ภาคแคว้นติ้ง บทที่ 32 จับมือสร้างสันติภาพ (1)

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

ยามบ่ายของวันนี้ ในห้องส่วนตัวบนชั้นสามของหอน้ำชาซึ่งอยู่ริมทะเลสาบเฝ่ยชุ่ย ตงฟางเจ๋อกับซูหลีมาถึงพร้อมกันก่อนโดยมิได้นัดหมาย จากนั้นหลางฉ่างก็ขึ้นมา ผู้ที่เดินตามหลังมาก็คือเซี่ยอวิ๋นเซวียนและชายชุดเขียวอีกหนึ่งคน คนผู้นี้ไม่สูงมาก ดูแล้วอายุราวสามสิบกว่าปี รูปร่างหน้าตาธรรมดาไม่มีอะไรโดดเด่น สายตากลับเปล่งประกายเป็นพิเศษ เดาว่าคงเป็นเซี่ยหมิงหยาง

ตงฟางเจ๋อกับหลางฉ่างทักทายกัน จากนั้นก็แยกย้ายกันนั่งประจำที่ เซี่ยอวิ๋นเซวียนยืนจ้องหน้าตงฟางเจ๋อเขม็งอยู่ตรงหน้าประตู ก่อนจะย้ายเก้าอี้ไปนั่งอยู่ตรงมุมห้องด้วยตนเอง เซี่ยหมิงหยางมองหลางฉ่างอย่างกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย

หลางฉ่างโบกมือเล็กน้อย แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่เป็นไร วันนี้เชิญสหายเซี่ยกับคุณชายเซี่ยมา เพราะเรื่องพิรุณโปรยปราย”

สีหน้าของเซี่ยหมิงหยางพลันเคร่งขรึม หลุบตาต่ำถอนหายใจกล่าวว่า “เซี่ยหมิงหยางมาถึงเมืองหลวงแคว้นติ้งก็นานแล้ว ยังคงหาวัสดุเหล็กที่เหมาะสมไม่ได้ ละอายใจต่อองค์รัชทายาทยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ!”

ตอนนั้นหลางฉ่างเดินทางไปยังเมืองหลวงแคว้นเฉิงโดยอาศัยพิธีท่านหญิงคัดเลือกพระสวามีเป็นข้ออ้าง ครั้นพบกันก็ใช้โลงศพเพื่อขนส่งภาพร่างของอาวุธซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก เช่นนั้นแสดงว่าเขากับเซี่ยหมิงหยางต้องเคยตกลงกันไว้ก่อนหน้านั้นแล้วอย่างแน่นอน

ซูหลีอดกล่าวด้วยความสงสัยไม่ได้ “ครั้งนั้นเสด็จพี่ไปเมืองหลวงแคว้นเฉิงเป็นครั้งแรก ท่านกับอาจารย์เซี่ยไม่เคยพบกัน แล้วรู้จักกันได้อย่างไรเพคะ?”

หลางฉ่างถอนหายใจ แล้วกล่าวว่า “ตลอดมา แคว้นติ้งมั่งคั่งทว่าอ่อนแอ เป็นปัญหาใหญ่ในใจข้าเสมอมา เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับอาวุธทางทหารให้มากขึ้น ข้าสั่งให้คนซื้อร้านค้าสองร้านบนถนนตงซื่อของเมืองหลวงแคว้นเฉิง ร้านหนึ่งเป็นร้านขายเหล็ก อีกร้านเป็นร้านโลงศพ เพื่อใช้ในการส่งข่าวอย่างลับๆ”

ใบหน้าของตงฟางเจ๋อขรึมลงเล็กน้อย เขาชำเลืองมองหลางฉ่าง และจิบชาเงียบๆ

“องค์หญิงอาจยังไม่ทราบ กระหม่อมมีวาสนาได้พบกับองค์รัชทายาท ล้วนอาศัยเถ้าแก่ร้านขายเหล็กฟางรั่วไห่” เซี่ยหมิงหยางกล่าวอย่างหวนนึกถึงเรื่องในอดีต “ตอนแรกกระหม่อมแค่ไปซื้อของในร้าน ไปๆ มาๆ ก็สนิทสนมกับเขา ต่อมาเขามักพูดคุยเรื่องอาวุธกับกระหม่อม และสิ่งใดที่กระหม่อมต้องการ เขาล้วนช่วยหามาให้อย่างสุดความสามารถ เมื่อนานไป พวกเราก็กลายเป็นสหายรู้ใจกัน”

