไว้ในใจมาเนิ่นนานก็ได้รับการยืนยัน ความโกรธเกรี้ยวแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มหยัน “ดี! สุภาพชนผู้เที่ยงตรงเสมอมา กลับกระทำเรื่องซ่อนเร้นเช่นนี้!”
หลางฉ่างมองดูดวงจันทร์กระจ่างใสท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืน พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่แยแส “ต่อหน้ากิจแห่งชาติ ชื่อเสียงส่วนตนไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึง หลางฉ่างทำเพื่อราษฎรและบ้านเมือง ไม่คิดเสียใจ ส่วนคนอื่นจะมองเช่นไร ก็ไม่ใช่เรื่องที่ข้าควรใส่ใจ”
สีหน้าของทั้งสองไม่ดีนัก ซูหลีพลันตกใจ รีบยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ครั้งนั้นหม่อมฉันถูกฮูเอ่อร์ตูไล่ตามอย่างไม่ลดละ จึงจำเป็นต้องเข้าไปซ่อนตัวในโลงศพ นึกไม่ถึงกลับเข้าไปหลบในโลงศพที่ถูกยกไปนอกเมือง…คืนนั้น พวกเราพบกันเป็นครั้งแรก มิเช่นนั้น เกรงว่ากว่าจะได้พบเสด็จพี่ก็คงต้องรอจนถึงพิธีคัดเลือกพระชายาเสียแล้ว จะว่าไปแล้ว ฮูเอ่อร์ตูก็ถือว่าทำเรื่องดีนะเพคะ!”
เนินเขาสือหลี่ พิธีคัดเลือกพระชายา
คำเหล่านี้ฟังดูช่างห่างไกล ตงฟางเจ๋อกับหลางฉ่างหันไปมองดวงหน้างดงามของสตรีตรงหน้าโดยไม่ได้นัดหมาย
เรื่องราวในอดีตหวนกลับมาอีกครั้ง หัวใจของตงฟางเจ๋อเจ็บแปลบ ถ้าหากตอนนั้นนางไม่เจอภาพวาดและวัสดุเหล็กที่ซ่อนอยู่ในโลงศพ จะสามารถเปลี่ยนแปลงตอนจบได้หรือไม่ ยามนี้นางจะกลายเป็นฮองเฮาของเขาไปแล้วหรือเปล่า?
หลางฉ่างถอนหายใจยาวๆ ปีนั้นเขาเดินทางไปยังเมืองหลวงแคว้นเฉิงโดยใช้พิธีคัดเลือกพระชายาเป็นข้ออ้าง ก็เพราะภาพวาดและวัสดุเหล็กที่ใช้ทำพิรุณโปรยปราย แต่กลับจับพลัดจับผลูได้เจอกับซูหลี หากมิใช่แผนการส่งมอบล้มเหลว เขากับน้องสาวที่พลัดพรากจากกันไปหลายปีอาจไม่ได้พบกันตลอดชีวิตใช่หรือไม่?
ท่ามกลางความมืดมน ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นข้างหนึ่งใช้ภาพวาดและวัสดุเหล็กในการทำพิรุณโปรยปรายเป็นตัวหลอกล่อ ทำให้ทั้งสามคนเปลี่ยนความตั้งใจที่มีในตอนแรก บุญคุณความแค้นทั้งหมด ผู้ใดผิดหรือถูก ดูเหมือนยากจะตัดสินเสียแล้ว
กลางดึกอันเงียบสงัด สายลมโชยผ่าน ต้นไม้ใบหญ้าในสวนกระเพื่อมไหวดั่งคลื่น เกิดเสียงดังสวบสาบ พาให้หัวใจผู้คนปั่นป่วน
ซูหลีกวาดตามองใบหน้าเคร่งขรึมของทั้งสองอย่างแช่มช้า แล้วกล่าวอย่างปวดใจเล็กน้อย “เพียงเพราะพิรุณโปรยปราย กลับทำให้คนบริสุทธิ์มากมายต้องสละชีวิต เดิมทีควรเป็นอาวุธล้ำค่าที่ช่วยชีวิตมวลมนุษย์ เหตุใดต้องทำให้มันนองไปด้วยเลือดด้วยเล่า? เจ๋อ ท่าน…ไม่อาจปล่อยคุณชายเซี่ยไปจริงๆ หรือ?” นางกุมมือตงฟางเจ๋อเบาๆ นิ้วเรียวกลับเต็มไปด้วยพลังที่สามารถทำให้รู้สึกอุ่นใจได้ ตงฟางเจ๋อตะลึงงันเล็กน้อย พลิกฝ่ามือกุมนางตอบทันที
เขาหันไปมองหน้าเซี่ยอวิ๋นเซวียน แล้วเอ่ยเสียงเข้ม “ไว้ชีวิตเขาก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่ว่า…” ตงฟางเจ๋อหยุดพูดครู่หนึ่ง หันไปมองหลางฉ่างแล้วกล่าวว่า “เดิมทีพิรุณโปรยปรายเป็นอาวุธลับที่ถูกสร้างโดยแคว้นเฉิง มีเพียงข้าคนเดียวที่ใช้ได้! หากองค์รัชทายาทยอมส่งมอบตัวเซี่ยหมิงหยาง เรื่องราวในอดีต ข้าจะไม่ถือสาหาความอีก!”
