ภาคแคว้นติ้ง บทที่ 31 บุญคุณความแค้นในอดีต (4)

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

นัยน์ตาดำขลับอ่อนโยนดุจสายน้ำ ซูหลีมองหน้าเขาอย่างไม่ละสายตา นางตอบเสียงเบาทว่าหนักแน่น “แล้วก็…ข้าเป็นว่าที่ภรรยาของตงฟางเจ๋อ เป็นว่าที่ฮองเฮาของแคว้นเฉิง ระหว่างสามีภรรยา ควรมีความคิดและจิตใจเป็นหนึ่งเดียว ไม่แบ่งแยก ยังจำได้ท่านเคยบอกว่าความปรารถนาของข้า ก็คือความปรารถนาของท่าน ใช่หรือไม่? วันนี้ข้าเองก็อยากบอกท่าน ความปรารถนาของท่าน ก็คือความปรารถนาของข้าเช่นกัน!”

ตงฟางเจ๋อใช้ปลายจมูกชนกับปลายจมูกของนาง แล้วพึมพำเสียงเบา “ข้าเชื่อใจเจ้า เช่นเดียวกับที่เจ้าเชื่อใจข้า ซูซู…เจ้าคือทั้งชีวิตของข้า คนเดียวที่ข้าไม่อาจปฏิเสธได้”

หัวใจของซูหลีพลันสะดุด นางเอียงคอเล็กน้อย เป็นฝ่ายก้มหน้าประทับจูบบนกลีบปากเขา พร้อมกับหลับตาเบาๆ

เสียงขับขานของกระบี่ประกายแสงและดุจสายน้ำดังประสานกัน คล้ายคลอเคลียอยู่ข้างใบหู เนิ่นนานไม่จางไป ดุจหัวใจสองดวงที่ไร้สิ่งกีดขวาง ดำดิ่งสู่ห้วงความรักของกันและกันอย่างไม่คิดเผื่อใจอีก

ยามเดินออกจากประตูสวนชิงหลี เซี่ยอวิ๋นเซวียนยังคงไม่อยากเชื่อ ว่าตงฟางเจ๋อจะปล่อยตนเองไปง่ายๆ เช่นนี้ ยามนี้เขาทั้งดีใจและกังวล สับสนไปหมด บอกไม่ถูกว่ารู้สึกเช่นไรกันแน่ เรื่องที่กังวลคือไม่รู้นางใช้เงื่อนไขใดในการแลกเปลี่ยนเพื่อให้เขารอดไปได้ และเรื่องที่นางกับตงฟางเจ๋อมีสายสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาต่อกัน…นั่นทำให้หัวใจของเขาเจ็บแปลบอย่างบอกไม่ถูก เขากำกระบี่ดุจสายน้ำในมือแน่น เขาดูออกว่านางชอบกระบี่ดุจสายน้ำถึงเพียงนั้น แต่กลับยังคงคืนมันให้เขา แล้วยังกำชับอีกว่าต้องยึดมั่นในหลักคุณธรรม จะได้ไม่ทำให้เสื่อมเสียเกียรติของกระบี่ล้ำค่าแห่งยุค

โฉมสะคราญก้าวเท้าขึ้นรถม้า ม้าหมุนกายเตรียมพร้อมจะออกวิ่ง

หลางฉ่างกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “คุณชายเซี่ยขึ้นรถเถิด ข้าจะส่งท่านไปพักผ่อนยังที่พักของสหายเซี่ย”

เซี่ยอวิ๋นเซวียนคล้ายไม่ได้ยินที่เขาพูด ยังคงจ้องมองรถม้าของซูหลีอย่างเหม่อลอย พลันนั้น เขาก็วิ่งไปขวางรถม้าของนาง

หวั่นซินที่ยืนอยู่ด้านหน้ารถถามด้วยความสงสัย “คุณชายเซี่ยมีเรื่องใดหรือ?”