ซูหลีกระจ่าง ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ด้วยนิสัยละเอียดรอบคอบของเซี่ยหมิงหยาง หากคิดจะเปิดใจเขาในระยะเวลาสั้นๆ นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เถ้าแก่ร้านขายเหล็กผู้นั้น กลับเป็นผู้ช่วยมือดีของเสด็จพี่

สายตาของเซี่ยหมิงหยางค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเลื่อนลอย จมดิ่งสู่ห้วงความทรงจำ “ตลอดชีวิตนี้ของผู้น้อยเซี่ย นอกจากสร้างอาวุธก็ไม่มีความสามารถใดแล้ว กระหม่อมต้องการสร้างอาวุธที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก เพื่อส่งเสริมให้ชื่อเสียงของสำนักกระบี่เหล็กรุ่งเรือง และกลายเป็นสำนักสร้างอาวุธอันดับหนึ่งในยุทธภพ!

อาวุธวิเศษที่เคยสร้างขึ้นมาก่อนหน้านั้น แม้จะเรียกได้ว่ายอดเยี่ยมไร้เทียมทาน แต่กลับยังคงไม่เพียงพอ อีกทั้งเพราะปัญหาขาดแคลนทรัพยากรและกำลังทรัพย์ จึงหยุดชะงักไม่คืบหน้าเสียที จนกระทั่งจู่ๆ ฮ่องเต้แคว้นเฉิงก็มีพระบัญชา สั่งให้สำนักกระบี่เหล็กดัดแปลงอาวุธไร้เทียมทานเพื่อรับใช้ชาติ กระหม่อมรู้ว่าในที่สุดโอกาสก็มาถึงแล้ว! แต่ทว่า…นึกไม่ถึงว่าสำนักกระบี่เหล็กจะถูกทำลายล้างด้วยเหตุนี้!” ครั้นพูดมาถึงตรงนี้ น้ำเสียงของเขาก็เต็มไปด้วยอารมณ์อันพลุ่งพล่าน เห็นได้ชัดว่าเดือดดาลจนยากจะสงบ

“กระหม่อมรู้ดีว่าหากทำงานให้ราชวงศ์ มีเพียงต้องสำเร็จเท่านั้นห้ามล้มเหลว! ฉะนั้นจึงไม่กล้าเลินเล่อแม้แต่น้อย กระหม่อมดัดแปลงภาพร่างทุกคืนวัน ทุกคนในสำนักต่างพากันช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถ เปิดเตาตีเหล็ก แก้ไขรายละเอียดเล็กน้อยซ้ำแล้วซ้ำเล่า สุดท้ายก็สร้างพิรุณโปรยปรายได้สำเร็จ!”

เซี่ยอวิ๋นเซวียนที่นั่งเงียบอยู่ตรงมุมห้องมาเนิ่นนานกล่าวต่อว่า “ข้ายังจำได้ วันที่อาจารย์ลุงทำสำเร็จ ทุกคนดีใจมาก งานเลี้ยงในคืนนั้นท่านพ่อดื่มจนเมามาย…” ตอนแรกเขานึกว่าท่านพ่อดื่มเพราะดีใจ ต่อมาจึงเพิ่งรู้ว่ามีเหตุผลอื่นซ่อนอยู่

ภาพเหตุการณ์อันครึกครื้นรื่นเริง ใบหน้าอันคุ้นเคยในอดีต ผุดพรายขึ้นมาตรงหน้า แต่กลับเจ็บปวดเพราะไม่อาจสัมผัสได้อีกต่อไปแล้ว

กลีบปากของเซี่ยอวิ๋นเซวียนสั่นเทา เสียงสะอื้นอย่างขมขื่นดังเล็ดลอดออกมาจากลำคออย่างไม่อาจควบคุม เขาหลับตา น้ำตาหลั่งไหลจากหางตา

ราษฎรเดิมไม่มีความผิด แต่เพราะมีหยกกับตัวจึงมีความผิด บางทีชีวิตเรียบง่ายของคนธรรมดาทั่วไป อาจเป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว

หัวใจของซูหลีเศร้าสลด ผ่านไปครู่หนึ่งจึงถามว่า “หลังจากสร้างพิรุณโปรยปรายสำเร็จ ฮ่องเต้แคว้นเฉิงคงมีรับสั่งหาท่านกับเจ้าสำนัก ท่านรู้ได้เช่นไรว่าเขาเริ่มมีจิตคิดระแวงแล้ว?”