หลางฉ่างหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย เขากล่าวอย่างไม่พอใจ “ฮ่องเต้แคว้นเฉิงเผด็จการเกินไปหรือไม่! เซี่ยหมิงหยางยอมจำนนต่อแคว้นติ้งแล้ว ข้าจะปกป้องเขาให้ปลอดภัย ไม่มีทางปล่อยให้เขาตกอยู่ในถ้ำเสือบึงมังกรเด็ดขาด!”
“เสด็จพี่!” เห็นทั้งสองปะทะกันด้วยวาจาอันดุเดือด ไม่มีใครยอมใคร ซูหลีรีบเอ่ยปากตัดบทสนทนา “พวกท่านออกไปก่อน ข้ามีเรื่องจะพูดกับเขาตามลำพัง”
หลางฉ่างมองซูหลีด้วยสายตาแฝงความหมาย ก่อนจะหมุนกายเดินออกไป ทุกคนต่างเดินออกไปรอที่ลานด้านนอก ด้านในห้องโถงเงียบงันผิดปกติ
ตงฟางเจ๋อนั่งอยู่บนเก้าอี้ จ้องมองดวงจันทร์กระจ่างนอกหน้าต่าง ลึกๆ ในใจเจ็บแปลบ นางคิดจะเกลี้ยกล่อมเขาอีกแล้วหรือ? สำหรับนาง อย่างไรเขาก็คงไม่สำคัญเท่าคนในครอบครัวกระมัง? เขาอดรู้สึกผิดหวังและปวดใจไม่ได้
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาพยายามปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ แล้วจึงค่อยหันไปสบตากับนัยน์ตาดำขลับของซูหลีอย่างแช่มช้า พร้อมกับยิ้มบางกล่าวว่า “ซูซูจะกล่าวอะไรกับข้าหรือ?”
ความผิดหวังและความอ้างว้างรางๆ ในดวงตาเขา นางมองเห็นอย่างชัดเจน หัวใจของซูหลีบีบรัด เดินเข้าไปแล้วเอื้อมปลายนิ้วลูบแก้มเขา สายตาจับจ้องมองใบหน้าอันหล่อเหลา สังเกตเห็นรอยคล้ำใต้ขอบตาเขา ก็อดปวดใจไม่ได้ นางขมวดคิ้วแล้วพูดเสียงเบา “ท่านดูเหนื่อยล้า พักนี้คงไม่ได้พักผ่อนดีๆ…”
ระยะทางจากเมืองหลวงแคว้นเฉิงมาถึงเมืองหลวงแคว้นติ้งห่างไกลมาก เขามาถึงตามสัญญา จะต้องเร่งเดินทางหามรุ่งหามค่ำอย่างแน่นอน นึกไม่ถึงเมื่อเดินทางมาถึง ก็เกิดเรื่องราวไม่เว้นแต่ละวัน เกรงว่าคงมีเวลาพักผ่อนน้อยมาก
ตงฟางเจ๋อชะงักงัน น้ำเสียงของนางแฝงไว้ด้วยความเป็นห่วงและแฝงแววตำหนิอย่างหาได้ยาก สายตาเขาจึงอ่อนลงหลายส่วน ยกมือขึ้นกุมนิ้วมือเรียวบาง แล้วดึงมาที่ข้างกลีบปาก ก่อนจะจุมพิตลงกลางฝ่ามือเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ข้าไม่เป็นไร”
ลมหายใจอุ่นๆ ของเขาไล้ผ่านฝ่ามือ ชวนให้รู้สึกจั๊กจี้เล็กน้อย ซูหลีหดมือกลับตามสัญชาตญาณ แย้มยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วเอ่ยว่า “เมื่อกี้ตอนเดินเข้ามา…ข้าเห็นป้ายที่ท่านเขียนแล้ว ข้าชอบมาก ขอบคุณ”
เขาเงยหน้ามองนางนิ่งๆ พลันแย้มยิ้มออกมา แขนยาวโอบกอดเอวบาง แล้วออกแรงดึงเข้ามา ซูหลีเสียหลักล้มนั่งลงไปบนตักเขา
นัยน์ตาสีดำอยู่ใกล้แค่คืบ เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “ชอบก็ดีแล้ว”
ซูหลีก้มหน้ามองสองมือที่สอดประสานกันอย่างแน่นหนา นางถอนหายใจเบาๆ แล้วกล่าวว่า “เรื่องเมื่อครู๋ ข้ารู้ว่าทำให้ท่านลำบากใจ ขอโทษด้วย…”
“ไม่!” แขนของตงฟางเจ๋อที่โอบเอวนางพลันกระชับแน่น น้ำเสียงจริงจังขึ้นหลายส่วน “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า เจ้าไม่ได้ทำอะไรผิดต่อข้า ไม่จำเป็นต้องขอโทษข้า!”