ซูหลีเปิดม่านรถ สายตาสะท้อนแววประหลาดใจ

“กระบี่ดุจสายน้ำ…มอบให้ท่าน” ใบหน้าของเซี่ยอวิ๋นเซวียนแดงเรื่อเล็กน้อย เขาวางกระบี่ดุจสายน้ำไว้บนรถเบาๆ

ซูหลีกล่าวอย่างตกใจ “ดุจสายน้ำเป็นสมบัติล้ำค่าของสำนักกระบี่เหล็ก สมควรถูกเก็บรักษาโดยคุณชายเซี่ย”

เซี่ยอวิ๋นเซวียนยิ้มขมขื่น “มันซ่อนคมมานานหลายปี เหลือก็แต่ชื่อเสียงอันว่างเปล่า อยู่กับข้าก็ไม่มีความหมายอะไรอีกต่อไป ยามนี้เมื่อพบเจ้าของที่คู่ควรอย่างแท้จริง ก็ถึงเวลาที่มันควรสำแดงฤทธิ์เดช!” เอ่ยจบ เขาก็มองซูหลีด้วยสายตาสับสน ก่อนจะหมุนกายสาวเท้ายาวๆ เดินจากไป

ซูหลีมองกระบี่ดุจสายน้ำในมือตนเอง แล้วถอนหายใจอย่างจนใจ

ยามบ่ายคล้อยของวันต่อมา หลางฉ่างตรงมายังตำหนักฉางเซิง

ซูหลีเห็นเขาก็เอ่ยถาม “เมื่อคืนเสด็จพี่ไปส่งเซี่ยอวิ๋นเซวียนราบรื่นดีหรือไม่เพคะ?”

หลางฉ่างพยักหน้า “คุณชายเซี่ยปลอดภัยดี ถือว่าแก้ปัญหาหนักอกให้สหายเซี่ยไปได้เรื่องหนึ่ง ใช่แล้ว เมื่อคืนตงฟางเจ๋อยอมปล่อยคุณชายเซี่ยไป คงเพราะยื่นเงื่อนไขบางอย่างกระมัง?”

ซูหลีทำหน้าจริงจังเล็กน้อย นางถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เสด็จพี่ทรงบอกฉางเล่อก่อนได้หรือไม่ ยามนั้นเหตุใดท่านจึงลักลอบ…ไปรับภาพวาดและวัสดุเหล็กในการทำพิรุณโปรยปราย?”

หลางฉ่างถอนหายใจ สีหน้าหนักใจเล็กน้อย “ฉางเล่ออาจยังไม่รู้ ดูภายนอก แคว้นติ้งเราดูมั่งคั่งและอุดมสมบูรณ์ที่สุดในสามแคว้น เศรษฐกิจเจริญก้าวหน้า แต่กลับมีปัญหาใหญ่ที่น่าเป็นห่วงเรื่องหนึ่ง”

ซูหลีครุ่นคิดแล้วกล่าวว่า “เสด็จพี่กลัวว่าหากสถานการณ์โลกเปลี่ยนไป กองทัพทหารของแคว้นเราจะแข็งแกร่งสู้ศัตรูไม่ได้?”

“ถูกต้องแล้ว!” ใบหน้าของหลางฉ่างตึงเครียดขึ้นเล็กน้อย “ยามนี้แผ่นดินแบ่งเป็นสาม แคว้นเฉิงมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล กำลังทหารแข็งแกร่งที่สุด ตำแหน่งแคว้นยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งมั่นคงจนแทบไม่อาจสั่นคลอน แคว้นเปี้ยนมากด้วยนักรบที่ชำนาญการศึก แข็งแกร่งไม่แพ้แคว้นเฉิง แต่แคว้นติ้งเราเมื่อเทียบกับสองแคว้นอันแข็งแกร่ง กลับมีกำลังทหารอ่อนแอที่สุด แล้วยังมีชนเผ่าหมาป่านอกเขตชายแดนที่จ้องฉวยโอกาสรุกรานเข้ามา ถึงแม้ยามนี้สามแคว้นสงบสุขไร้ศึกสงคราม แต่การเปลี่ยนแปลงย่อมมาเยือนในไม่ช้า หากอยากปกครองแผ่นดินให้มั่นคงและสงบสุขไปนานๆ ก็จำต้องคิดหาทางป้องกันอันตรายโดยเร็ว หากภายหน้าเกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน จะได้มีวิธีรับมือ!”