เซี่ยหมิงหยางส่ายหน้ากล่าวว่า “กระหม่อมเป็นเพียงชาวบ้านรากหญ้าคนหนึ่ง ไม่เคยพบฮ่องเต้แคว้นเฉิงสักครั้ง เรื่องราวในราชสำนักก็ไม่ค่อยรู้เรื่องนัก หากมิใช่ว่ามีคนปล่อยข่าวให้เจ้าสำนักรู้ก่อน กระหม่อมจะแน่ใจได้เช่นไรว่าเขาจะสังหารคนปิดปาก?”

ซูหลีตกตะลึง มีคนปล่อยข่าวก่อนเช่นนั้นหรือ? ใครกัน?

สายตาของตงฟางเจ๋อเปลี่ยนไปเล็กน้อย ภาพของคนผู้หนึ่งผุดขึ้นมาในสมองทันที

เซี่ยหมิงหยางเอ่ยอย่างรำลึกความหลัง “ศิษย์พี่บอกกระหม่อมว่า ไม่นานมานี้มีคนผู้หนึ่งอ้างว่าตนเองเป็นองค์รัชทายาทแห่งแคว้นหวั่นนัดพบกับเขา และเตือนเขาว่าฮ่องเต้แคว้นเฉิงเป็นคนมากระแวง จิตใจเหี้ยมโหด และเชี่ยวชาญเรื่องการข้ามแม่น้ำรื้อสะพานเป็นที่สุด! อาวุธยอดเยี่ยมอย่างพิรุณโปรยปรายก็สำคัญมากสำหรับเขา เพื่อกำจัดปัญหาที่จะตามมาภายหลัง วันใดที่พวกเจ้าไปเข้าเฝ้าในวัง ก็จะเป็นวันที่สำนักกระบี่เหล็กได้รับโทษ!”

หัวใจของซูหลีป่วนพล่านไปทั้งดวง นึกไม่ถึงว่าเพื่อแก้แค้น จั้นอู๋จี๋จะมองการณ์ไกล และวางแผนมาเนิ่นนานถึงขนาดนี้ เขาไม่ยอมปล่อยโอกาสที่จะกวนน้ำให้ขุ่นเล็ดลอดไปได้แม้แต่น้อย

“ศิษย์พี่ได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจมาก แต่กลับไม่กล้าเชื่อทั้งหมด พิรุณโปรยปรายเพิ่งถูกสร้างสำเร็จ วันเข้าเฝ้าใกล้เข้ามา เขาใคร่ครวญซ้ำแล้วซ้ำเล่า สุดท้ายก็ตัดสินใจบอกเรื่องนี้กับกระหม่อม พวกเราสองคนหารือกัน แล้วก็ตัดสินใจไปเข้าเฝ้าเพื่อรอดูสถานการณ์ นึกไม่ถึงว่าจะเป็นดังเช่นที่องค์รัชทายาทแคว้นหวั่นผู้นั้นกล่าว หลังจากที่ฮ่องเต้เห็นอานุภาพของพิรุณโปรยปรายก็ดีใจมาก รีบสั่งให้คนนำสุรามาถวายเพื่อเป็นการตบรางวัล โชคดีที่พวกกระหม่อมเตรียมตัวมาแต่แรก ดูออกว่ากาสุรามีกลไกซ่อนอยู่! หากเขาไม่คิดจะสังหารคนปิดปาก แล้วเหตุใดจึงต้องสั่งให้คนใช้กาจวนซิน[1]มารินสุราด้วยเล่า?!”