ซูหลีกล่าวอย่างขอโทษ “จะไม่เกี่ยวกับข้าได้เช่นไร? หากว่ากันตามหลักความเป็นจริง เรื่องพิรุณโปรยปรายเกี่ยวพันถึงความลับของแคว้นเฉิง เสด็จพี่ทำไม่ถูกจริงๆ แต่หากมองในมุมมองของแคว้นติ้ง เขาย่อมมีความกังวลและความลำบากใจของเขา ข้าเป็นน้องสาวเขา ไม่มีสิทธิ์เอ่ยปากสอดแทรก”
“ข้าเข้าใจ” ตงฟางเจ๋อรีบเอ่ยขึ้น เขาเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “แต่ข้าก็หวังว่าเจ้าจะเข้าใจ ว่าข้าเองก็มีจุดยืนและหลักการของข้าเช่นกัน พิรุณโปรยปรายเกี่ยวพันถึงความมั่นคงของแผ่นดินเฉิงไปอีกร้อยปีพันปี ข้ามิอาจเลินเล่อได้แม้แต่น้อย เรื่องนี้ ข้ามิอาจ…ยอมอ่อนข้อให้ได้จริงๆ ถ้าหากข้ามิใช่ประมุขแห่งแคว้น ไม่ว่าเรื่องใดข้าล้วนทำเพื่อเจ้าได้ ซูซู เจ้าเชื่อใจข้าหรือไม่?”
ซูหลีแย้มยิ้มเล็กน้อย ลูบไล้คิ้วกระบี่ดกดำเบาๆ นางจ้องนัยน์ตาลึกล้ำของเขา แล้วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านทำเพื่อข้ามากมาย ข้าจะไม่เชื่อใจท่านได้เช่นไร หากท่านยังอยากแก้ไขปัญหาเรื่องพิรุณโปรยปราย เซี่ยอวิ๋นเซวียน วันนี้ท่านต้องปล่อยเขาไป”
ตงฟางเจ๋อจ้องหน้านาง แย้มยิ้มเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “เมื่อครู่เจ้าก็ปกป้องเขาเต็มที่มิใช่หรือ? น่าเสียดายที่เขาไม่เห็นค่า”
ซูหลีถอนหายใจ ก่อนจะเอ่ยว่า “เซี่ยอวิ๋นเซวียนนิสัยหัวรั้น จะเปลี่ยนใจเขาได้ต้องใช้เวลา ขอเพียงพบเซี่ยหมิงหยาง…”
ตงฟางเจ๋อส่ายหน้า พลางกล่าวว่า “หลางฉ่างไม่มีทางยอมให้ข้าเจอเซี่ยหมิงหยางง่ายๆ”
ซูหลีเอ่ยพร้อมคลี่ยิ้ม “ท่านปล่อยเซี่ยอวิ๋นเซวียนกลับไปก่อน ข้าจะหาวิธีเกลี้ยกล่อมเสด็จพี่ ทำให้เขายินยอมเอง”
ตงฟางเจ๋อยิ้ม แล้วบอกว่า “หากหลางฉ่างรู้ว่าเจ้าช่วยข้าเช่นนี้ เจ้าไม่กลัวเขาตำหนิเจ้าหรือ?”
ซูหลียิ้มอย่างอ่อนโยน “หากนับจากสายเลือด เสด็จพี่ใกล้ชิดกับข้ามากกว่าก็จริง แต่ข้าเติบโตมาในแคว้นเฉิง ที่นั่นยังคงเป็นบ้านเกิดของข้า ความทรงจำก่อนที่ข้าจะอายุสิบหกปี ล้วนเกิดขึ้นที่แคว้นเฉิง หัวใจของข้ายังคงเป็นห่วงเสด็จพ่อ แล้วก็ยังมี…”
จู่ๆ นางก็หยุดพูด และไม่ยอมพูดต่อ เพียงเบือนสายตาออกไป
กลีบปากของเขากระดกขึ้นเล็กน้อย เขาใช้นิ้วมือเชยคางกลมมนให้นางหันหน้ากลับมา แล้วถามนางว่า “ยังมีอะไรหรือ?”
—————————————-