ครั้นพูดมาถึงตรงนี้ เขาก็ถอนหายใจ แล้วกล่าวอย่างเป็นกังวล “เสด็จพ่อเป็นคนใจดี มีนิสัยอ่อนโยน กอปรกับสุขภาพไม่ดี ข้าจะทำให้เขากลัดกลุ้มอีกได้เช่นไร? ภาระหน้าที่ในการพัฒนาแว่นแคว้นให้มั่นคง มีเพียงข้าเท่านั้นที่จะรับผิดชอบได้”

ซูหลีทอดถอนใจ หากไม่ยืนอยู่ในจุดนั้น ก็คงไม่เข้าใจ ในฐานะประมุขแห่งแคว้น ไม่มีใครหนีภาระหน้าที่นี้พ้น  หลางฉ่างก็เป็นเช่นนี้ ตงฟางเจ๋อก็เป็นเช่นกัน แม้แต่หยางเซียวก็ไม่ต่างกัน…บางที หากนางไม่ได้ยืนอยู่ในจุดนั้น ก็คงไม่มีทางรู้ว่าภาระบนบ่าของพวกเขานั้นหนักหนาถึงเพียงใด

ซูหลีเงียบงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังอีกว่า “ฉางเล่อเข้าใจความลำบากของเสด็จพี่แล้ว ตงฟางเจ๋อปล่อยเซี่ยอวิ๋นเซวียน เพียงเพื่อต้องการเก็บเซี่ยหมิงหยางไว้ใช้ประโยชน์ต่อ โดยการดัดแปลงพิรุณโปรยปราย ในเมื่อแคว้นเฉิงและแคว้นติ้งมีจุดประสงค์เดียวกัน เหตุใดจึงไม่ปล่อยวางอดีต แล้วร่วมมือกันสร้างพิรุณโปรยปรายขึ้นมาเล่าเพคะ?”

แววประหลาดใจพาดผ่านดวงตาหลางฉ่าง แต่กลับหัวเราะแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ความคิดนี้ ตงฟางเจ๋อเป็นผู้เสนอ?”

ซูหลีถอนหายใจ กล่าวว่า “นี่เป็นความต้องการของฉางเล่อ เสด็จพี่เป็นครอบครัวของฉางเล่อ ส่วนเขาเป็นคนรักของฉางเล่อ หม่อมฉัน…ไม่อยากให้พวกท่านบาดหมางกันจริงๆ”

หลางฉ่างลุกขึ้นแล้วเดินมาตรงหน้าซูหลี ลูบเรือนผมนางเบาๆ ในดวงตาเต็มไปด้วยแววเจ็บปวดและรู้สึกผิด “เดิมทีเรื่องนี้ ข้าไม่อยากให้เจ้ามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยมากที่สุด นึกไม่ถึงสุดท้ายกลับดึงเจ้าเข้ามาติดอยู่ตรงกลางจนทำให้เจ้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ฉางเล่อ พี่ขอโทษเจ้าด้วย…”

ขอบตาของซูหลีร้อนผ่าว นางรีบลุกขึ้นกอดแขนเขา แล้วกล่าวอย่างรักใคร่อาลัยอาวรณ์ “เสด็จพี่อย่าพูดเช่นนี้เด็ดขาดนะเพคะ ท่านกับข้าแม้ไม่ได้เกิดจากครรภ์มารดาเดียวกัน แต่ท่านกลับเป็นห่วงข้าเสมอ ฉางเล่อมีเสด็จพี่ที่ประเสริฐเช่นนี้ เป็นบุญวาสนาที่สั่งสมมาหลายภพชาติ สำหรับหม่อมฉัน เสด็จพี่สำคัญพอๆ กับเขาผู้นั้น ฉะนั้น หม่อมฉันจึงไม่อยากให้พวกท่านบาดหมางกัน!”