หัวใจของเซี่ยหมิงหยางเต็มไปด้วยความเคียดแค้น เขากำหมัดแน่น หอบหายใจรุนแรง ก่อนจะกล่าวอีกว่า “กระหม่อมรีบปฏิเสธโดยอ้างว่าร่างกายอ่อนแอไม่สามารถดื่มสุราได้ และบอกว่าถึงแม้พิรุณโปรยปรายจะสร้างสำเร็จในขั้นแรกแล้ว แต่ยังมีรายละเอียดอีกมากที่ต้องดัดแปลงอีก ยังต้องใช้เวลาอีกสักหน่อย จึงจะสามารถสำแดงอานุภาพได้ถึงขีดสุด ถึงแม้ฮ่องเต้จะกังวล แต่เพื่อพิรุณโปรยปราย ก็ทำได้เพียงต้องปล่อยพวกเราสองคนออกมาก่อน”

“กระหม่อมประวิงเวลาออกมา นอนไม่หลับทั้งวันทั้งคืน เอาแต่คิดว่าจะรับมือเช่นไรดี ยามนั้นเองเถ้าแก่ร้านขายเหล็กคล้ายดูออกว่ากระหม่อมมีเรื่องหนักใจ จึงไถ่ถามหลายประโยค กระหม่อมเห็นเขาเป็นเพื่อนรู้ใจมานานแล้ว จึงเล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง นึกไม่ถึงว่าเขาจะเปิดเผยกับกระหม่อมว่าตนเองเป็นคนขององค์รัชทายาทแห่งแคว้นติ้ง! เขาบอกว่าองค์รัชทายาทเป็นคนเห็นค่าผู้มีความสามารถ เลื่อมใสในตัวกระหม่อมมานาน แต่กลับไม่มีวาสนาได้พบหน้า ในเมื่อฮ่องเต้แคว้นเฉิงไร้คุณธรรม เช่นนั้นเหตุใดสำนักกระบี่เหล็กจึงไม่เลือกนายใหม่เล่า ขอเพียงพวกเราพยักหน้า องค์รัชทายาทก็จะรับประกันความปลอดภัยของพวกเราทุกวิถีทาง!”

ซูหลีพึมพำ “น่าเสียดายที่เจ้าสำนัก…ไม่เห็นด้วย”

เซี่ยหมิงหยางกล่าวด้วยสีหน้าหม่นหมอง “กระหม่อมไม่กล้าเสียเวลาแม้แต่น้อย รีบไปหาศิษย์พี่เพื่อหารือเรื่องนี้กับเขา นึกไม่ถึง เขากลับบอกว่าเขาตัดสินใจที่จะไม่อยู่ใต้อาณัติผู้อื่น และรอวันถูกสังหารอีก! เขา…รับปากที่จะร่วมมือกับรัชทายาทแคว้นหวั่นล้มล้างราชวงศ์เฉิงแล้ว!”

ฟังจากที่เซี่ยหมิงหยางกล่าว เจ้าสำนักกระบี่เหล็กเองก็เป็นผู้มีความทะเยอทะยานเช่นกัน หากไม่ใช่เช่นนั้น แม้จั้นอู๋จี๋จะเกลี้ยกล่อมเขาอย่างไร เขาก็คงไม่สั่นคลอนง่ายดายเช่นนี้

ชีวิตคนเรา เกิดหรือดับสูญล้วนอยู่ที่หนึ่งความคิด อาจนำมาซึ่งแสงสว่าง หรือดึงลงสู่ก้นเหวลึก

เซี่ยหมิงหยางส่ายหน้า “กระหม่อมไม่เห็นด้วยกับทางเลือกของเขา ถึงแม้รัชทายาทแคว้นหวั่นจะมีความแค้นกับแคว้นเฉิง แต่อาศัยกำลังของคนคนเดียวต่อกรกับทั้งราชสำนัก ไม่ต่างกับการเอาไข่ไปกะเทาะหินเลยแม้แต่น้อย! ยิ่งไปกว่านั้นหากเกิดความขัดแย้งภายในขึ้น ไม่รู้ว่าจะต้องมีคนบริสุทธิ์ได้รับผลกระทบล้มตายมากมายแค่ไหน! มิสู้หาทางไปจากที่แห่งนี้เสียดีกว่า! แต่ไม่ว่ากระหม่อมจะเกลี้ยกล่อมอย่างไร เขาก็ไม่ยอมรับฟังแม้แต่น้อย ราวกับถูกมนต์สะกดอย่างไรอย่างนั้น! สุดท้ายยังมีปากเสียงกับกระหม่อม! อวิ๋นเซวียนได้ยินก็รีบเข้ามาไกล่เกลี่ย เขาโกรธเกรี้ยว จึงสั่งให้คนนำตัวพวกเราสองคนไปขังที่ห้องต้องห้ามหลังเขา”

——————————————-