หลางฉ่างอดน้ำตารื้นไม่ได้ เขารั้งนางเข้ามากอดเบาๆ ลูบเรือนผมนางอย่างทะนุถนอม แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ไม่ว่าอย่างไร ขอเพียงเจ้ามีความสุขก็พอ อวิ๋นฮุ่ยพูดถูกแล้ว ชีวิตคนเรา เลือกคนที่ชอบมาเคียงคู่ไปชั่วชีวิต คือความสุขอันยิ่งใหญ่ที่สุด แต่เจ้าต้องจำไว้ พี่จะเป็นที่พึ่งให้เจ้าตลอดไป!”

ซูหลีน้ำตารื้น กลีบปากกลับแย้มยิ้มงดงาม “ขอบพระทัยเสด็จพี่มากเพคะ!”

ผ่านไปครู่หนึ่ง หลางฉ่างค่อยๆ ปล่อยนาง แล้วกล่าวด้วยความกังวล “สองแคว้นร่วมมือ การแก้ไขปัญหาเช่นนี้ถือว่าดีต่อทั้งสองฝ่าย พี่ไม่มีเหตุผลให้คัดค้าน เพียงแต่…เซี่ยหมิงหยางยังคงไม่ลืมเรื่องสำนักกระบี่เหล็กในอดีต ตอนนี้มีเซี่ยอวิ๋นเซวียนเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน เกรงว่าคงยากจะเกลี้ยกล่อมพวกเขา”

ซูหลีคลี่ยิ้ม แล้วกล่าวว่า “เซี่ยหมิงหยางเป็นคนมีปณิธาน พิรุณโปรยปรายเป็นความพยายามทั้งชีวิตของเขา เขาไม่มีทางยอมปล่อยไปง่ายๆ เช่นนี้แน่ ถึงแม้เขาจะมีภาพร่างอันสมบูรณ์แบบ แต่วัสดุเหล็กกลับไม่ใช่สิ่งที่หาได้ง่ายๆ เขามีปณิธานอันแรงกล้า เราต้องมีโอกาสเปลี่ยนใจเขาได้แน่นอนเพคะ”

หลางฉ่างกล่าวอย่างครุ่นคิด “หากจะร่วมมือกัน พวกเขาสามคนจำต้องพบหน้ากัน เมื่อถึงยามนั้น…”

ซูหลีเอ่ยพลางแย้มยิ้ม “เสด็จพี่กังวลว่าตงฟางเจ๋อจะทำอะไรพวกเขาสองคนหรือเพคะ?”

หลางฉ่างส่ายหน้า กล่าวว่า “ตงฟางเจ๋อเป็นคนเช่นไร เจ้ารู้ดี คนหรือสิ่งของที่เขาไม่อาจใช้ประโยชน์ได้ เขายอมทำลาย แต่จะไม่ยอมมอบมันให้ผู้อื่น!”

ซูหลียิ้ม รอยยิ้มหวานละมุนสะท้อนชัดที่หางตานางอย่างไม่อาจปกปิด นางกล่าวอย่างมั่นใจ “ตงฟางเจ๋อคนเดิมเป็นเช่นนั้นจริงๆ แต่เขาในยามนี้…”

หลางฉ่างมองเห็นอย่างชัดเจน ทำได้เพียงยิ้มอย่างจนใจ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พี่จะเป็นคนจัดการเรื่องนัดหมายเอง”

———————————–